อ่านแล้วต้องรัก อีกมุมของ ติ๊ก-เจษฎาภรณ์ "เจ้าป่าเข้าเมือง" ที่โดนไล่ "กลับเข้าป่า"
ติ๊ก-เจษฎาภรณ์

อ่านแล้วต้องรัก อีกมุมของ ติ๊ก-เจษฎาภรณ์ “เจ้าป่าเข้าเมือง” ที่โดนไล่ “กลับเข้าป่า”

account_circle
ติ๊ก-เจษฎาภรณ์
ติ๊ก-เจษฎาภรณ์

จู่ๆ ก็โดนไล่กลับเข้าป่า สำหรับพระเอกหนุ่มหล่อคงกระพัน “ติ๊ก-เจษฎาภรณ์ ผลดี” เพราะหลังเจ้าตัวได้ออกมาโพสต์ถึงปัญหาทางเท้าในประเทศไทย ที่ย่ำแย่ สร้างความลำบากให้กับผู้เดิน พร้อมกับตั้งคำถามว่ารู้สึกอย่างไรกันบ้างที่ต้องออกมาเรียกร้องสิทธิขั้นพื้นฐาน ซึ่งหลังจากพี่ติ๊กโพสต์ไปนั้น ดูเหมือนว่างานจะเข้า ระเบิดลง โดยมีชาวเน็ตจำนวนหนึ่งไล่ “เจ้าป่าเข้าเมือง” ให้กลับเข้าป่าไป

ทั้งนี้ “ติ๊ก-เจษฎาภรณ์ ผลดี” ได้ออกมาทวิตข้อความผ่าน @tik_pholdee โดยได้โพสต์ถึงปัญหาทางเท้าในประเทศไทยซึ่งมีใจความว่า “เรารู้สึกอย่างไรกันบ้างครับที่จะต้องคอยมาสอดส่องเรียกร้องสิทธิพื้นฐานกับผู้ที่มีหน้าที่โดยตรง สวัสดิภาพที่ดีกับบรรยากาศที่ดีย่อมน่าจะได้รับก่อนสิ่งใด ขอบคุณเจ้าของเพจนะครับ #ทางเท้า #ฟุตบาทไทย

ติ๊ก-เจษฎาภรณ์

หลังจากที่พี่ติ๊กได้ทวิตรูปและข้อความนั่นออกไป ปรากฎว่ามีผู้มาแสดงความคิดเห็นกันอย่างล้นหลาม และมีการรีทวีตไปแล้วกว่า 28,9xx ครั้ง ซึ่งความคิดเห็นโดยส่วนใหญ่นั้นกล่าวถึงประสบการณ์ และ ปัญหาต่างๆ ที่ต้องเจอกับการใช้ฟุตบาตในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นเดินแล้วเสี่ยงตาย ไม่รู้จะตกท่อวันไหน, ทางเท้าที่ไม่ได้ทำให้คนเดิน, รู้สึกแย่ที่คุณภาพชีวิตต่ำเตี้ยเรี่ยดิน เป็นต้น

อย่างไรก็ตามมีชาวเน็ตอีกจำหนวนหนึ่งก็ไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่พี่ติ๊กโพสต์ นอกจากนี้ยังได้ออกมาโจมตี พร้อมคอมเม้นต์หยาบคาย รวมถึงยังไล่พระเอกหนุ่มให้ “กลับเข้าป่าไป”

สำหรับ ติ๊ก-เจษฎาภรณ์ ผลดี พระเอกหนุ่มหล่อที่ไม่ได้มีเสน่ห์แค่ภายนอก จนทำให้ทุกคนรักเขา แต่การใช้ชีวิต และความคิดของผู้ชายคนนี้ยังมีอีกหลายมุมที่มีเสน่ห์มากกว่า และน้อยคนนักที่จะรู้

ติ๊ก-เจษฎาภรณ์

ชีวิตวัยเด็กของ ด.ช. เจษฎาภรณ์ ผลดี เขาเกิดมาในครอบครัวฐานะปานกลาง ไม่ได้ถูกพ่อแม่เลี้ยงดูมาแบบตามใจ เขาเล่าว่าของเล่นแทบไม่มี ถ้าอยากได้อะไรก็ต้องเก็บเงินซื้อเอง ตอนเด็กๆ ไม่ค่อยได้ไปเที่ยวไหน เพราะที่บ้านไม่มีเงินพาเที่ยวถ้าอย่างหรูสุดก็คือไปเขาดินกับห้างสรรพสินค้า กว่าจะได้มีโอกาสไปเที่ยวเมืองนอกครั้งแรกก็ตอนที่ได้เล่นภาพยนตร์ 2499 อันธพาลครองเมือง เพราะหนังเรื่องนี้ประสบความสำเร็จมาก จึงมีการพาทีมงานไปฉลองที่สิงคโปร์ ถือเป็นช่วงที่เขารู้สึกตื่นเต้น ดีใจมาก เพราะเป็นการได้ไปเที่ยวต่างประเทศครั้งแรกของเขา

กว่าจะกลายเป็นพระเอกชื่อดังในวันนี้ เส้นทางการเป็นพระเอกของหนุ่มติ๊กก็ไม่ได้มาง่ายๆ เขาเริ่มจากการเป็นตัวประกอบ ได้เงินวันละ 500 บาท รวมถึงโหนรถเมล์ นั่งแท็กซี่ไปแคสต์งานตามโปรดักชั่นเฮ้าส์แถวรัชดา ลาดพร้าว และสุขุมวิท เขาจึงเปรียบชีวิตตัวเองว่าเป็นเหมือนแบ็กแพ็คเกอร์ เพราะกว่าจะมีวันนี้ต้องผ่านอะไรมาไม่น้อย

เขาบอกว่าจริงๆ แล้วเขาเองก็ไม่ใช่นักแสดงที่ดีมาก อย่างก่อนเปิดกล้องจะมีการเวิรค์ชอปกับคุณครูสอนการแสดง เขาเป็นนักเรียนที่ไม่ค่อยตั้งใจ เวลาครูมีเคสตัวอย่างให้ฝึก แต่ถ้าเขาไม่อยากทำแซวครูก็มีเหมือนกัน

หลายคนบอกว่าเขาเป็นคนติดดิน เป็นกันเองกับทุกคน แต่ถ้าเป็นเรื่องการทำงาน หนุ่มคนนี้ยอมรับว่าตัวเองเป็นคนยาก เพราะอยากคุยรายละเอียดของงานให้ชัดเจนก่อนเพื่อความสบายใจ จะได้ไม่มีความขัดแย้งกัน เมื่อจบแล้ว พอทำงานกันเขาจะกลายเป็นคนที่ทำงานด้วยง่ายที่สุด และพร้อมทำงานทุกอย่างตามที่ตกลง

แม้ว่าใครจะมองว่าเขาเป็นพระเอกซุปเปอร์สตาร์ แต่เจ้าตัวกลับบอกว่า ดาราก็คืออาชีพหนึ่งที่ไม่ได้มีความรับผิดชอบอะไรเกินจากสิ่งที่รับมา แค่พยายามใส่ใจบทบาทที่ได้รับ แลละพัฒนาตัวเองตลอดเวลา ทำงานตามที่ผู้กำกับต้องการให้ได้ ทุกอย่างเหมือนกับอาชีพอื่นๆ เขาจึงไม่คิดว่าดาราคือซุปเปอร์สตาร์ที่ออกไปทำงานแล้วต้องมีแสงส่องเจิดจรัส และเจ้าตัวเองก็อยากเป็นคนมืดๆ มากกว่า เพื่อทำงานให้ทุกคนได้ดูกัน

ชีวิตของเขานอกจากการเป็นทำอาชีพนักแสดงแล้ว ก็เป็นที่ทราบกันดีว่า เขาคือคนรุ่นใหม่ทีหันมาเอาดีกับการทำรายการที่ส่งเสริมเรื่องอนุรักษ์ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมซึ่งตอนนี้เป็นเวลาสิบปีแล้ว จนกลายเป็นอีกหนึ่งบทบาทที่ทำให้เขามีโอกาสได้ช่วยเหลือสังคม ไปบรรยายตามสถานศึกษาต่างๆ อยู่บ่อยครั้ง และการไปบรรยายแต่ละครั้งของเขา แม้ว่าจะมีค่าตอบแทนให้ แต่เขาจะคืนให้กับสถานศึกษานั้นเพื่อนำไปทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ทุกครั้ง โดยเขาให้เหตุผลว่า ถ้ารับเงินมาคงไม่สบายใจ เพราะได้เงินจากการเล่นละคร ทำรายการทีวี และออกอีเว้นต์แล้ว ไม่อยากให้การบรรยายกลายเป็นอาชีพ แต่อยากให้เป็นอีกวิธีที่จะทำให้เขาสามารถตอบแทนสังคมได้มากกว่า

ความน่ารักของผู้ชายคนนี้นอกจากจะเป็นคนที่คอยให้ความรู้และกระตุ้นจิตสำนึกเรื่องการอนุรักษ์ธรรมชาติแล้ว เรื่องที่น่าประทับใจเกี่ยวกับหนุ่มคนนี้อีกอย่างก็คือ เมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว เขาได้ทำรายการเกี่ยวกับคนตาบอด และตอนนั้นอาจารย์ที่โรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพขายสลากกาชาดแล้วเหลืออยู่เจ็ดใบ เขาจึงเหมามาหมดแล้วดันถูกรางวัลที่หนึ่ง ได้ทองคำที่ตีมูลค่ามาได้สามแสนบาท เขาจึงบริจาคคืนให้โรงเรียนสอนคนตาบอด บวกกับแฟนคลับของเขาเองช่วยสมทบเงินอีก รวมๆ แล้วเงินที่บริจาคได้มากกว่าล้านบาท เงินตรงนี้เอาไปซ่อมแซมสระว่ายน้ำของโรงเรียน แถมติดป้ายชื่อเจษฎาภรณ์ ผลดี และแฟนคลับด้วย เขาบอกว่าเห็นป้ายแล้วก็ประหลาดใจ เพราะตัวเองใจจริงอยากทำแบบเงียบๆ ไม่อยากให้มีชื่อติดแบบนั้น

มาที่เรื่องครอบครัวของหนุ่มติ๊กบ้าง ทุกวันนี้เขาแต่งงานมีลูกชายที่น่ารักสองคน พี่เต็นท์ & น้องตริณณ์ กิจกรรมของครอบครัวผลดีนั้น เขาเล่าว่าถ้าว่างๆ ก็จะพาลูกไปเที่ยวสวนสัตว์ แต่ถ้าอยู่บ้าน เขาจะทำหน้าที่พ่อเต็มตัว เพราะสมัยก่อนก็เคยเลี้ยงน้องชายคนเล็ก การเปลี่ยนผ้าอ้อมจึงเป็นเรื่องที่ไม่ยากนัก แค่ทบทวนความจำนิดหน่อย แต่มีอีกทักษะที่ได้เพิ่มมาก็คือ การร้องเพลงแมงมุมให้ลูกฟังจนหลับปุ๋ย

การเลี้ยงลูกสไตล์ติ๊ก เขาให้ความสำคัญในการปลูกฝังลูกในหลายๆ เรื่อง เช่นการโตไปต้องเป็นผู้ใหญ่ที่ดี ไม่ทำปัญหาให้สังคม เคารพในสิทธิของผู้อื่น ทุกช่วงเวลาที่ลูกชายของเขาเติบโตขึ้นในตอนนี้จึงสอนให้ลูกรู้จักการแบ่งปัน ยกตัวอย่างเวลาที่น้องเต็นท์กินผลไม้ แทนที่จะกินคนเดียว ก็จะสอนให้เขาป้อนพ่อแม่ ป้อนคุณยาย และคุณย่า จนกระทั่งวันนึงหนุ่มติ๊กบอกว่า น้องเต็นท์กินผลไม้ แล้วยื่นมาให้โดยไม่ต้องบอกก่อน ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่เขาสอนแล้วได้ผล ทำให้เขายิ้มได้ไม่น้อย


ที่มา : คอลัมน์ Speak Out นิตยสารแพรว ฉบับ 864 ปักษ์ 25 กันยายน 2558

 

 

 

Praew Recommend

keyboard_arrow_up