เราไม่ต้องไปแสดงว่า ตัวเองสำคัญ ผมมองว่า ยิ่งทำตัวให้นอบน้อมได้เท่าไร เราก็ยิ่งมีความสำคัญในสายตาคนอื่นเท่านั้น เวลาไปไหนมาไหนผมจึงไม่เคยใช้รถนำ ไม่ต้องมีบอดี้การ์ด แต่กลัวคนตีหัวอยู่เหมือนกันนะ
น้อยครั้งที่ผู้ชายคนนี้จะให้สัมภาษณ์แบบเจาะลึก ผู้บริหารท่านหนึ่งของช่อง 3 บอกว่า นี่อาจเป็นการสนทนาขนาดยาวที่สุดครั้งหนึ่งในรอบหลายปีของ ‘ประวิทย์ มาลีนนท์’
นั่นก็เพราะว่า เรามีหลายเรื่องที่อยากคุย และอยากถามแม่ทัพใหญ่ของช่อง 3 ถึงเรื่องราวทั้งสุขและทุกข์ในการเดินทางไกลบนถนนสายโทรทัศน์ รวมถึงชีวิตส่วนตัวในบ้าน ‘มาลีนนท์’ และข่าวล่าสุดที่ไม่มีใครคาดคิด เมื่อคุณประวิทย์ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่ง กรรมการผู้จัดการ
“ช่อง 3 จะเป็นอย่างไรต่อ” คือ คำถามแรกที่หลายคนสงสัย ซึ่งคุณประวิทย์มีคำตอบ พร้อมทั้งเรื่องราวกว่าค่อนชีวิตที่เขาทุ่มเทไปกับวงการโทรทัศน์ไทย
คุณประวิทย์ให้เหตุผลที่ลาออกจากตำแหน่งการรมการผู้จัดการ ช่อง 3 ว่า มีปัญหาสุขภาพ รายละเอียดมากกว่านั้นเป็นอย่างไรครับ
ผมมีปัญหาสุขภาพมานานแล้วครับ เคยเข้ารับการผ่าตัดบายพาสหัวใจเมื่อ 8 ปีก่อน ตอนนั้นหมอขอว่า อย่าใช้ชีวิตที่ต้องทำงานหนักๆ อีก ผมก็รับปาก และไม่ได้ใช้ชีวิตแบบเดิมจริงๆ แต่แย่กว่าเดิมอีก ออกจากโรงพยาบาลวันที่ 4 สิงหาคม พอวันที่ 8 ก็ไปทำงานที่พัทยา แล้วตอนนั้นเป็นการผ่าตัดแบบเปิดหน้าอกด้วย จำได้ว่า ต้องไปทำแผลที่โรงพยาบาลในพัทยาก่อนแล้วค่อยไปงาน
หลังจากนั้นมีงานติดพันมาเรื่อยๆ พอผ่าตัดได้หนึ่งปี ช่อง 3 มีครอบครัวข่าว ผมจึงต้องทุ่มเวลาให้งาน ไม่มีโอกาสดูแลตัวเอง ไปตรวจร่างกายอีกทีปรากฏว่า เส้นบายพาสที่ทำไว้เส้นหนึ่งมีอาการฝ่อ ใช้งานไม่ได้ จึงเริ่มคิดว่า ถึงเวลาดูแลตัวเองอย่างจริงจังแล้ว
นอกจากนี้ เวลาที่ผ่านมาของผม 80 เปอร์เซ็นต์ ต้องทำงานอื่นที่ไม่สร้างรายได้ให้บริษัทและเครียดมากด้วย เป็นงานจุกจิกที่ต้องบริการคนอื่น หรือคนอื่นมาใช้เรา โดยเฉพาะมาจากภาคราชการหรือการเมือง ผมเหลือเวลาทำงานจริงๆ แค่ 20 เปอร์เซ็นต์ จึงอยากตัดเรื่องที่ไม่จำเป็นออก เพื่อดูแลสุขภาพ และใช้เวลาให้เป็นประโยชน์มากขึ้น จึงคุยเรื่องลาออกกับพี่น้องมาตลอด เป็นแผนที่คิดไว้มาพักใหญ่แล้ว
ช่อง 3 ที่ไม่มีคุณประวิทย์เป็นแม่ทัพจะระส่ำระสายไหมครับ
ผมไม่ห่วงบริษัทเลย เชื่อเถอะว่า หุ้นช่อง 3 ไม่ตกแน่ เพราะโครงสร้างภายในไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ยกเว้นผมที่ไม่ได้ทำงานประจำ แต่คงเข้าบริษัททุกวัน เพราะแค่ลาออกจากตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ แต่ยังทำงานตามปกติ ถ้าทีมงานต้องการคำแนะนำ หรือให้อยู่เป็นเพื่อน ก็ยินดี
แล้วทุกวันนี้ ทีมงานของเราก็เข้มแข็งขึ้น สามารถเดินได้ด้วยตัวเอง อย่างที่บอกว่า ผมทำงานแค่ 20 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือคนอื่นทำให้หมด นอกจากนี้ เรายังเป็นทีมที่คุยกันได้ทุกเรื่อง ไม่เหมือนบางแห่งที่ต่างคนต่างคิด ต่างคนต่างทำ แต่พวกเราแชร์ฝัน นำเป้าหมายมาปรึกษาหารือ แล้วทำให้เกิดเป็นรูปธรรม อย่างเช่นงานข่าว ความจริงผมฝันว่า เราจะเป็นสถานีข่าว แต่ทีมงานฝันต่าง คิดถึงคำว่า “ครอบครัวข่าว” เราแลกเปลี่ยนความคิดกัน สุดท้ายผมยอมแพ้ ซึ่งผลตอบรับตอนนี้ก็สะท้อนว่า คำว่า ครอบครัวข่าว ดีกว่าจริงๆ
แต่เราเรียกกันขำๆ ว่า “หมู่บ้านข่าว” เพราะจำนวนคนข่าวเยอะเกินครอบครัวแล้ว
ครับ (หัวเราะ) ฝ่ายข่าวโตขึ้นทุกวัน ที่เป็นแบบนี้เพราะทุกฝ่ายร่วมใจกัน อย่างเวลาฝ่ายข่าวคิดโครงการอะไรขึ้นมาสักอย่าง ฝั่งบันเทิง ฝ่ายเทคนิค หรือฝ่ายการตลาดจะยื่นมือเข้ามาช่วย ขาดฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ได้ เพราะต่อให้รายการดีขนาดไหน แต่ถ้าฝ่ายขายไม่เก่งหรือไม่ขยัน รายการคงไม่ประสบความสำเร็จ
อ่านต่อได้ที่นิตยสารแพรว ฉบับ 794