หม่อมเจ้าการวิก ในห้วงยามที่สงครามโลกในเอเชียใกล้จะสิ้นสุดลง
หม่อมเจ้าการวิก ในห้วงยามที่สงครามโลกในเอเชียใกล้จะสิ้นสุดลง หม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์ฯ สวัสดิวัตน์ ได้เตรียมเดินเดินทางเข้ามาปฏิบัติการในเมืองไทย แต่ทางอังกฤษสงสัยว่า จะทรงได้รับการต้อนรับจากเสรีไทยในเมืองไทยหรือไม่ เพราะสถานะความเป็นเจ้าของท่าน กับผู้นำเสรีไทยในเมืองไทย ที่เคยเป็นฝ่ายเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อพ.ศ.2475
ผมขอย้อนเล่าถึงเหตุการณ์ในปีพ.ศ.2488 ซึ่งในปีนั้นดูเหมือนว่าจะเป็นความหวังของคนทั่วโลกที่อยากจะเห็นความสงบสุขกลับคืนมาอีกครั้ง แต่กว่าจะบรรลุถึงจุดนั้นมิใช่เรื่องง่ายเสียทีเดียว ทรัพยากรอันมีค่ารวมถึงชีวิตของมนุษยชาติต้องถูกสังเวยในเปลวเพลิงแห่งสงครามเหลือนับคณา…
เย็นวันที่ 25 มกราคม พ.ศ.2488 คณะซาวันนา (SAVANA) นำโดยทศ (หัวหน้าคณะ) จีริดนัย (ช่างวิทยุ) และบุญส่ง (ผู้ช่วย) ได้รับคำสั่งให้ขึ้นเครื่องบินลิเบอเรเตอร์ (B-24) เพื่อกระโดดร่มเข้าเมืองไทยที่ภูกระดึง จังหวัดเลย โดยมีเสนาะ ประโพธ และเทพ พร้อมสมาชิกเสรีไทยในประเทศจำนวนหนึ่งมารอรับ
ก่อนหน้านั้น ทางอังกฤษพยายามบ่ายเบี่ยงที่จะติดต่อกับไทยหรือให้ไทยส่งคนมาติดต่อ จนตอนหลังถึงตัดสินใจเลือกหาบุคคลที่อาสาเข้ามาประเทศไทยเพื่อติดต่อกับ ‘รู้ธ’ (นายปรีดี) หลังจากที่ทราบว่า ทางอเมริกันติดต่อไทยได้แล้ว และกำลังจะส่งนายทหารอเมริกันเข้าไทย แต่ทาง S.O.E. ลอนดอนไม่ยินยอมให้กิลคริสต์ ซึ่งเคยทำงานในสถานทูตอังกฤษที่กรุงเทพฯและพูดไทยได้เข้ามา เพราะระแวงว่าทหารฝรั่งในกองกำลัง 136 มีความชอบพอลำเอียงต่อคนไทยและเชื่อคนไทยง่ายๆ ปู่จุดกับกิลคริสต์จึงต้องเสียเวลาค้นหานายทหารอังกฤษที่มีคุณสมบัติเหมาะสม คือต้องเป็นคนอังกฤษ มีสุขภาพดีพอจะกระโดดร่มได้ รู้จักเมืองไทยและสถานการณ์ในประเทศพอควร และต้องมีความรู้ทางทหารพอที่จะพิจารณาแผนการทางทหารในระดับสูงได้ ทั้งกับฝ่ายไทยและกองบัญชาการสูงสุดฝ่ายสัมพันธมิตร (SEAC) จนกระทั่งเดือนมกราคม พ.ศ.2488 จึงได้พลจัตวา วิกเตอร์ เจคส์ (VICTOR JACQUES) ซึ่งเคยมีสำนักงานทนายความที่มีชื่อเสียงอยู่ในกรุงเทพฯหลายปี ความสามารถทางทหารเคยได้รับเหรียญกล้าหาญ (MILITARY CROSS) ในสงครามโลกครั้งที่ 1 ถึง 3 ครั้ง เป็นผู้อาสา กว่าจะทำเรื่องโอนตัวกันเสร็จ ผู้แทนทหารอเมริกันคือ พันตรี ดิ๊ก กรีนเลย์ และร้อยเอก จอห์น เวสเตอร์ ก็ได้เดินทางเข้ามาเมืองไทยแล้ว
ต่อมาทางอังกฤษตกลงให้ฝ่ายไทยส่งคณะผู้แทนไทยออกมาเจรจากับกองบัญชาการทหารสูงสุดในแคนดี้โดยไม่อิดออด โดยส่งเครื่องบินทะเลสองลำมารับคณะผู้แทนไทย ประกอบด้วยนายดิเรก ชัยนาม (หัวหน้าคณะ) พลโท หลวงชาตินักรบ (สุข ชาตินักรบ) เสนาธิการทหารบก นายถนัด คอมันตร์ และพลพรรคในประเทศอีก 8 คน ที่เกาะเต่า (ทางเหนือของเกาะสมุย) เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ โดยมีจุ๊นเคงร่วมทางมาด้วย และพลพรรคทั้งแปดนั้นได้ถูกส่งไปรับการอบรมแบบพวกช้างดำ โดยใช้ชื่อรหัสว่า ‘ช้างสีน้ำตาล’(BROWNS) คณะผู้แทนไทยอยู่ในแคนดี้ 4 วันก็เดินทางกลับโดยเครื่องบินทะเล มีประพฤทธิ์ซึ่งเป็นนักวิทยุมือดีคนหนึ่งของกลุ่มช้างเผือกร่วมทางกลับเข้ามาปฏิบัติงานในประเทศไทยด้วย
เมื่อพลจัตวา เจคส์ เดินทางถึงกัลกัตตาเมื่อต้นเดือนมีนาคม พ.ศ.2488 แล้ว ปู่จุดก็กำหนดตัวบุคคลที่จะส่งเข้าประเทศไทย เพื่อติดต่อกับหัวหน้าขบวนการเสรีไทยอีก 2 คน คือ พันตรี ฮอบบส์ (นายเหนื่อย) และเสรีไทยอีกคนหนึ่งที่เหมาะสมคือ ท่านชิ้น หรือพันตรี หม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์ฯ เนื่องจากท่านทรงเป็นทหารอาชีพ จบวิชาทหารจากโรงเรียนวูลวิช (WOOWICH) อยู่ในหน่วย ROYAL HORSE ARTILLERY ในอังกฤษ และรับราชการในกองทัพบกไทย แต่ว่ามีข้อกังขาอยู่ประการหนึ่งคือ ท่านทรงเป็นเชษฐาของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ และเคยเป็นผู้บังคับบัญชาการทหารรักษาพระองค์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวในระยะที่มีเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงการปกครอง และทรงปกป้องพระเจ้าอยู่หัวด้วยความจงรักภักดี ทำให้คณะราษฎรไม่พอใจที่ทรงขัดขวางการดำเนินการ
เมื่อพระเจ้าอยู่หัวทรงมีเรื่องขัดแย้งกับคณะราษฎรถึงขนาดที่ทรงตัดสินพระราชหฤทัยสละราชสมบัติและเสด็จฯมาประทับอังกฤษ ท่านชิ้นได้ตามเสด็จมาด้วย แล้วการที่หัวหน้าเสรีไทยในประเทศก็เป็นบุคคลสำคัญในบรรดาผู้นำคณะราษฎร จึงเกรงว่าอาจเกิดความรังเกียจ ทางกองกำลัง 136 จึงส่งวิทยุถามมาว่าขัดข้องหรือหากจะส่งท่านเข้ามาด้วย
‘รู้ธ’ ตอบกลับมาทันทีว่า ยินดีที่จะเสด็จมาติดต่อด้วยพระองค์เอง เพราะขบวนการต่อต้านมีเจตนาสำคัญเพียงประการเดียวที่จะรักษาเอกราชของชาติไทย และยึดความสามัคคีเป็นหลักใหญ่ คนไทยทุกคนไม่ว่าเป็นใคร ถ้าเป็นผู้รักชาติย่อมถือว่าเป็นคณะเดียวกัน แต่ปู่จุดยังไม่มั่นใจ จึงแอบส่งวิทยุถามความเห็นส่วนตัวของป๋วย ป๋วยตอบว่าเขาเชื่อในความจริงใจนายปรีดี
ต่อมาท่านชิ้นได้ขอให้ส่งวิทยุในนามของท่านถึงนายปรีดีโดยตรง ทรงขอบใจที่ยินดีต้อนรับ ซึ่งทรงปรารถนาจะร่วมงานเพื่อรับใช้ชาติด้วย แต่ขอถามว่าจะปฏิบัติอย่างไรต่อพระสหายของท่านที่ต้องโทษการเมืองอยู่ในเวลานั้น นายปรีดีตอบกลับมาว่า จะรีบหาทางปลดปล่อยนักโทษการเมืองทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนชัยนาทนเรนทร (พระองค์เจ้ารังสิตประยุรศักดิ์ ภายหลังทรงได้รับเลื่อนเป็น ‘สมเด็จ กรมพระยา’) ตลอดจนออกกฎหมายนิรโทษกรรมทันทีที่มีโอกาสทำได้ เมื่อทุกฝ่ายตกลงทำความเข้าใจกันในปัญหาขัดข้องใจต่างๆกันเป็นที่พอใจแล้ว ปู่จุดก็เตรียมการที่จะส่งนายทหารทั้งสามคนเข้าประเทศไทย
ก่อนที่นายทหารผู้ใหญ่ทั้งสามจะเข้ามานั้น ปู่จุดได้ทูลทาบทามท่านชิ้นให้เตรียมตัวด้วยการฝึกกระโดดร่ม แต่ท่านรับสั่งว่า ยินดีที่จะเข้าไทยโดยไม่ต้องกระโดดร่มได้ไหม ทรงยอมรับตรงๆว่ากลัว (ท่านนึกว่าท่านกลัวอยู่องค์เดียว) และขอให้เจรจาขอเครื่องบินทะเลไปส่งแทน
ปู่จุดทูลว่า ไม่แน่ใจว่าจะได้ ด้วยทางฝ่ายกองทัพอากาศไม่สู้เต็มใจให้เอาไปใช้เพื่อส่งคนเข้าประเทศ เพราะเครื่องบินทะเลเสี่ยงอันตรายมากกว่าใช้เครื่องลิเบอเรเตอร์ เนื่องจากบินช้า หากเผชิญกับเครื่องบินขับไล่ของญี่ปุ่นก็จะไม่มีทางสู้หรือหนีทัน แต่ท่านก็แย้งว่า ในเมื่อกองทัพอังกฤษยินยอมให้เครื่องบินทะเลรับส่งคณะผู้แทนรัฐบาลไทยแล้ว เหตุใดจึงขัดข้องที่จะพานายทหารทั้งสาม ซึ่งนับว่าอาวุโส เพราะวัยเกินกว่า 40 ปีทั้งสิ้นเล่า (ท่านชิ้นเองขณะนั้นชันษา 44 ปี) ปู่จุดจึงทูลว่าจะลองขอดู แต่จะได้หรือไม่ก็ไม่อาจทราบ แต่ว่าทั้งพลจัตวา เจคส์ และพันตรี ฮอบบส์ กระโดดร่มได้ ฉะนั้นขอให้ท่านไปฝึกกระโดดร่มเพียงสองครั้ง เพื่อพร้อมที่จะเดินทางได้ทั้งสองวิธี

ท่านชิ้นทรงบ่นกระปอดกระแปดว่า ถ้าท่านพลาดพลั้งแข้งขาหักเข้าเมืองไทยไม่ได้ ท่านจะยิงปู่จุด และขู่เข็ญอีกว่า หากท่านเข้าเมืองไทยได้โดยไม่ต้องกระโดดร่มละก็น่าดู ในที่สุดท่านก็ทรงยอมไปฝึก โดยพันโท ฮัดสัน (HUDSON) และผมไปกระโดดเป็นพี่เลี้ยงที่เมืองเจสซอร์ (JESSORE) ใกล้กัลกัตตา เมืองนี้.oปัจจุบันมีสนามบินใหญ่ชื่อดัมดัม (DUM DUM)
พันโท ฮัดสันผู้นี้เป็นเพื่อนสนิทของท่าน ซึ่งเขายอมให้ท่านเคี่ยวเข็ญทุกอย่าง ชื่อของเขาเป็นชื่อยี่ห้อสบู่ที่ดังพอสมควร เพื่อนๆเลยเรียกว่า ‘ไอ้โซฟี่’ หรือไอ้สบู่ เขาเป็นผู้มีอัธยาศัยอ่อนโยนคล้ายผู้หญิงนิดๆ แต่ความเป็นจริงเป็นคนที่เข้มแข็งที่สุด เคยกระโดดร่มลงไปช่วยรบกับเยอรมันที่ฝรั่งเศสแล้วถูกจับ แต่แหกคุกออกมาได้
เขาเดินเท้าหนีออกจากฝรั่งเศสเพื่อลงเรือในโปรตุเกสข้ามกลับอังกฤษ ซึ่งไม่ใช่เป็นเรื่องง่ายในการหลบหนี ด้วยการเดินเท้าหลายร้อยกิโลเมตร ต้องปลอมตัวเป็นชาวบ้าน และเขาพูดภาษาฝรั่งเศสได้ดีทำให้เขาเดินทางกลับถึงบ้านอย่างปลอดภัย