มีความฝันและความพยายามไม่แพ้ใคร เบสท์ ภัทรารวีย์ นักแสดงไทย-เกาหลี ที่จุดไฟฝันจากการเป็นติ่งซีรีส์ ปรากฏตัวในละครเรื่อง Issue makers
กระแสเกาหลีฟีเวอร์ที่เข้ามาในเมืองไทย ทำให้หลายคนนึกฝันที่อยากจะก้าวเข้าสู่วงการบันเทิงแดนโสม โดยเฉพาะความสำเร็จของศิลปินรุ่นพี่ไม่ว่าจะเป็น “นิชคุณ หรเวชกุล”, “แบมแบม-กันต์พิมุกต์ ภูวกุล”, “ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล” ฯลฯ จุดประกายฝันให้กับน้องๆ เด็กไทยมากขึ้นด้วย
และอีกหนึ่งสาวที่มีความฝันและความพยายามไม่แพ้ใครเลยก็คือ ” เบสท์ ภัทรารวีย์ เบ้าสุวรรณ ‘” สาวไทยคนล่าสุดที่ก้าวสู่วงการบันเทิงประเทศเกาหลีในฐานะนักแสดงกับผลงานซีรีส์ Issue makers ออกอาการทางช่อง SBS PLUS หนึ่งในไอดอลวัยทีนรองอันดับ 2 มิสทีน ไทยแลนด์ 2013
ที่ยอมรับว่าตอนแรกก็เป็นแค่คนชอบดูซีรีส์เกาหลีใต้ธรรมดา ไม่ได้มีพื้นฐานทางภาษา แต่เพราะชอบจึงได้ฝึก เรียนรู้ พัฒนาตัวเอง และการเตรียมความพร้อมอยู่เสมอ ทำให้ได้รับโอกาสในวันนี้มาได้
เล่าถึงการทำงานที่เกาหลีใต้ ไปเล่นละคร issue makers ได้อย่างไร?
“เอาจริงๆ เบสท์ก็ผ่านกระบวนการดูตัวนักแสดงอะไรอย่างนี้ เหมือนกับนักแสดงคนอื่นๆ แต่เบสท์โชคดีที่ได้โอกาสจาก PD ที่เบสท์รู้จัก ทีนี้เขามีโปรเจ็กต์หนึ่งที่ต้องการคนไทยพอดี เขารับรู้ว่าเบสท์ทำงานอยู่ในสายด้านการแสดงที่เมืองไทยอยู่แล้ว ก็เลยชวนออดิชั่น ทำให้เบสท์โดนคัดเลือกแล้วก็ได้รับงานนี้ไปเลย”
เห็นว่าเหตุผลหลักที่ทำให้ได้รับโอกาสเพราะสามารถสื่อสารภาษาเกาหลีใต้ได้?
“ใช่ค่ะ เขาต้องการคนที่พูดเกาหลีใต้ได้ ซึ่งสำคัญกับงานที่นั่นมากๆ”
อะไรคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้จากคนที่ชื่นชอบซีรีส์แต่ตอนนี้กลายมาเป็นนักแสดงเองเลย?
“คือเบสท์อยากเอาชนะใจตัวเองเท่านั้น เบสท์ได้ดูซีรีส์เกาหลีใต้แล้วชอบ ตอนนั้นแค่รู้สึกว่าอยากเป็นคนหนึ่งที่ดูซีรีส์แล้วไม่ต้องอ่านคำบรรยาย จากนั้นจึงขอคุณแม่เรียนภาษาเกาหลีใต้ แต่ไปๆ มาๆ รู้สึกว่าชอบมันจึงเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เอาจริงเอาจังกับมัน ทำให้เรามีโอกาสหลายอย่างเพิ่มขึ้น ทั้งที่ตอนแรกก็ไม่คิดว่าจะมาไกลถึงขั้นนี้”
ทำไมถึงสนใจเรียนภาษาเกาหลีใต้แบบจริงจัง?
แม่เบสท์เหมือนผู้ปกครองคนอื่นๆ ที่คุณพ่อคุณแม่อยากให้เรียนจีนหรือเรียนภาษาญี่ปุ่น แต่รู้สึกว่ามันไม่ใช่สำหรับเบสท์ เลยขอคุณแม่เรียนพิเศษภาษาเกาหลีใต้โดยบอกว่าเบสท์ขอครั้งสุดท้ายเพราะน่าจะเป็นสิ่งที่เบสท์ชอบจริงๆ ที่สุดแล้ว พอเรียนต่อเนื่องก็เริ่มอยากจะจริงจังเลยขออนุญาตคุณแม่ไปเรียนซัมเมอร์หลังจากที่ขึ้นมหาวิทยาลัย ทางบ้านเบสท์ก็สนับสนุนจึงได้ไปซัมเมอร์ที่นั่นทุกปี
จากที่ฟังคุณแม่น่ารักมากๆ สนับสนุนทุกอย่างที่อยากทำเลย?
“ใช่ค่ะ คุณแม่สนับสนุนเบสท์ตั้งแต่เด็กตอนอายุ 8-9 ขวบ แม่เองไม่ได้เป็นคนหยิบทุกอย่างให้เบสท์นะ เบสท์เป็นคนขอเขาเองประมาณ 80% ไม่ว่าจะเป็นการเรียนภาษา การเป็นนักกีฬา นักเต้น นักบัลเลต์ รวมถึงการเป็นนักกีฬายิมนาสติกแต่พออายุเรามากขึ้นมันก็จะมีผลเสียมากในอนาคต เบสท์ก็เปลี่ยนมาเป็นขี่ม้า มาเป็นฟันดาบ ก็ลองทุกอย่าง เพราะมองว่าเรียนไปถึงไม่ได้นำมาใช้แต่ก็เป็นวิชาชีวิตได้ไม่มากก็น้อย”
เส้นทางการทำงานในต่างประเทศอะไรคือสิ่งที่ยากที่สุด?
เบสท์รู้สึกว่าไม่พ้นเรื่องภาษา เพราะว่าตราบใดก็ตามที่เราไม่ได้พูดภาษาไทยกับเขา เราเป็นคนต่างชาติ บางอย่างเราจะไม่เข้าใจบริบทที่เขาพูด มันเลยทำให้เบสท์ต้องมีสมาธิมากกว่าการทำงานที่ประเทศไทยมากกว่า 2 ถึง 3 เท่าตัวเลย ตัวเบสท์เป็นคนที่สมาธิสั้นนิดหนึ่ง แต่พอไปอยู่ที่นู่นเราต้องจดจ่อกับสิ่งที่ทำอยู่มากกว่าเดิม แล้วก็อยู่กับมันมากๆ เพื่อให้เบสท์เข้าใจในสิ่งที่ได้รับมา มันเป็นเรื่องที่ยากแต่ก็พยายามปรับ อีกอย่างหนึ่งก็คือวัฒนธรรมที่มันแตกต่าง อะไรที่ไม่เคยเห็นที่ไทยก็จะได้เห็นจากที่นู่น อะไรที่ไทยมีที่นู่นไม่มี วัฒนธรรมของเรื่องการถ่ายงาน ในเรื่องของการเข้าสังคมอะไรแบบนี้ค่ะ
ได้สตางค์เยอะไหมถ้าเทียบกับการทำงานในเมืองไทย?
ถือว่าได้เยอะกว่าแต่ว่าวิธีการรับเงินจะต่างกว่า ของที่ไทยนับเป็นตอน แต่ของที่นี่เขาจะเป็นเหมารวมทั้งเรื่อง ถ้าถามคุ้มไหมสำหรับเบสท์ ก็ถือว่าคุ้มนะ และอีกอย่างหนึ่งโปรเจ็กต์เขาไม่ยาวเท่าที่ไทย การทำงานของเขาจะใช้เวลาค่อนข้างสั้น อย่างที่นี่เขาถ่ายละครเรื่องหนึ่งก็แค่ 2 เดือนก็จบแล้ว นอกจากเรื่องสตางค์แล้วยังได้ในเรื่องของภาษาและคอนเน็คชั่นที่ดีขึ้นด้วย อีกอย่างหนึ่งคือได้เปิดตัวเองทำงานที่หลากหลาย ไม่ใช่แค่งานในประเทศไทยอย่างเดียว แต่ไม่ใช่ว่าประเทศไทยไม่ดีนะคะ เพียงแค่เราได้รู้จักในมุมที่มันกว้างขึ้นในที่ๆ ไม่ใช่บ้าน เราได้แสดงศักยภาพแสดงฝีมือของเราด้วย มันทำให้คนอื่นเขาได้เห็นว่าคนไทยมีประสิทธิภาพและมีดีอย่างไรด้วย เบสท์รู้สึกว่ามันคุ้มทั้งประสบการณ์และทุกอย่างที่ได้รับจากที่นั่นเลยค่ะ
เบสท์คาดหวังกับวงการบันเทิงเกาหลีไว้อย่างไรบ้าง
เบสท์ก็ยังแสวงหาต่อไป (หัวเราะ) คือเบสท์รู้สึกว่ายังไม่แน่นอนในทางนี้ แต่เบสท์รู้สึกว่าถ้าไม่ลองก็จะไม่รู้ว่ามันรุ่งหรือมันไม่รุ่ง และอีกอย่างหนึ่งคือจบมหาวิทยาลัยแล้ว จึงอยากทำในสิ่งที่ชอบเลยเลือกมาทางสายนี้ อีกอย่างอยากพูดภาษาเกาหลีให้เก่งกว่านี้จึงลองยื่นขอทุนเรียนต่อปริญญาโทด้วย”
สุดท้ายให้ฝากอะไรกับน้องๆ หรือใครก็ตามที่มีความฝันเหมือนกับเบสท์หน่อย?
“เอาเป็นว่าความสำเร็จมันไม่ใช่แค่เราพยายามอย่างเดียว แต่เราต้องพร้อมเสมอด้วย และรอจังหวะ เวลา และโอกาส อย่างเบสท์เองเพราะมีความพร้อมจึงมีโอกาส สำหรับน้องๆ ที่มีความฝันเบสท์ไม่อยากให้ละความฝันของตัวเอง ละโอกาสของตัวเอง ละความพยายามของตัวเอง อย่ามองว่ามันไกลเกินไป ก่อนที่ลิซ่าหรือแบมแบมจะมาถึงทุกวันนี้เขาก็ไม่รู้หรอกว่าจะมาถึงทุกวันนี้หรือเปล่า แต่เขาก็ต้องพยายามและมีความพร้อมมากๆ เช่นเดียวกัน”
ภาพจาก : bbbestie