ระดับ Top Spender อย่าง ช่างผมไฮโซพันล้าน มาร์ค ธาวิน พี เซียวตง แต่งตัวลุคละล้านก็ทำมาแล้ว จึงไม่แปลกเลยที่เขาจะมีคลังข้าวของระดับมาสเตอร์พีซเก็บไว้เป็นของสะสมมากมาย วันนี้นอกจากจะพามาดูลักซ์ชัวรี่ไอเท็มที่ต้องร้องว้าวของเขาแล้ว ไฮโซพันล้านคนนี้ยังมาแชร์อีกด้วยว่าข้าวของที่เขาซื้อไว้ มันไม่ได้สูญเปล่าไปไหนนะจ๊ะ แต่นับวันมูลค่ายิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ
อย่างแรกที่หลายคนอาจคิดว่าซื้อไปก็ลงทุนไม่ได้ แต่ไม่จริงเสมอไปเพราะ เสื้อผ้า ถ้ามีหลักในการเลือก ก็สามารถลงทุนเพื่อเก็งกำไรได้เช่นกัน อย่างเช่น เสื้อผ้าแบรนด์เนมที่ผลิตเป็นรุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่น หรือคอลเลกชั่นที่ออกแบบร่วมกับดีไซน์เนอร์แบรนด์อื่นๆ ก็จะมีความโดดเด่นกว่าเสื้อผ้าทั่วไป สำหรับแบรนด์เสื้อผ้าที่เหมาะแก่การลงทุนในมุมของเขานั้น คือแบรนด์ กอมม์ เดส์ การ์ซงส์ (COMME des GARCONS)
แบรนด์สัญชาติญี่ปุ่น โดยเรย์ คาวาคูโบะ แบรนด์นี้จะเด่นในเรื่องของการนำความงดงามทางศิลปะที่แปลกตามาผสมผสานกับแฟชั่น ซึ่งเห็นได้ชัดเจนจากคอลเลกชั่นฤดูใบไม้ร่วง/ฤดูหนาว ปี 2013 ด้วยลายพิมพ์ดอกไม้บนชุดโอเวอร์โค้ท ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวแบบความ อาวองการ์ด (Avant-Garde) ซึ่งราคาวางขายประมาณ 8 หมื่นบาท แต่ปัจจุบันราคาทะยานขึ้นสูงถึง 2 แสนบาท
เปิดคลังลักซ์ชัวรี่ไอเท็ม มาร์ค ธาวิน ลงทุนกับอะไร ให้ได้กำไรเป็นล้าน!
มาต่อที่อีกไอเท็มที่พอจะรู้กันอยู่แล้วว่าได้กำไรแน่ๆ ก็คือ ‘กระเป๋า’ โดยเฉพาะแบรนด์ไฮเอนด์ที่น่าลงทุน และน่าครอบครองมากที่สุดคือ ‘แอร์เมส’ (Hermès) ลักซ์ชัวรี่แบรนด์ที่มีกลยุทธ์ในการขายสินค้าที่แตกต่าง และไม่เหมือนใคร ซึ่งถ้าหากไม่ได้เป็นแฟนตัวจริงของแบรนด์ก็ยากที่จะได้เป็นเจ้าของ สำหรับรุ่นที่สามารถลงทุนได้นั้น อาทิ รุ่น Hermes Ghillies Kelly 35 Tri-Color Alligator Bag หรือที่เรียกกันว่ารุ่น 3 หนัง
โดยความพิเศษของตัวกระเป๋าผลิตจากหนังสัตว์สามชนิดประกอบกัน ได้แก่ หนังนกกระจอกเทศ, หนังลิซซาร์ด (Lizard) และหนังจระเข้ ซึ่งในปัจจุบันไม่มีการผลิตรุ่นนี้แล้ว ราคาเมื่อ 7-8 ปีที่ผ่านมา อยู่ที่ประมาณ 2.25 ล้านบาท ส่วนราคาปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 3 ล้านบาท นอกจากนั้นแล้วยังมี Hermes Kelly 40 Limited Edition Teddy Shearling Plush ที่ตัวกระเป๋าด้านนอกผลิตจากหนังแกะสีน้ำตาล ส่วนด้านในกระเป๋า และหูกระเป๋าผลิตด้วยหนังแพะภูเขา ราคาเมื่อ 6-7 ปีที่ผ่านมา ประมาณเกือบ 1 ล้านบาท ส่วนปัจจุบันสนนราคาอยู่ที่ประมาณ 3 ล้านบาท
อีกอย่างก็คือ นาฬิกา ไอเท็มนี้ทั้งผู้หญิงและผู้ชายต่างก็ชอบซื้อเก็บกันไว้ อย่างแบรนด์ ‘โรเล็กซ์’ (Rolex) แบรนด์นาฬิกาจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ที่ถูกสวมใส่โดยคนดังระดับโลกมากมายเหมาะสำหรับนักลงทุนมือใหม่ อย่างรุ่น Daytona Rainbow Everose นี้ เปิดตัวในปี 2012 หน้าปัดนาฬิกาล้อมรอบด้วยพลอยสีไล่เรียงเฉดสวยเสมอกัน วางประดับบนตัวเรือนที่ออกแบบมาสามสีด้วยกัน ได้แก่ สีทองคำขาว, สีทองเหลือง และสีทองชมพู ซึ่งในปัจจุบันไม่มีการผลิตในรูปแบบนี้แล้ว จะมีก็แต่การแบบ After setting ที่ซื้อนาฬิกามาแล้วเอาไปฝังพลอยเอง ซึ่งคุณภาพก็จะไม่เหมือนกับที่แบรนด์ทำอย่างแน่นอน
โดยรุ่นราคาเปิดตัวเมื่อตอนวางขายประมาณ 2.8 ล้านบาท ราคาปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 10 ล้านบาท ต่อมาที่แบรนด์ ‘ปาเต็ก ฟิลิปป์’ (Patek Philippe) แบรนด์นาฬิกาข้อมือเรือนแรกในประวัติศาสตร์ ที่มาพร้อมดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ และฟังก์ชันที่มีมากกว่าการบอกเวลา เป็นที่รู้กันดีในกลุ่มนักลงทุนว่าเป็นแบรนด์ที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้อย่างแน่นอน อย่างรุ่น Patek Philippe Nautilus 5724R-001 ขนาด 40 มม. ตัวเรือนเป็นโรสโกลด์ 18K ประดับเพชรด้านหลัง คริสตัลแซฟไฟร์เม็ดมะยมแบบขันเกลียว ตัวสายทำจากหนังจระเข้สีน้ำตาล ที่ใช้มือเย็บแบบแฮนด์เมดทั้งหมด ความพิถีพิถันในการผลิตอย่างหรูหราไร้ที่ติ ทำให้ปาเต็ก ฟิลิปป์น่าหลงใหล ไม่เสื่อมค่าไปตามกาลเวลา
นอกจากนี้อย่างพวกเครื่องประดับ และจิวเวลรี่ เช่น ‘มุกเมโล’ ไข่มุกที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติจากหอยทากทะเล ซึ่งมีโอกาสเกิดแค่ 1 ใน 3,000 ตัวเท่านั้น ถ้าหากจะหาไข่มุกเม็ดที่มีความสมบูรณ์ สวยงามไร้ที่ติ อาจจะเจอแค่ 1 ในแสนตัว และในอดีตมุกเมโลนั้นมีความพิเศษตรงที่เป็นมุกประดับบนมงกุฏของจักรพรรดิชาวจีน ด้วยความพิเศษนี้มุกเมโลจึงมีมูลค่าสูง อย่างเม็ดที่มีอยู่นี้มีความสมบูรณ์และมีขนาดใหญ่ หากเปิดประมูลก็จะได้ราคาก็ไม่ต่ำว่า 8 หลัก
ต่อมาที่ ‘พลอยสี’ พลอยที่มีสีสัน เอกลักษณ์ และลวดลายเฉพาะตามถิ่นกำเนิด ไม่สามารถผลิตทดแทนกันได้ อย่าง ทับทิมสยาม และทับทิมพม่า ก็เป็นพลอยสีที่หายากมากในท้องตลาด เพราะต้นกำเนิดเหมืองพลอยที่พม่าได้ปิดทำการไปแล้ว ส่งผลให้ทับทิมสยาม และทับทิมพม่าเป็นพลอยสีที่มีมูลค่ามากในความเป็นธรรมชาติ หากเป็นมรกตควรเลือกเป็นสีมูโซ่กรีน (Muzo Green) ซึ่งเป็นสีเขียวเหลือบฟ้า จะเป็นสีที่สวย และสะอาดที่สุด โดยสำหรับคนที่กำลังเริ่มสะสม และลงทุนกับพลอยสี ควรเลือกพลอยสีที่มีความเป็นธรรมชาติมากที่สุด ไม่ผ่านความร้อนหรือกระบวนการหลอมใดๆ ไม่มีสารปนเปื้อน และมีตำหนิน้อยที่สุด ซึ่งความธรรมชาติของพลอยสีนั้นจะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับพลอยสีเป็นอย่างดี
ชิ้นถัดมาเป็นไฮจิวเวลรี่จากแบรนด์ ‘บุลการี’ (Bvlgari) ลักซ์ชัวรี่แบรนด์ที่มีเรื่องราวประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนาน ตำนานเครื่องประดับรูปงู ที่มีชิ้นเด่นเป็นสร้อยคอ Monete Pendant Watch ซึ่งเป็นทั้งเครื่องประดับ และเครื่องบอกเวลา โดยความพิเศษอยู่ที่ตัวจี้จะเป็นเหรียญ Monete ที่ประดับอยู่บนนาฬิกาตูร์บิยง ซึ่งเป็นรุ่นที่ผลิตมาจากเหรียญโรมันโบราณที่มีชื่อว่าเตตราดราคม (Tetradrachm) สืบทอดมาจาก Alexander the Great โดยสร้อยเส้นนี้เป็นสร้อยที่มีเส้นเดียวในโลก ส่งผลให้มูลค่าของสร้อยปรับเพิ่มขึ้นตามกาลเวลา
จะเห็นได้ว่าของแบรนด์เนมแต่ละชิ้นนั้น เมื่อเทียบราคาซื้อกับราคาปัจจุบันแล้ว ราคาปัจจุบันปรับตัวสูงกว่าหลายเท่า ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามูลค่าของสินค้าแบรนด์เนมนั้นมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นอยู่ทุกปี ไม่ว่าจะอยู่ในภาวะเศรษฐกิจรูปแบบใด การลงทุนกับสินค้าแบรนด์เนมจึงถูกจัดว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า แต่ท้ายที่สุดก็ต้องมีเงินหนาพอสมควรเลยล่ะ เอาเป็นว่าใครมีกำลังซื้อก็ลองไปศึกษากันดูนะ