ครั้งแรก! เปิดบ้านริมทะเลสาบของเจ้าพ่อการตลาด “ตัน ภาสกรนที” และครอบครัว พร้อมเรื่องราวชีวิตวันนี้กับความสุขแบบเรียบง่าย
เป็นคำสัญญาที่ “คุณตัน” ให้กับ แพรว ไว้เมื่อหลายปีก่อนว่า หากบ้านหลังใหม่สร้างเสร็จ จะอนุญาตให้เยี่ยมชมเก็บภาพมาฝากคุณผู้อ่านได้ และแล้วสัญญาใจของเราก็ลุล่วงเรียบร้อย
ถ้าให้บรรยายความพิเศษของบ้านภาสกรนที คงต้องเริ่มตั้งแต่ความรู้สึกสดชื่นจากทางเข้าเรื่อยมาจนถึงตัวบ้าน ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากที่คุณตันร่วมด้วยช่วยปลูกต้นไม้ เพื่อสร้างบรรยากาศร่มรื่นให้เสมือนอยู่เขาใหญ่ ถัดมาคือวิวทะเลสาบแบบพานอรามาที่ช่วยส่งความเย็นมากับสายลมตลอดวัน สร้างความสบายกาย สบายตา และสบายใจให้สมาชิกในครอบครัว รวมถึงแขกผู้มาเยือนด้วย ส่วนความพิเศษอื่นๆ ขอให้ประมุขของบ้านเล่าให้ฟังดีกว่า
ขอจัดเต็มสักครั้งกับ “บ้าน” ที่รอมาทั้งชีวิต
คุณตันชวนเราไปนั่งคุยในห้องรับแขกกรุกระจก มองออกไปเห็นวิวทะเลสาบและเนินต้นไม้ร่มรื่น พลางชงชาหอมๆ ให้จิบ เพิ่มความสดชื่นยามบ่าย ก่อนจะเล่าถึงที่มาของบ้านในฝัน
“ผมตั้งใจไว้ตั้งแต่ตอนที่คิดจะซื้อที่ดินปลูกบ้านที่นี่ ว่าอยากให้มีอุโมงค์ต้นไม้ตลอดถนนในหมู่บ้าน ให้ได้อารมณ์เหมือนเป็นเขาใหญ่ในกรุงเทพฯ เดิมหมู่บ้านนี้เต็มไปด้วยต้นไม้ ส่วนกลางก็มีการปลูกเพิ่ม แต่ผมว่ามันยังน้อยไป พอผมซื้อที่เสร็จจึงมาปลูกต้นไม้เพิ่มเติม ตั้งแต่ทางเข้าตลอดจนทุกบริเวณของหมู่บ้าน ปีละประมาณ 1,000 ต้น ติดต่อกัน 3 ปี แม้ตอนนี้อาจจะเหลือประมาณครึ่งหนึ่ง ก็ยังถือว่าเห็นผล (ยิ้ม)
“ที่ผ่านมาผมไม่เคยสร้างบ้านให้ตัวเองเลย เคยแต่สร้างให้คนอื่น ตั้งแต่สมัยทำห้องแถว ทำบ้านจัดสรรขายที่ชลบุรี ส่วนบ้านตัวเองใช้ซื้อเอา ซื้อบ้านตัวอย่างด้วยนะ (หัวเราะ) เพราะไม่มีเวลาไง คิดว่าเขาจัดทุกอย่างไว้เสร็จแล้ว ก็สะดวกดี เราจ่ายเงิน ขนเสื้อผ้าไปอยู่ได้เลย ซึ่งถึงเวลาอยู่จริง ได้ใช้งานหลักๆ แค่ห้องนอนกับห้องกินข้าวแค่นั้นแหละ
“เพราะผมทำงานที่ออฟฟิศ กลับบ้านก็กินข้าว เข้าห้องนอน ไม่มีมุมโปรด ไม่สามารถเชิญแขกไปบ้านได้ เพราะห้องกินข้าวอยู่ชั้น 2 หน้าห้องนอน ไม่เหมาะที่จะเชิญลูกค้าหรือชวนเพื่อนไป จึงตั้งใจมาตลอดว่าอยากสร้างบ้านให้ครอบครัวอย่างที่เราอยากจะอยู่ อยากจะใช้ชีวิตในทุกมุมได้จริงๆ บ้านหลังนี้จึงเป็นสิ่งที่ผมเก็บเกี่ยวความชอบมาทั้งชีวิต ทั้งจากประสบการณ์เวลาไปเที่ยวต่างประเทศ ไปเจอโรงแรมหรือบ้านคนอื่นที่สวยๆ เรียกว่ารวมสิ่งที่ผมชอบที่สุดเอาไว้หมดแล้ว

“หลังจากตระเวนดูมาหลายที่หลายปี ผมก็ตกลงใจกับที่แปลงนี้ที่มีเนื้อที่ประมาณ 2 ไร่ ออกแบบโครงสร้างโดย Boon Design และออกแบบตกแต่งภายในโดยดีไซเนอร์ชาวไต้หวัน (Mr. Wu Chin Chao, Ms. Lai Meng Chun) ที่ผมติดใจฝีมือมาจากงานที่เขาทำให้เพื่อนผมและผมเองมาแล้วหลายงาน งานของเขามีความเป็นญี่ปุ่นบวกเอเชียนิดหน่อย เน้นธรรมชาติ ไม้ หิน ถูกใจผมที่ไม่อยากให้บ้านเป็นภาระของลูกในวันข้างหน้า คือไม่ให้เขาต้องห่วงเรื่องความแข็งแรงหรือกังวลเรื่องทาสีใหม่ จึงใช้หินเยอะหน่อย
“ส่วนการก่อสร้างผมไว้ใจบริษัทฤทธา เขาฝีมือดี ถ้าใช้ผู้รับเหมาเล็กๆ ที่ไม่มีทุน ต้องจ่ายเงินก่อนแล้วค่อยสร้าง หรือจ่ายเงินแล้วต้องคอยตามเฝ้า กลัวเขาหนี ก็คงต้องสร้างกันหลายปี แต่อันนี้เต็มที่เลย ใช้คนงาน 200-300 คน 2 ปีเสร็จ ออกมาได้อย่างที่ผมอยากได้ และถือว่าแก้ไม่มาก เพราะแบบเขาดีอยู่แล้ว

“สำหรับโซนที่เราอยู่กันตรงนี้ (บริเวณห้องรับแขกสไตล์ญี่ปุ่น) จะว่าไปก็เหมือนบ้านอีกหลังหนึ่ง เพราะมีห้องนอนอีก 4 ห้อง สมมติแขกมา อาจพามาที่ห้องนี้ก่อน ยังไม่เข้าด้านในบ้านหลัก หรือถ้าญาติมาค้างก็นอนโซนนี้ แล้วให้เขาใช้ห้องญี่ปุ่นนี้เป็นห้องรับแขก มีห้องน้ำ มีครัวเล็กๆ ให้ด้วย สะดวกดี

“ห้องนี้มีเตา มีกาสำหรับชงชา มีใบชาให้เลือก (เล่าพลางสาธิตการชงชาให้ดู) คือผมเป็นคนจีน ซึ่งคนจีนมีวัฒนธรรมชงชาคล้ายญี่ปุ่น ชงชาล้อมวงดื่มไปคุยไป สบายๆ คุยงานได้ ปาร์ตี้ได้ ทำงานได้ แขกมา ลูกน้องมาพรีเซ้นต์งาน ใช้ห้องนี้ได้หมด

“อีกจุดที่ถือเป็นการคิดเยอะคิดไกลของผมคือห้องกินข้าวใหญ่ มีครัวเต็มรูปแบบ มีตู้เก็บไวน์ เหมือนครัวโรงแรม เพราะลูกชายและลูกสาวชอบทำอาหาร จึงคิดเผื่อให้เขาว่าอนาคตอาจจะทำอาหารขาย เป็นแบบเชฟเทเบิ้ลหรือโอมากาเสะ จึงวางโต๊ะตัวยาวสำหรับเสิร์ฟอาหารฝรั่งกับญี่ปุ่น ถ้าเป็นอาหารจีนจะย้ายไปนั่งที่โต๊ะกลมด้านในซึ่งสะดวกกว่า

“อันนี้คงเก็บกดมาจากที่สมัยก่อนบ้านมีครัวเล็กนิดเดียว กับเตาไฟฟ้า 3 หัว ขยับทำอะไรไม่ได้มาก ตอนนี้จึงทำครัวไว้ให้ครบเลย เวลาเพื่อนๆ ลูกมาก็ทำอะไรกินกันสนุกสนาน แม้ว่าผมกับคุณอิงยังไม่เคยได้กินฝีมือเขาเลยก็ตาม (หัวเราะ)

“ถัดไปเป็นห้องรับแขกใหญ่ที่เปิดประตูกระจกออกไปที่สระน้ำได้ สำหรับจัดปาร์ตี้ ทำบาร์บีคิว วางไลน์บุฟเฟต์ บางคนอาจจะสนุกอยู่ข้างใน บางคนอยู่ข้างนอก บางคนอาจจะอยากดูหนังในห้องเธียเตอร์ เด็กๆ วิ่งเล่นอยู่บนชั้นนั้นได้ คือดีไซน์ทุกมุมมาแบบคิดไว้หมดแล้ว”

“มุมที่ผมใช้บ่อยมาก นอกเหนือไปจากห้องนอน คือห้องออกกำลังกายกับห้องซาวน่า หลังจากเดินบนลู่ ยกน้ำหนัก ตีเชือก ก็จะอบซาวน่า แช่น้ำร้อนน้ำเย็น สบายตัวดี

“สังเกตไหม เวลาพูดถึงบ้าน ผมจะมีพลังมาก รู้สึกมีความสุข เพราะผมภูมิใจ รู้สึกดีเวลาอยู่บ้าน ไปไหนก็อยากกลับบ้าน บางคนไม่อยากไปทำงาน เพราะมีความทุกข์ บางคนไม่อยากกลับบ้าน เพราะขี้เกียจเจอเมียเจอลูกหรือเจอพ่อแม่ กลับบ้านแล้วห่อเหี่ยว แต่ของผมทำงานเสร็จก็อยากรีบกลับบ้าน เหมือนได้ชาร์จแบต ผมมีความเชื่อว่า บ้านทำให้เรามีพลัง แต่ถ้ามีบ้านอย่างเดียว คงไม่มีประโยชน์นะ ต้องมีครอบครัวด้วย”
รักกันไว้ หัวใจ 5 ดวง
นอกจากความโอ่โถง โปร่งโล่ง อยู่สบายแล้ว บ้านนี้ยังมีกิมมิกเรื่องเลข 5 ที่สื่อถึงสมาชิกทั้งห้า
“เลข 5 ที่แทรกอยู่ตามมุมต่างๆ ของบ้านเป็นคอนเซ็ปต์ที่สื่อถึงสมาชิกครอบครัว 5 คน ก่อนหน้านี้ผมเคยอยากทำ แต่ไม่มีโอกาส ฉะนั้นเมื่อทำบ้านนี้ จึงบอกทีมออกแบบไว้เลยว่า อะไรที่สามารถทำ 5 ได้ ก็จัดเลย 5 อย่าง โคมไฟ 5 ห่วง ก้อนเมฆแต่งผนัง 5 ก้อน ฯลฯ คืออยู่ตรงไหนก็ขอให้เจอเลข 5 เหมือนเป็นกุศโลบาย เป็นสิ่งเตือนใจไว้ตอกย้ำเตือนสติทุกคนในบ้านทุกๆ วันว่า ครอบครัวเรามี 5 คนนะ พ่อ แม่ กิ๊ฟ (วริษา) เก็ต (ภาสกร) ใกล้ใกล้ (ใกล้นที) ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต้องรักสามัคคีกัน อย่าทิ้งกัน

“สำหรับอิง วันนี้เขาไม่ใช่เป็นแค่ภรรยา คู่คิด หรือที่ปรึกษา แต่ต้องบอกว่าผมขาดเขาไม่ได้เด็ดขาด เหมือนตะเกียบ ผมคือข้างหนึ่ง อิงเป็นอีกข้าง เขาเหมือนช้อน ผมเป็นส้อม แต่ตอนหลังเหมือนเขาจะเป็นทั้งช้อนทั้งส้อมแล้วนะ คือเก่งขึ้นเรื่อยๆ (หัวเราะ) ถ้าผมไม่มีอิง คงไม่มีวันนี้ เพราะผมคิดตะลุยไปข้างหน้าอย่างเดียว ถ้าไม่มีอิงคอยอยู่ข้างหลัง ช่วยดูแลการเงินกับความเรียบร้อยอื่นๆ คงแย่

“ตอนนี้กิ๊ฟ ลูกสาวคนโตแต่งงานแล้ว สามีเขา (พร้อมพงศ์ ไชยกุล) ทำธุรกิจ (ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัทสตาร์ส ไมโครอิเล็กทรอนิกส์) มีลูกชาย (น้องไพรม์-ปัจจุบัน ไชยกุล) วัยกำลังซน แล้วกำลังท้องอีกคน กิ๊ฟยังดูแล ‘Zaab อีลี่’ ร้านส้มตำ กับช่วยธุรกิจผมนิดหน่อย ผมบอกลูกว่า เรื่องงานพอแล้ว เรื่องดูแลครอบครัว ดูแลบ้านสำคัญที่สุด เพราะบ้านเป็นที่พักพิงหัวใจของทุกคนในครอบครัว
“ส่วนเก็ต ลูกชาย เดิมผมมีนโยบายชัดเจนว่าไม่อยากให้ลูกสืบทอดตำแหน่งทันที ต้องให้เขาไปทำงานไปหาประสบการณ์มาก่อน แต่วันนี้คิดว่าคงไม่ต้องห่วงแล้ว เพราะได้เห็นความเป็นเราในตัวเขาหลายอย่าง เขาจึงน่าจะมาทางเราได้ แต่อาจจะให้ไปมีประสบการณ์การทำงานกับคนอื่น หรือไปไต่เต้ามาบ้าง แต่ที่พูดนี่เก็ตเพิ่งเข้ามหาวิทยาลัย (สถาบันนวัตกรรมบูรณาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) วันแรกเลยนะ ส่วนใกล้ใกล้ ลูกสาวคนเล็ก เพิ่งเรียนเกรด 10 (โรงเรียนนานาชาตินิสท์)”
ติดตามอ่านบทสัมภาษณ์ฉบับเต็มได้ที่ นิตยสารแพรว ฉบับ 962
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
ฝาแฝด 400 ล้าน! 5 เรื่องของ น็อกซ์-วิเวียน น้องเล็กแห่งตระกูล โจลี่-พิตต์
ล้วงหัวใจ สิงห์ วรรณสิงห์ หนุ่มผู้พิชิตใจสาวงาม มารีญา พูลเลิศลาภ
สุดเศร้า คริสซี่ ทีเก้น สูญเสียลูกชาย “เบบี้แจ๊ค” จากภาวะเลือดออกในครรภ์