นับเป็นโอกาสพิเศษที่ ท่านผู้หญิงใหม่-สิริกิติยา เจนเซน ธิดาคนเล็กในทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ให้ทีมงาน แพรว สัมภาษณ์ท่ามกลางบรรยากาศร่มรื่นของวังสระปทุม ถึงหลายเรื่องราวในชีวิต ตั้งแต่ช่วงเวลาที่ท่านผู้หญิงอยู่สหรัฐอเมริกา จนถึงการตัดสินใจกลับเมืองไทย เพื่อรับราชการและทำงานด้านประวัติศาสตร์ (ความเดิมตอนที่แล้ว https://praew.com/luxury/285909.html)
ท่านผู้หญิงยังเล่าถึงความหลงใหลในการถ่ายภาพ การพูดคุยกับผู้คน และการเดินทางท่องเที่ยวสไตล์แบ็กแพ็คเกอร์ที่ห่างไกลจากความสบาย แต่เต็มเปี่ยมด้วยเรื่องราวและประสบการณ์ที่น่าสนใจ
จากที่ท่านผู้หญิงตัดสินใจกลับมาอยู่เมืองไทย เพราะอยากรู้เรื่องราวของตัวเอง วันนี้ผ่านมา 3 ปีแล้ว เป็นอย่างไรบ้างครับ
ถึงตอนนี้ก็อาจจะยังไม่รู้เรื่องทั้งหมด แต่รู้สึกซาบซึ้งมากกว่าสมัยเด็กๆ เข้าใจประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมไทยลึกซึ้งขึ้น วัฒนธรรมไทยมีเสน่ห์ไม่เหมือนใคร โดยเฉพาะเรื่องของภาษา เราเคยอ่านหนังสือภาษาอังกฤษเล่มหนึ่งที่แปลจากภาษาไทย ผู้แปลเขียนอธิบายว่าการแปลภาษาไทยนั้นยากที่สุด เพราะมีโครงสร้างทางภาษาที่ซับซ้อน จนบางครั้งไม่สามารถใช้ภาษาอังกฤษอธิบายความได้ บางคำเขียนเหมือนกัน แต่พออยู่ในประโยคที่ต่างกัน ความหมายก็ไม่เหมือนเดิม นี่คือความสวยงามของวัฒนธรรมไทย
ท่านผู้หญิงเคยให้สัมภาษณ์ว่า ไม่ชอบอยู่ที่ไหนนานๆ จึงเป็นเหตุผลที่ย้ายจากแคลิฟอร์เนียไปนิวยอร์ก จากนั้นก็มาเมืองไทย ต่อจากนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงอีกไหมครับ
เมื่อก่อนไม่ชอบอยู่ที่ไหนนานๆ เพราะคิดว่าชีวิตจะนิ่งเกินไป การเปลี่ยนแปลงจะทำให้เกิดการพัฒนาตัวเอง เราคงเหมือนวัยรุ่นทั่วไปที่ชอบเดินทาง และผจญภัยหน่อยๆ แต่ตอนนี้แก่แล้ว…จริงๆ แค่ 30 กว่านะ (หัวเราะ) แต่ด้วยงานที่ทำตอนนี้ต้องเดินทางเยอะ บวกกับอายุที่มากขึ้น ทำให้ความคิดเริ่มเปลี่ยนว่า ถ้าเรามัวแต่เดินทางโดยไม่มีหลักแหล่งคงไม่ดีเท่าไร (ยิ้ม)
วันว่างทำอะไรบ้างครับ
ถ้าอยู่วังสระปทุมก็มีหน้าที่เลี้ยงแมวหนึ่งตัว (หัวเราะ) เป็นลูกแมว เพศเมีย ชื่อปลาทู ถูกพ่อแม่ทิ้งแล้วหลงเข้ามาในนี้ เกือบถูกงูเหลือมฆ่า โชคดีมหาดเล็กช่วยไว้ได้ ตอนนี้น่าจะอยู่ด้วยกันมาปีครึ่งแล้ว
เราชอบว่ายน้ำ ขี่จักรยาน ดูหนัง โยคะ ถ่ายภาพ ตอนนี้เริ่มกลับมาถ่ายรูปฟิล์ม ถ้ามีเวลาว่างมากหน่อยจะจัดโฟโต้ทริป ชวนเพื่อนไปถ่ายรูปตามเมืองเก่าหรือสถานที่ที่เราสนใจ ก่อนหน้านี้เข้าไปถ่ายรูปและคุยกับคนที่อยู่ในโรงงานมักกะสัน ซึ่งวันหนึ่งอาจต้องย้ายออกจากพื้นที่ หลังจากนี้ก็วางแผนจะไปบ้านปลายเนิน (เคยเป็นที่ประทับในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์) เราจะออกแนวเนิร์ดๆ หน่อย ตอนไม่ทำงานก็เหมือนทำงาน ชอบถ่ายรูป คุยกับคน
ชอบถ่ายภาพแนวไหนครับ
ชอบสไตล์มู้ดดี้ ดาร์กๆ อย่างตอนไปโรงงานมักกะสันก็เข้าไปถ่ายภาพวิถีชีวิตของคนที่นั่น อารมณ์ภาพจะออกหม่นๆ ที่ใช้กล้องฟิล์มถ่าย เพราะชอบอารมณ์ของภาพมากกว่าดิจิทัล เราสามารถปรับภาพให้มืดหรือสว่างอย่างที่ต้องการได้ หรือถ้าอยากให้ภาพติดเกรน (ความไม่สม่ำเสมอของความสว่างและสีของภาพ) ก็เพิ่ม ISO ขึ้นหน่อย
ท่านผู้หญิงเดินทางทั่วประเทศไทยหรือยังครับ
ไปมาเยอะเหมือนกัน เฉพาะไปดูงานกับกรมศิลปากรก็หลายแห่ง อย่างครั้งหนึ่งนั่งรถไฟไปเมืองกาญจนบุรีแล้วประทับใจ เราชอบเดินทางด้วยวิธีนี้อยู่แล้ว ออกแนวลุยๆ หน่อย หลังจากนั้นจึงชวนเพื่อนนั่งรถไฟไปเที่ยวกาญจนบุรีด้วยกันอีกรอบ
ราชบุรีก็ชอบมาก อาจไม่ใช่จังหวัดที่นักท่องเที่ยวนิยมนัก แต่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะถ้ำเขางูที่มีพระพุทธรูปสลักหินที่ฝาผนัง และงานจิตรกรรมตั้งแต่สมัยทวารวดี สวยมาก
อีกจังหวัดที่ดีมากคือ จันทบุรี ที่นั่นมีโครงการบ้านหลวงราชไมตรี อยู่ในชุมชนริมน้ำจันทบูร เขานำบ้านเก่าอายุ 150 ปีของหลวงราชไมตรีมาปรับปรุงฟื้นฟูให้เป็นบ้านพักประวัติศาสตร์สไตล์บูติกโฮเต็ล โดยให้คนในชุมชนร่วมร้อยคนถือหุ้นเป็นเจ้าของและช่วยกันทำงาน อาหารเช้าที่เสิร์ฟก็มาจากในชุมชน เป็นวิธีจัดการที่ดีมากๆ
ถ้าเป็นทริปต่างประเทศล่ะครับ ปักหมุดไปกี่แห่งแล้ว
น่าจะเกิน 40 ประเทศ สถานที่ที่เราชอบส่วนใหญ่จะมีประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ หรือไม่ก็มีภูมิประเทศที่ยังเป็นธรรมชาติอยู่มากๆ อย่างเลห์ลาดัก (Leh Ladakh) ประเทศอินเดีย ที่นั่นมีจิตรกรรมฝาผนังอายุกว่า 1,000 ปีที่ยังสมบูรณ์ เป็นเมืองที่มีแลนด์สเคปสวยมาก ไม่ว่ามองไปทางไหนก็เหมือนอยู่ในภาพวาด ผู้คนก็น่ารักและเป็นมิตร
อีกเมืองในอินเดียที่เราชอบมากคือ เชอร์ราปุนจี (Cherrapunjee) เป็นหนึ่งในเมืองที่ฝนตกชุกที่สุด เราต้องเดินเทรกลงบันได 3,000 ขั้น เข้าไปในหมู่บ้านเล็กๆ กลางหุบเขาที่มีสะพานรากไม้อายุกว่า 100 ปี ซึ่งเกิดจากการปลูกต้นไม้ที่สองฝั่งของหน้าผา จากนั้นนำไม้ไผ่มาวางแล้วค่อยๆ นำรากไม้ให้เลื้อยพัน เชื่อมกันจนกลายเป็นสะพานที่มีชีวิตและสวยงามมาก
ฟังแล้วเป็นสายแบ็กแพ็คเกอร์ลุยๆ เหมือนกันนะครับ
ประมาณนั้น (ยิ้ม) อีกประเทศที่ชอบคือ เอธิโอเปีย ทริปนั้นไปกับเพื่อนสนิทที่เจอกันที่นิวยอร์กนั่นแหละ เธอเป็นอเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่น และตอนนั้นกำลังจะแต่งงาน ตอนแรกสามีของเธออยากไปด้วย แต่เพื่อนบอกว่าไม่ได้ เพราะเป็นทริปส่งท้ายความโสด ขอไปกันแค่ 2 คน (หัวเราะ)
ทริปนั้นเราเดินทางขึ้นไปทางเหนือของเอธิโอเปียที่เมืองอัคซูม (Axumite) ซึ่งมีโบสถ์เก่าแก่ที่สร้างในสมัยก่อนคริสตกาล ต้องเดินประมาณชั่วโมงหนึ่ง และปีนเขาขึ้นไปโดยใช้เชือกผูกเอวแล้วค่อยๆ ปีนขึ้นไป ภาพเขียนบนเพดานโบสถ์ยังอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์มาก เพราะไม่เจอแสงแดดและอากาศค่อนข้างแห้ง ทำให้ภาพอยู่ได้มาถึงวันนี้
จากนั้นไปปีนเขา 3 วันที่เมืองลาลิเบลา (Lalibela) เป็นเมืองที่สวยมาก แต่ชาวบ้านค่อนข้างยากจน เวลาเด็กไปโรงเรียนต้องเดิน 2-3 ชั่วโมง หลายคนจึงเลือกไม่ไปเรียน แต่คนที่นั่นร่าเริงมากนะคะ และทุกคนหุ่นดี เพราะต้องเดินเยอะ
เราพักในบ้านดินบนภูเขา อากาศหนาวมาก ไม่ได้อาบน้ำ 3-4 วัน (หัวเราะ) ต้องใส่เสื้อนอนหลายชั้น จะไปห้องน้ำทีหนึ่งต้องกลั้นใจ ไม่อยากออกไปนอกที่พักเลย
มีเรื่องตื่นเต้นระหว่างการเดินทางบ้างไหมครับ
ตอนไปเลห์ลาดัก วันหนึ่งเราเดินทางไปหุบเขานูบรา (Nubra Valley) ต้องนั่งรถผ่านเข้าไปในเขตค่ายทหาร ซึ่งที่นั่นมีปัญหาภายในระหว่างทหารกับคนท้องถิ่น ตอนขาไปทหารก็เปิดให้รถเข้าได้ตามปกติ แต่ขากลับไม่ให้ผ่าน โดยไม่มีเหตุผล ไกด์ของเราจึงทะเลาะกับทหาร สุดท้ายเขาให้ไกด์เราลงจากรถ แล้วก็หายไปนานมาก จากนั้นทหารนายหนึ่งสั่งให้รถของเราลงเขาไปรอด้านล่าง หลังจากรออยู่พักใหญ่ เราก็เห็นไกด์วิ่งลงมาจากเขา เราก็แบบ เฮ้ย อะไรเนี่ย… สุดท้ายไม่มีใครเป็นอะไรนะ แต่เป็นประสบการณ์ที่ไม่คิดว่าจะได้เจอ
การเดินทางให้อะไรกับชีวิตบ้าง
ทำให้เห็นโลกกว้างมากกว่าที่เคยอ่านจากในหนังสือ เราได้ความรู้จากการพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์และสัมผัสชีวิตคน ทำให้เห็นว่าวัฒนธรรมแต่ละแห่งมีความน่าสนใจแตกต่างกัน แต่ไม่ได้หมายความว่าที่ไหนดีกว่ากันนะ การเดินทางยังทำให้รู้ว่าโลกนี้เต็มไปด้วยความแตกต่าง สอนให้เราปรับตัว และเปิดใจรับสิ่งใหม่ๆ
ติดตามอ่านบทสัมภาษณ์ฉบับเต็มได้ที่ นิตยสารแพรว ฉบับ 952
ที่มา : นิตยสารแพรว ฉบับ 952