หมอโจ้ THE DEMIS CLINIC

กว่าจะสำเร็จ…ไม่ง่าย “หมอโจ้” แพทย์ความงามมือดีที่เซเลบฝากหน้าให้ดูแล

หมอโจ้ THE DEMIS CLINIC
หมอโจ้ THE DEMIS CLINIC

ตลาดความต้องการที่จะสวยเร็วสวยไวทำให้เงินสะพัดในเหล่าคลินิกเสริมความงาม แพทย์ในสายนี้จึงเดินหน้ารับทรัพย์ แต่ “หมอโจ้” หรือ “นายแพทย์ดิสพงศ์ ปณิฐาภรณ์” แห่ง THE DEMIS CLINIC ที่มีเซเลบริตี้ตบเท้าเข้าไปทำสวยอย่างไม่ขาดสาย บอกว่าเขามาถึงทุกวันนี้ได้เพราะ “รู้จักรอ” การแนะนำคนไข้ให้ได้รับการรักษาในแนวทางที่ปลอดภัยและยั่งยืน บางครั้งก็กลายเป็นเรื่องขัดใจลูกค้า แต่หมอโจ้ขอมาเวย์นี้ด้วยจรรยาบรรณอันแข็งแกร่ง จนกระทั่งวันแห่งความสำเร็จมาถึง บอกเลยว่าไม่ไกลเกินรอ

กว่าจะสำเร็จ…ไม่ง่าย “หมอโจ้” แพทย์ความงามมือดีที่เซเลบฝากหน้าให้ดูแล

หลายคนเชื่อว่าคนเป็นหมอต้องเรียนเก่ง สำหรับหมอโจ้เป็นแบบนั้นไหมคะ

“ไม่เลยครับ สมัยเด็กผมเรียนไม่เก่งเลย โดยเฉพาะช่วงประถมนี่เรียกว่าดิ่งเหว สร้างความทุกข์ให้คุณพ่อคุณแม่มาก ต้องไปไหว้วานญาติๆ มาช่วยติวคนละวิชาซึ่งเราก็ยังไม่ใส่ใจอยู่ดี แต่ลึกๆ รู้สึกว่าบาปเนอะที่แม่ต้องมาร้องไห้เพราะเรา กระทั่งเข้าเรียนมัธยมที่โรงเรียนอัสสัมชัญ ทางโรงเรียนมีการสอบคัดเกรดใหม่จาก 500 คนเหลือ 100 คนเพื่อเข้าห้องคิงและห้องควีน จุดนั้นกลายเป็นโอกาสที่เราต้องถีบตัวเองให้ตั้งใจเรียนจนได้เข้ามาเป็นคนที่ 100 พอดี

“เมื่อได้เข้าไปแล้วก็เหมือนบรรยากาศพาไป เขาเรียนกันอย่างไร จดเลกเชอร์แบบไหน เราจึงมีความตั้งใจมากขึ้นเรื่อยๆ ค่อยๆ ขยับจากการนั่งหลังห้องมาหน้าห้อง การเรียนก็ดีขึ้นตามลำดับ พอเข้าสู่มัธยมปลายมีโปรเจ็กต์ของโรงเรียนที่ตั้งเป้าให้เด็กระดับหัวกระทิ 100 คนเอนทรานซ์ติดให้ได้ มีการจัดครูแนะแนวมาประกบจนเราค้นตัวเองเจอว่าอยากเรียนหมอ พอรู้สายที่จะไปแล้ว ทางโรงเรียนก็จับแยกติวเข้มเลย จนได้เข้าเรียนแพทย์ที่รามาธิบดีในที่สุด”

แล้วอะไรคือเหตุผลที่ทำให้ตัดสินใจเลือกเป็นแพทย์ด้านผิวหนังคะ

“เพราะเป็นเรื่องที่ผมเผชิญมาด้วยตัวเอง คือตอนเรียนปี 4 ผมเป็นสิวหนักมาก จนมาได้อาจารย์หมอที่ใช้เครื่องเลเซอร์ช่วยดูแลให้จนเริ่มดีขึ้น จากสิวเต็มทุกพื้นที่ก็หายเกลี้ยงเป็นปกติเลย จึงรู้สึกแฮ็ปปี้กับการรักษาครั้งนั้นมาก ชีวิตมีความสุข รู้สึกดีกับตัวเองขึ้นเยอะ กลายเป็นจุดที่ทำให้มุ่งมั่นว่าอยากเรียนแพทย์ผิวหนัง ประกอบกับตอนนั้นเป็นปีแรกๆ ที่เลเซอร์ IPL เข้ามาพอดี ผมเองชอบเทคโนโลยีอยู่แล้ว เมื่อได้ทดลองใช้ดูก็รู้สึกว่าเจ๋งมาก ใช้เลเซอร์รักษาสิวได้ด้วย แต่รุ่นนั้นคือเจ็บมากนะ ยิงแล้วเหมือนโดนดีดแรงๆ ทั้งหน้าเลย (หัวเราะ) แต่เป็นการรักษาที่ปลอดภัยและยั่งยืนกว่าสเตียรอยด์ที่ใช้กันอยู่ตอนนั้น ถือว่าผมเริ่มมาตั้งแต่รุ่นหนูทดลองเลย ก็เลยเริ่มศึกษาเกี่ยวกับเลเซอร์เพื่อรักษาผิวมาตั้งแต่ตอนนั้น”

หมอโจ้ THE DEMIS CLINIC

ทราบว่าคุณหมอเป็นแพทย์รุ่นแรก ๆ ที่ได้ไปเรียนด้าน “โบท็อกซ์” ในต่างประเทศ

“ก็ไม่เชิง…เล่าก่อนว่าที่บ้านผมไม่ได้มีฐานะอะไร ไม่ได้ไปเรียนต่างประเทศกับใครเขา แต่ช่วงนั้นผมเริ่มอิ่มตัวจากการทำเลเซอร์ที่ฝึกจนเชี่ยวชาญแล้ว จึงมองหาเทคโนโลยีใหม่ๆ ก็พอดีมีกระแสพูดถึงโบท็อกซ์ว่าดีอย่างนั้นอย่างนี้ ผมสนใจแต่ไม่รู้จะไปเรียนที่ไหน พอลองสืบค้นก็พบว่ามีอาจารย์ท่านหนึ่งที่ถือว่า เป็น ‘เทพโบท็อกซ์’ โดยเขาเปิดคอร์สสอนระยะเวลา 15 วัน เป็นการฝึกแบบเข้มข้น สอนเทคนิคจริงจังครบทุกอย่าง แต่อยู่ไกลถึงแซนแฟรนซิสโก ซึ่งผมอยากเรียนมาก แต่เงินเดือนตอนนั้นแทบไม่พอใช้ ไหนจะผ่อนบ้านอีก เรื่องเรียนจึงเป็นเหมือนความฝัน

“กระทั่งเจอพี่อีกคนที่อยากไปเรียนเหมือนกัน จึงคุยกันว่าเอาละเราจะกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป (หัวเราะ) คือประหยัดทุกวิถีทาง เก็บเงินกันอยู่นาน สุดท้ายก็ได้ไปเรียนจริงๆ โชคดีที่ผมมีเพื่อนเป็นเชฟอยู่ที่นั่น จึงขอแบ่งพื้นที่ในห้องเขาพักอาศัยด้วย ส่วนพี่อีกคนที่ไปด้วยกัน ภายหลังเขาป่วยหนักจนเรียนไม่ได้จึงต้องกลับ

“ต้องบอกว่าผมโชคดีมากที่ได้ไปเรียน เพราะครั้งนั้นเป็นคลาสสุดท้ายของศาสตราจารย์ท่านนี้ก่อนจะเกษียณอายุ ถือเป็นการเปิดโลกเลยว่าวิธีการฉีดโบท็อกซ์ที่ถูกต้องและเทคนิคต่างๆ เป็นอย่างไร ช่วงแรกที่ฝึกก็มีมือสั่นบ้าง แต่พอฝึกสั่งสมประสบการณ์ไปเรื่อยๆ ก็คล่องเอง”

แล้วจุดเริ่มต้นของการทำคลินิกล่ะคะ

“หลังกลับมาจากคอร์สที่แซนแฟรนซิสโก ผมทำงานกับคลินิกแห่งหนึ่งอยู่พักใหญ่ แล้วพบว่าเคสที่เจอมักเป็นโรคเฉพาะทาง แต่เรามีแพสชั่นในเรื่องของเทคโนโลยีเลเซอร์ อยากเจอเคสรักษาสิวด้วยเลเซอร์ที่ท้าทายกว่านั้น อยากเริ่มทำอะไรใหม่ๆ จึงชักชวนหมอหลิน (แพทย์หญิงนิโลบล เจริญวุฒิ) ซึ่งสนใจเรื่องเลเซอร์เหมือนกันมาทำคลินิกด้วยกัน เราโชคดีได้โลเกชั่นที่สยามฯ ซึ่งเหมาะมาก จึงเริ่มออกมาดูแลคนไข้กันเอง”

ช่วงแรกเป็นอย่างไรบ้างคะ

“แทบไม่มีคนเลย (ยิ้ม) แม้จะอยู่ที่สยามฯ ฟังดูเหมือนดีแต่ลำบากมาก เพราะเป็นคลินิกแบบสแตนด์อะโลน ไม่ได้อยู่ในห้างแถมอยู่บนชั้น 3 ของตึกเล็กๆ โดยไม่มีหน้าร้านอยู่ชั้นล่างด้วยซ้ำ คือค่าเช่าถูกที่สุดเท่าที่จะหาได้ พนักงานก็มีกันอยู่แค่ 2 คน ผมถือนโยบายว่าพนักงานทำอะไร เราต้องทำด้วยทุกอย่าง เช่น จัดเวรกันล้างห้องน้ำโดยผมก็ทำด้วย ส่วนเรื่องการโปรโมตสมัยนั้นยังไม่มีโซเชียลเน็ตเวิร์คใดๆ วิธีเดียวที่ทำได้ก็คือโบรชัวร์ ผมทำอาร์ตเวิร์คเอง เดินแจกเองกับวางตามหน้ารถยนต์ เรียกว่าทำเท่ากับพนักงานคนหนึ่งทุกอย่าง ช่วงแรกๆ บางวันไม่มีคนไข้เลย ก็ใจหวิวเหมือนกันนะ เพราะเรามีค่าใช้จ่ายตลอด แต่เมื่อมีลูกน้องมาอยู่กับเราจะท้อไม่ได้ วันไหนคลินิกเงียบไม่มีคนไข้ ผมจะถอดเสื้อกาวน์ออก เปลี่ยนเป็นเสื้อยืด แล้วเรียกป้าจันทร์ทีมงานผม ให้ไปแจกโบรชัวร์กันที่หน้าคลินิก บางทีก็เจอคนมาไล่ต้องวิ่งหนีกันชุลมุน”

คุณหมอยังจำคนไข้คนแรกได้ไหมคะ

“จำได้ครับ ชื่อพี่นัท – คัทลียา รหัส 00001 ทำงานอยู่ที่ อย.ด้วย เราได้ดูแลกันเพราะการแจกโบรชัวร์นี่แหละ ปัจจุบันก็ยังเจอกันอยู่ เพิ่งรำลึกความหลังกันไปว่าพี่นัทรหัสนี้นะ จำได้ไหมที่เจอกันเพราะวันนั้นพี่นัทมาช็อปปิ้ง ผมเข้าไปแจกโบรชัวร์เลยได้พูดคุยกันและถูกชะตา เขาบอกว่าอยากสนับสนุนจึงลองมารักษากับผม เคสพี่นัทตอนนั้นคือเป็นฝ้าหนักมาก ผมบอกเขาตรงๆ ว่าไม่หายในครั้งเดียวนะ เขาบอกว่านี่เป็นคลินิกแรกที่พูดว่าไม่หาย เขาเคยเจอแต่พนักงานที่เชียร์แหลก ทำครั้งเดียวหายแน่นอนแต่ผมบอกตรงๆ ว่าฝ้าพี่ไม่หายขาดนะ ไม่ต้องไปทุ่มเงินขนาดนั้น แต่ถ้าเราทำให้ผิวแข็งแรงจะทำให้ฝ้าดูจางและลดลง จนพี่รู้สึกว่าอยู่กับมันได้แบบนั้นจะดีกว่า”

คุณหมอพูดว่า “ไม่” กับคนไข้คนแรกเลยเหรอคะ

(พยักหน้า) “ถือเป็นจรรยาบรรณที่แพทย์ผิวหนังพึงมี ผมพูดว่า ‘ไม่’ บ่อยมาก ตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงเดี๋ยวนี้ ยิ่งสมัยนี้มีคนมากมายที่เดินเข้ามาบอกหมอว่าขอสวยเหมือนคนนั้นคนนี้ อยากรู้ว่าดาราคนนี้ทำอะไรจะได้ทำตามเขาบ้าง ผมจะบอกเลยว่าไม่ได้ สเต็ปที่ถูกต้องคือลืมไปก่อนว่าคนนั้นทำอะไร ผมจะดูตามความเหมาะสม หากบางอย่างไม่เหมาะกับบางคน ผมจะบอกเลยว่าอย่าเอาเงินก้อนแรกมาลงทุนแบบนี้เลย

“ซึ่งในความเป็นจริงถ้าผมบอกให้คนไข้ทำอะไร เขาก็คงเชื่อหมด แต่ถ้าผมพูดไปแล้ว อีกหน่อยพอเขาอยากทำหน้า เขาก็จะมาด้วยเงินก้อนแล้วขอทำอัลเทอร่า โบท็อกซ์ ฟิลเลอร์ เลเซอร์พร้อมกันในคราวเดียว ซึ่งผมไม่สนับสนุนวิธีการแบบนี้ ลองอัลเทอร่าก่อนแล้วรอดูผลลัพธ์เป็นอย่างๆ ว่าจำเป็นหรือเปล่า ถ้าในที่สุดเราเห็นตรงกันว่าเขายังสวยได้อีก ก็ค่อยโบท็อกซ์เป็นสเต็ปต่อไป ซึ่งจะทำให้เขาได้เรียนรู้ว่าวิธีการที่เขาเลือกทำเหมาะกับตัวเองหรือเปล่า”

จากวันแรกที่แทบไม่มีลูกค้ามาเริ่มเป็นที่รู้จักตอนไหนคะ

“มาบูมจริงๆ ในยุคเริ่มต้นของโซเชียลมีเดีย พอดีคุณมด Cinnamongal บิวตี้บล็อกเกอร์ มีปัญหาหนักมากเรื่องสิวที่หลัง แล้วไปเจอข้อมูลการรักษาด้วยเครื่อง ‘ไอโซลาซ’ ซึ่งที่คลินิกเรามี คุณมดจึงมาหาโดยที่ผมไม่รู้จักเธอ พอมาถึงก็บอกเลยว่าให้ทำที่หลังอย่างเดียว ไม่แตะที่หน้าเลย ระหว่างรักษาคุณมดก็ถามขึ้นมาว่ารู้จักคำว่า ‘บล็อกเกอร์’ ไหม เขาทำบล็อกของตัวเองอยู่ ชื่อ Cinnamongal ผมก็บอกว่าไม่รู้จัก ไม่เคยติดตามเลย เพราะสมัย 8 ปีที่แล้วยังไม่มีเฟซบุ๊ก หรือไอจีใดๆ มีแค่ห้องโต๊ะเครื่องแป้งในพันทิป แต่ก็บอกคุณมดไปว่าถ้ามาเมื่อไร ก็ยินดีรักษาให้ คุณมดก็ไม่ได้พูดอะไร รักษาเสร็จก็จ่ายค่ารักษากันตามปกติ จากนั้นคุณมดก็กลับมารักษากับผมอยู่ 4 – 5 ครั้ง

“จนมาเห็นอีกทีในออนไลน์ว่าคุณมดไปเที่ยวหัวหิน ใส่ชุดบิกินี่โชว์หลังเนียนผิวสวย ซึ่งคนที่ตามคุณมดจะรู้ว่าเธอมีปัญหาสิวที่หลังเรื้อรัง และนี่คือครั้งแรกที่ใส่บิกินี่โชว์ได้ แล้วก็ลงท้ายคำบรรยายภาพที่โพสต์ว่ารักษาผิวที่ไหน เท่านั้นแหละได้เรื่อง รุ่งขึ้นมีคนหลั่งไหลมาเรื่อยๆ จาก 10 คนกลายเป็น 20 คน แล้วก็ บอกต่อๆ กัน ต้องยอมรับว่า THE DEMIS เป็นที่รู้จักจากการบอกปากต่อปากเยอะมาก ผมเคยปรึกษากับทีมว่าเราจะชวนดารามารีวิวคลินิกดีไหม แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจว่าไม่เอาดีกว่า ขอทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดไปก่อน จนเพิ่งมาปีหลังๆ ที่จู่ๆ ก็มีดาราติดต่อมาให้เราได้พิสูจน์ผลงาน ทำให้ผมมองว่าถ้าที่ผ่านมาเรามัวแต่อยากเข้าไปหาดาราในวันที่ฝีมือเราอาจจะยังไม่ถึง สุดท้ายชื่อของเราคงจบแค่วันนั้น แต่ผลลัพธ์ของการรอคอย ฝึกฝน และทุ่มเทก็ทำให้วันนี้คลินิกเรา เป็นที่บอกต่อกันเองในหมู่ดาราโดยที่ไม่ต้องโปรโมตอะไร”

หมอโจ้ THE DEMIS CLINIC

คิดว่าอะไรคือจุดอ่อนและจุดแข็งของ THE DEMIS CLINIC คะ

“สำหรับผมจุดอ่อนกับจุดแข็งของเราคือสิ่งเดียวกัน คือเรารักษาไม่เหมือนใครเลย ถ้าตอนนั้นผมอยากได้กำไรมากๆ บอกเลยว่าฉีดสิวคือได้กำไรที่สุด แต่ผมเลือกที่จะบอกให้คนไข้อดทนรอรักษาด้วยวิธีเลเซอร์ ซึ่งในมุมหนึ่งก็เป็นจุดอ่อนตรงที่เมื่อคนไข้เปิดประตูเข้ามาถาม พอคุยเสร็จ อ้าว…ไม่มีฉีดสิว เขาก็เดินออกไปเลย

“ต้องอธิบายว่าที่ผมยึดมั่นจะไม่ฉีดสิวเพราะรู้ว่าได้ผลไม่ยั่งยืน เนื่องจากผมเคยมีประสบการณ์ตรงมากับตัวเองอย่างที่บอกเวลาใช้สเตียรอยด์ช่วงแรกผิวจะดีขึ้นราวกับยาผีบอก ทำให้รู้สึกว้าวมาก แต่ถ้าทิ้งช่วงสิวจะบุกกลับมาหนักมาก เรียกว่าสิวสเตียรอยด์ เพราะผิวเสพติดสเตียรอยด์ จึงอยากบอกต่อถึงโทษในการรักษาด้วยการฉีดสิว ขณะที่การรักษาด้วยเลเซอร์อาจไม่ให้ผลลัพธ์ในทันที เพราะต้องใช้เวลาในการปรับสภาพผิวให้แข็งแรง แต่หากอดทนรอจะได้ผลในระยะยาว อย่างที่ผมได้ลองกับตัวเองมาแล้ว

“ซึ่งเมื่อคนไข้เข้าใจจุดนี้ เราจึงได้รับการยอมรับมากขึ้นเรื่อยๆ จากคนไข้ 1 คน ไปเป็นหมื่นๆ คน จุดอ่อนนี้จึงกลายเป็นจุดแข็งและจุดเด่นของคลินิกเราไปแล้วว่าหากรักษาสิวที่ไหนไม่หาย ถ้ามาหาเราจะหายแน่ๆ จนถึงทุกวันนี้วิธีการรักษาจึงเป็นสูตรสำเร็จไปแล้ว ซึ่งไม่ได้เกิดจากที่เรียนมา แต่เกิดจากการที่เราดูแลคนไข้ ถ่ายรูป และเก็บสถิติทุกวัน เราเรียนรู้ผ่านประสบการณ์จนรู้ว่าถ้ายิงเลเซอร์จูลเท่านี้ได้ผลร้อยเปอร์เซ็นต์ ถ้าคนไข้แบบนี้มาเราจะจ่ายยาอะไรบ้าง หรือเราบอกได้เลยว่าถ้ารักษาแบบนี้ ภายใน 3 สัปดาห์เขาจะดีขึ้นกี่เปอร์เซ็นต์ แล้วถ้าไม่ดีขึ้นเท่านี้ เปอร์เซ็นต์ จะแปลว่าอะไรได้บ้าง”

สำหรับคุณหมอแล้วเส้นแบ่งหรือจรรณยาบรรณข้อไหนที่จะไม่มีวันข้ามไปเด็ดขาด

“ ‘คุณธรรม’ คือสิ่งที่ต้องมี สิ่งที่เรามอบให้คนไข้ต้องปลอดภัยและเห็นผลที่สุด อย่างตอนที่เทรนด์เรื่องการยกกระชับกำลังมา ผมก็มองหาเครื่องที่ดีที่สุด พยายามเก็บเงินจนซื้อเครื่องอัลเทอร่าได้ แต่ด้วยความที่อัลเทอร่าเมื่อ 7 ปีที่แล้ว รักษาทีตกครั้งละ 80,000 – 100,000 บาท ซึ่งเป็นเงินที่สูงมาก ประกอบกับผมยังไม่มั่นใจว่าการจ่าย 1 แสนนั้นจะเห็นผลเป็นที่น่าพอใจหรือไม่ จึงหาตัวเลือกเป็นการร้อยไหม ลงทุนซื้อไหมไป 1 ล้านบาท แต่พอได้ลองทำแล้วพบว่ามีสิ่งที่ขัดกับคุณธรรมในใจผมอยู่มาก เนื่องจากความเสี่ยงสูง พอร้อยไหมให้คนไข้ไปได้สัก 10 คน ผมเริ่ม นอนไม่หลับเพราะไม่แน่ใจว่าสะอาดพอหรือเปล่า จะติดเชื้อหรือเปล่า แม้ผมจะระวังเต็มที่แล้วก็ตาม ในที่สุดจึงต้องยอมทิ้ง 1 ล้านบาทสำหรับไหมกล่องนั้นไว้เป็นอนุสรณ์ แล้วกลับไปมุ่งมั่นทำอัลเทอร่า เพราะเป็นสิ่งที่ผมมั่นใจที่สุด”

จะบอกรุ่นน้องที่อยากเป็นหมอผิวหนังอย่างไรดีคะ

“หมอผิวหนังเป็นอาชีพที่มีความท้าทายต่อศีลธรรมอยู่เสมอ ความที่เราอยู่กับ ความสวยความงาม แต่ก็เกี่ยวกับชีวิตคน จึงเป็นงานที่เหมือนเล่นและทำธุรกิจ ไปด้วยในตัว แล้วปัจจุบันก็มีทางเลือกหลากหลาย บุคลากรที่ไม่ใช่หมอก็มี ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ก็มีให้เลือกหลายเกรดหลายราคา ไม่ว่าจะเป็นเลเซอร์ โบท็อกซ์ จากขวดละหมื่นเหลือ 3,000 ก็มี หรือถ้าเลือกฉีดสิวแทนเลเซอร์ ก็ยังได้ต้นทุนถูกกว่ามากซึ่งคนไข้ไม่รู้ ฉะนั้นทุกครั้งที่ผมดูแลคนไข้ ผมต้องแยกให้ได้ระหว่างผลกำไรกับผลการรักษา ถ้าจะให้ผลการรักษาดีและผลกำไรเยอะก็ทำได้ มีวิชามารมากมายในวงการนี้ที่จะช่วยลดต้นทุนได้ เปรียบเทียบกับการทำอาหาร ถ้าอยากทำให้อาหารอร่อยจริงๆ จนคนกินแล้วจดจำได้ เคล็ดลับก็คือต้องใส่เครื่องไม่ยั้ง ไม่หวงสูตร ไม่หวงต้นทุน ผลลัพธ์จึงจะดี ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ผมทำมาตลอด

“ดังนั้นการเป็นหมอในวงการความงาม เราต้องคอยดึงจิตวิญญาณของความเป็นหมอให้สูงกว่านักธุรกิจให้ได้ในทุกๆ เคส ที่เราเผชิญ เพราะหากเราตัดสินใจผิดแค่เสี้ยววินาที จะส่งผลต่ออาชีพอย่างแน่นอน หรือถ้าเราละเลยจนลูกค้าเสียโฉมไปออกสื่อ ก็จะส่งผลถึงความน่าเชื่อถือของเราทันที การรักษาให้ได้มาตรฐานและรู้จักชั่งน้ำหนักจึงสำคัญมาก”

เป้าหมายต่อไปของคุณหมอคืออะไรคะ

“ตอนนี้กำลังจริงจังกับแบรนด์ DDC ครับ แบรนด์นี้เกิดขึ้นโดยใช้หลักการเดิมคือ ใช้ศีลธรรมเข้ามาจับในพาร์ตของธุรกิจ และยังคงแหวกแนวจากแบรนด์อื่นๆ คือเป็นสกินแคร์ที่ต่อให้เป็นครีมรักษาสิวก็ไม่ใส่ยาแก้อักเสบ กรด และสเตียรอยด์เลย เราใช้สมุนไพรไทยล้วนๆ ซึ่งใช้เวลากว่า 2 – 3 ปีในการทดสอบ จนมั่นใจว่าเราจะยืนหยัดด้วยเส้นทางนี้ โดยมียาแต้มสิวเป็นสินค้าตัวแรกและเป็นที่ยอมรับเร็วมาก ตอนนี้แตกไลน์ไปเป็น 20 ตัวแล้ว มีทั้งสกินแคร์ เครื่องสำอางและอาหารเสริม โดยยึดมั่นความเป็นแบรนด์ที่พัฒนาโดยแพทย์ผิวหนัง ปราศจากสารที่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้”

ในฐานะที่เป็นเบอร์ต้นๆ ของวงการ คุณหมอมองเรื่องความสำเร็จและความล้มเหลวอย่างไรคะ

“ผมอยู่ในวงการนี้มา 12 ปี คลินิกมีอายุ 10 ปี ถือว่าเติบโตมาพร้อมกัน ในระหว่างทางที่ผ่านมาผมเห็นคลินิกที่เกิดขึ้นมาแล้วก็ต้องปิดตัวไป ยิ่งช่วงโควิดหลายแห่งได้รับผลกระทบเยอะ ช่วงล็อกดาวน์เราก็ปิดตามมาตรการของรัฐบาล ตอนนั้นก็ทุกข์ไม่แพ้คนอื่น แต่พอกลับมาเปิดอีกครั้ง ปรากฏว่าลูกค้าพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าอยากกลับมาหา เพราะช่วงวิกฤติกลับทำให้เขาตระหนักเรื่องการใช้จ่ายว่าจะสะเปะสะปะไม่ได้ ต้องเลือกสิ่งที่ เชื่อมั่นจริง ๆ และเขาก็เก็บเราไว้เป็นตัวเลือกเดียว ทำให้เรามั่นใจว่ามาตรฐานและความแตกต่างอย่างที่เราเป็นนี่แหละที่ทำให้ลูกค้าไว้ใจ

“ผมจึงคอยเตือนตัวเองอยู่เสมอว่าความสำเร็จคือสิ่งที่เราทำแล้วจบ อย่าไปหลงระเริงกับมัน ไม่ใช่ว่าสำเร็จแล้วจะหยุดพัฒนา ตรงกันข้าม เราต้องปรับตัวให้ทันโลกและยุคสมัยเสมอ เพราะความสำเร็จจะนำมาซึ่งความไว้วางใจให้คนเดินเข้ามาหา ยิ่งเราเป็นหมอ ความไว้วางใจจึงยิ่งทวีคูณ แต่ถ้าเราใช้ความไว้วางใจของคนไข้ในทางที่ผิด เชียร์อะไรที่เกินเหตุหรือยัดเยียดสิ่งที่ไม่จำเป็นให้คนไข้ เชื่อว่าไม่นานก็พลิกไปสู่ความล้มเหลวได้ ตอนนี้ผมจึงไม่ได้สู้กับอะไรที่ยิ่งใหญ่ไปกว่าการสู้กับใจตัวเองทุกวัน ว่าจะไม่หลงระเริงไปกับความสำเร็จและกิเลสที่เข้ามา เป็นความสำเร็จที่คอยเตือนตัวเองอยู่เสมอครับ”

วิถีหมอโจ้

• ดูแลทีมงานเหมือนคนในครอบครัว วันแรกที่เหนื่อย ก็ลำบากไปด้วยกัน ผ่านไปสิบปี วันนี้พนักงานคนแรก จึงยังอยู่ด้วยกัน

• จรรยาบรรณของแพทย์ผิวหนังที่สำคัญคือ มีคุณธรรม และกล้าเซย์โนกับคนไข้ ไม่ยัดเยียดขายในสิ่งที่เกินความจำเป็น จนคนไข้ต้องเสียเงินก้อนโตไปกับสิ่งที่ไม่เห็นผลจริง

• หมอด้านความงามต้องคอยดึงจิตวิญญาณความเป็น หมอให้สูงกว่าการเป็นนักธุรกิจ ต้องไม่ยอมลดต้นทุน เพื่อให้ได้กำไรมากขึ้น

• “โชคดี” หมายถึง โอกาสที่เข้ามาในเวลาที่เราพร้อม แต่โอกาสไม่ได้เข้ามาง่าย ๆ จึงต้องให้ความสำคัญกับการ ฝึกฝนพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ และอดทนรอคอย เพื่อเตรียมพร้อมรับโอกาสที่จะเข้ามา แล้ววันนั้น จะเป็นโชคดีของเรา


ที่มา : นิตยสารแพรว ฉบับ 968

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

ชีวิตจริงที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ มาดามแป้ง นวลพรรณ CEO นักสู้หญิงเหล็ก

คัมภีร์นักสู้! ของคนจริง “ตัน ภาสกรนที” ยอมรับปัญหาให้ไว เริ่มแก้ไขให้เร็ว

ชัยชนะบนวีลแชร์ สายสุนีย์ จ๊ะนะ ความพิการไม่ใช่ขวากหนามชีวิต สู่สุดยอดนักกีฬา

Praew Recommend

keyboard_arrow_up