เข้ม หัสวีร์

เข้ม หัสวีร์ …7 ปีที่ไม่ได้คุยกับแม่ แต่วันนี้แม่คือทุกสิ่งในชีวิต

account_circle
เข้ม หัสวีร์
เข้ม หัสวีร์

เข้ม หัสวีร์ …7 ปีที่ไม่ได้คุยกับแม่ แต่วันนี้แม่คือทุกสิ่งในชีวิต ตั้งแต่วันแรกที่ละครเรื่อง เขยบ้านไร่ สะใภ้ไฮโซ ออกฉายทางช่อง 7HD กระแสพุ่งแรงจนติดอันดับเทรนด์ทวิตเตอร์ทั้งอันดับ 1 และ 2 ของประเทศ ในยุคที่ละครวายกำลังครองเมือง นี่คือการพิสูจน์ฝีมือคู่พระนางเคมีดี ‘เข้ม หัสวีร์ ภัคพงษ์ไพศาล’ และ ‘มุกดา นรินทร์รักษ์

เราได้มีโอกาสสัมภาษณ์เข้มครั้งแรก เพิ่งรู้ว่าเขาเคยเป็นเด็กเกเรมีเรื่องต่อยตี ไม่ยอมคุยกับแม่อยู่หลายปี จนถึงวันที่ชีวิตเจอจุดเปลี่ยน ซึ่งวันนี้เข้มพูดได้เต็มปากว่า ครอบครัวสำคัญที่สุด

เข้ม หัสวีร์ …7 ปีที่ไม่ได้คุยกับแม่ แต่วันนี้แม่คือทุกสิ่งในชีวิต

ทราบมาว่า เข้มกับมุกดาเป็นคนนิ่งทั้งคู่ เวลาทำงานด้วยกันต้องปรับตัวยังไงบ้าง

“เขยบ้านไร่ สะใภ้ไฮโซ เป็นละครเรื่องที่ 2 ที่ผมเล่นคู่กับมุก ถ้าพูดถึงวิธีการทำงาน เราไม่ต้องปรับอะไรเลย มุกทำการบ้านมาดี เข้าฉากซ้อมด้วยกันหนึ่งครั้งก็ถ่ายได้แล้ว ส่วนเรื่องนิ่ง ผมนิ่งและเงียบมาแต่ไหนแต่ไร แต่พอถึงจังหวะการทำงาน เราก็ต้องคุย ก็ทำให้ผมกับมุกรู้จักมุมมองของกันและกันเยอะ”

ตั้งแต่รู้จักกันมา ประทับใจมุกดาเรื่องอะไร

“ความเป็นธรรมชาติในการใช้ชีวิต สิ่งที่เขากับผมมีเหมือนกันคือความติสท์ คือ โลกส่วนตัวสูงเหมือนกัน แต่ขณะเดียวกันพอทำงาน เขาจะเป๊ะและพร้อมทำงานมาก”

ถ้าให้เล่าถึงโลกส่วนตัวของเข้ม เป็นยังไงคะ

“ผมทำงานหนัก พอมีเวลาก็อยู่กับตัวเอง อยู่บ้านนอนเปื่อย หยิบกีตาร์ขึ้นมาเล่น ส่วนเวลาอยู่ที่กองถ่าย พอถึงช่วงเบรก ผมจะนั่งเงียบๆ ที่จริงเหมือนฝึกทำสมาธิ ทบทวน อ่านบท ส่วนเรื่องติสท์ ตอนแรกไม่รู้หรอกว่าตัวเองติสท์ จนกระทั่งเพื่อนในวงการบอก เพราะนิสัยผมคือ อยากทำก็ทำ ไม่อยากทำก็ไม่ทำ ต่อให้ใครมาบังคับก็ไม่ทำ แต่ถ้าเป็นเรื่องงาน ผมไม่ตามใจตัวเองอย่างนี้นะ ผมจะให้ความสำคัญกับการทำงานมาก ไม่ยอมให้ใครเสียเวลากับเราเด็ดขาด”

วันว่างดูแลตัวเองยังไงบ้าง

“ไม่นานมานี้ผมสร้างวินัยเรื่องการออกกำลังกายใหม่ เริ่มควบคุมน้ำหนัก ก่อนหน้านี้ทดลองกินแบบ IF ออกกำลังกายหนัก ลดอาหารหนักๆ แต่ก็ไม่ได้ผล จนที่สุดก็มาขอคำแนะนำจากเทรนเนอร์ เรื่องการกินและควบคุมน้ำหนัก จนเราได้รู้ระบบการทำงานของกล้ามเนื้อ ทุกวันนี้ถ้าว่างก็ออกกำลังกายปั่นจักรยาน เข้ายิม และกินอาหารแค่สองมื้อคือเที่ยงกับเย็น น้ำหนักเลยลงมา 10 กิโลเลยครับ”

ขอย้อนกลับไปสมัยก่อนเข้าวงการบันเทิง ทราบมาว่า เป็นเด็กเกเร อยากรู้ว่าขนาดไหนคะ

“ครบหมดเลย สมัยเด็กผมเติบโตที่บึงกาฬ ทะเลาะวิวาทก็มี หาเรื่องใส่ตัวบ่อย ตอนเด็กพ่อแม่ตัดสินใจแยกทางกัน และแม่ก็ไปอยู่ต่างประเทศ ผมอาศัยอยู่กับตายายและพี่สาว รู้สึกว่า ต้องตัดสินใจทุกเรื่องด้วยตัวเอง บวกกับเราอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีเพื่อนเกเรด้วย ไม่มีใครห้ามใคร รักเพื่อน เพื่อนว่ายังไงก็ว่าตามนั้น เช่น เวลาเพื่อนมีเรื่องกับคนอื่นๆ หรือถ้าคนอื่นมาหาเรื่องเพื่อน ผมจะไปเป็นตัวเปิด ตาก็เคยเตือนไว้ว่า ถ้ามีเรื่องจะไม่ช่วยนะ ส่วนเรื่องเรียนก็แย่มากคือติด 0 ติด ร. ยายเคยเห็นเกรดแล้วเป็นลมเลย”

ชีวิตเปลี่ยนตอนไหน

“ตอนที่เข้ามาทำงานในกรุงเทพและเรียนปวช.ไปด้วย ตอนนั้นอายุ 18 ปี ผมตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่ขอเงินที่บ้าน ก็มาเป็นช่างเชื่อมเหล็กให้กับบริษัทผลิตป้ายปริ้นท์ตามถนน ทำไม่ถึงปี ชีวิตดิ่งก่อน”

“ผมจำได้ว่ามันเป็นวันที่เลวร้ายนะ ทำงานหนักจนไม่ได้กินข้าวติดกันหลายวันจนมีปัญหาสุขภาพ ร่างกายไม่ไหว ภาพต่างๆ ในวัยเด็กย้อนมา ภาพที่เคยอยู่กับพ่อแม่ เราอยู่บ้าน มีอาหารรอเราอยู่ พอนึกถึงภาพนั้นผมก็ตัดสินใจโทรคุยกับคุณแม่ เพราะก่อนหน้านั้น ตอนที่เราแยกทางกันสมัยผมยังเด็ก ผมตัดสินใจไม่คุยกับแม่เลยประมาณ 7 ปี แต่สุดท้ายความอบอุ่นตรงนั้นก็มาสะกิดให้ผมเปลี่ยนระบบความคิดใหม่ ต้องหันกลับมาสนใจครอบครัว ก็ตัดสินใจโทรหาคุณแม่ให้แม่กลับมาอยู่เมืองไทย”

หลังจากไม่คุยกับแม่มา 7 ปี วันแรกที่เจอแม่เป็นยังไงบ้าง

“ผมกราบก่อนเลย ขอโทษแม่  แต่ตอนนั้นผมก็ไม่รู้ตัวหรอกว่า จะพูดอะไร เพราะเราไม่ได้อยู่ด้วยกัน ไม่ได้เจอกัน ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง ก็ใช้วิธีค่อยๆ พูดทีละนิด แต่แม่จะเป็นคนคอยรักษาความรู้สึกของเรา  จนทุกวันนี้ผมกล้าเปิดใจคุยกับแม่ทุกเรื่อง เล่าได้ทุกอย่าง ตอนนี้แม่คือบัดดี้คู่ใจ เป็นทุกอย่างในชีวิตครับ

ตั้งแต่เข้าวงการบันเทิงมา วงการนี้สอนอะไรเข้มบ้าง”

“สอนผมให้รู้จักวางแผนชีวิต รวมไปถึงการใช้เงิน มันมีคำว่า ‘ตื่นเงิน’ อยู่ คือ เงินมาเยอะใช้เยอะ แต่ผมโชคดีที่แม่คอยจัดการเรื่องนี้ให้ผมให้แม่ดูแลทั้งหมด ทุกวันนี้เก็บเงิน 70% ใช้ 10% ที่เหลือคือให้แม่ ผมโชคดีด้วยที่ไม่ยึดติดอะไร อย่างข้าวของแทบไม่ซื้ออะไรเลย ผมจะเน้นเรื่องการลงทุนมากกว่าเช่น ที่ดิน หรืออสังหาริมทรัพย์

เป้าหมายของเข้มในวันนี้คือเรื่องอะไร

“ถ้าเป็นในวงการบันเทิง ผมยังไม่ได้มองไกลแค่ขอทำงานของตัวเองให้ดีที่สุด นอกจากนี้ผมอยากมีธุรกิจของตัวเอง ทำร้านอาหาร คาเฟ่ ก็วางแผนไว้แล้วครับ เพราะสุดท้ายก็อยากให้ครอบครัวสบายครับ”


 

Praew Recommend

keyboard_arrow_up