ATTRACTIVE MOROCCO หลงเสน่ห์โมร็อกโก (ตอนที่2)

ต่อจากคราวที่แล้ววันนี้เรามีนัดชมตะวันขึ้นที่สะฮารารุ่งเช้าวันที่ 5 คณะเราตื่นกันตั้งแต่เช้ามืด ก่อนพระอาทิตย์ขึ้นเพื่อขี่อูฐไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ทะเลทรายสะฮารา

ซึ่งเป็นภาพที่คณะเราประทับใจมาก ทั้งนี้เป็นที่ทราบกันดีว่าทะเลทรายสะฮารามีอาณาบริเวณที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นพื้นที่แห้งแล้งที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 โดยมีพื้นที่มากกว่า 9,000,000 ตารางกิโลเมตร โดยมีอาณาเขตทางด้านทิศตะวันตกจรดมหาสมุทรแอตแลนติก

หลงเสน่ห์โมร็อกโก (ตอนที่2)
พระอาทิตย์ขึ้นที่ทะเลทรายสะฮารา สวยงามยิ่งนัก พวกเราขี่อูฐชมความงามของทะเลทรายที่ตระการตา

หลังจากนั้นคณะเราเดินทางสู่เมืองเออร์ฟูด โดยเดินทางข้ามแอตลาสกลาง (Middle Atlas) ภูมิประเทศมีป่าไม้เขียวชอุ่ม ผ่านเส้นทางความสูง 3,090 เมตร ซึ่งปกติช่วงเดือนพฤศจิกายน – มกราคมจะปกคลุมด้วยหิมะในฤดูหนาว (ยกเว้นปีนี้ไม่มีหิมะเลยครับ) เข้าสู่เมืองอิเฟรน (Ifrane) เมืองตากอากาศที่มีชื่อเสียงอีกแห่งของโมร็อกโก หรือสวิตเซอร์แลนด์ในโมร็อกโก คณะของเราเดินทางถึงเมือง เฟส (F s) ในช่วงหัวค่ำวันนี้ พวกเราเดินทางโดยรถยนต์นานกว่าวันอื่น ๆ เพลียไปตาม ๆ กันครับ จึงขอตัวไปนอนหลับพักผ่อนเก็บแรงไว้วันพรุ่งนี้

หลงเสน่ห์โมร็อกโก (ตอนที่2)
วิลล่าริมทะเลสาบเมื่อต้องแสงทอง ยามรุ่งอรุณที่วอซาเซต

เมืองเฟสตั้งอยู่ระหว่างพื้นที่อุดมสมบูรณ์ที่ต่อจากเชิงเทือกเขารีฟ (The Rif) ทางตอนเหนือกับเขตแอตลาสตอนกลาง มีแม่น้ำเฟส (River F s) ไหลผ่านกลางเมือง อยู่ห่างจากกรุงราบัตไปทางตะวันออก 180 กิโลเมตร พวกเราประทับใจเมืองเฟสกันมาก เพราะเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงอีกแห่งของโมร็อกโก มีสถานที่ที่น่าสนใจหลากหลาย ที่ดึงดูดเรามากที่สุดคงเป็นเขตเมืองเก่า ซึ่งเรียกกันว่า “เมดินา” (คำว่า Medina แปลว่า เมือง แต่โดยทั่วไปมักหมายถึงเขตเมืองเก่า)

หลงเสน่ห์โมร็อกโก (ตอนที่2)
ชมประตูพระราชวังหลวงแห่งเฟส

ความสวยงามของเมืองเฟสยังไม่หมด เพราะประตูทางเข้าพระราชวังเป็นสถาปัตยกรรมที่สวยงาม เป็นเอกลักษณ์แห่งราชวงศ์โมร็อกโก ชื่อประตู บาบ บูเจอลูด (Bab Bou Jeloud) ที่สร้างตั้งแต่ปี ค.ศ. 1913 ที่ใช้โมเสกสีม่วงตกแต่ง บริเวณใกล้เคียงพระราชวังเคยเป็นชุมชนชาวยิวที่ทำรายได้ให้แก่ราชวงศ์เพราะชาวยิวฉลาด ทำการค้าเก่ง แต่ปัจจุบันชาวยิวส่วนใหญ่เดินทางกลับไปอยู่ในประเทศอิสราเอล คงเหลืออยู่ไม่มากนัก

หลงเสน่ห์โมร็อกโก (ตอนที่2)
สินค้าภายในร้านจำหน่ายของที่ระลึก ระหว่างทาง

หลังจากนั้นพวกเราแวะชมสุสานของมูเล ไอดริสส์ ที่ 2 ที่ชาวโมร็อกโกถือว่าเป็นแหล่งมาแสวงบุญที่ศักดิ์สิทธิ์ ชมสุเหร่าใหญ่ไคเราวีน ซึ่งเป็นทั้งมหาวิทยาลัยสอนศาสนาแห่งแรกของโมร็อกโกและเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเลยทีเดียว เข้าชมย่านเครื่องหนัง ชมบ่อฟอกและย้อมสีหนังแบบโบราณ ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเมืองเฟส

ช่วงเที่ยงเราเดินทางไปเมือง เชฟชาอูน (Chefchaouen) ถือว่าเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยสีน้ำเงิน บ้านเรือนทุกหลังบนเนินเขาทาด้วยสีน้ำเงินทั้งเมือง เราได้ทราบถึงเรื่องราวน่าประทับใจของเมืองนี้ว่าก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1471 มีป้อมปราการขนาดเล็กซึ่งยังคงอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ โดยเบนอาลี ซา เบน ต่อสู้กับชาวโปรตุเกสที่เข้ามารุกราน ต้องบอกว่าเมืองเชฟชาอูน พวกเราได้เก็บภาพสวย ๆ กันอย่างเพลิดเพลิน

หลงเสน่ห์โมร็อกโก (ตอนที่2)
บรรยากาศของเมืองเชฟชาอูนในเขตเมืองเก่า

ปิดท้ายที่คาซาบลังกา    

รุ่งเช้าวันต่อมาพวกเราเดินทางสู่ “คาซาบลังกา” ซึ่งหมายถึง บ้านสีขาวคำว่า “คาซา” แปลว่าบ้าน และ “บลังกา” แปลว่าสีขาว เป็นเมืองที่คนทั่วโลกรู้จัก และอาจรู้จักมากกว่า “ราชอาณาจักรโมร็อกโก” ด้วยซ้ำ เพราะนอกจากจะเป็นเมืองท่าและเป็นที่ตั้งของท่าอากาศยานระหว่างประเทศ แล้วยังเคยใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดเรื่อง Casablanca เป็นเรื่องราวความรักระหว่างนายทหารอเมริกันและหญิงคนรักในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2ทำให้คาซาบลังกาเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก คณะเราเก็บภาพเมืองนี้ด้วยความสุขและประทับใจมาก ก่อนจะกลับเข้าที่พักเพื่อพักผ่อน

หลงเสน่ห์โมร็อกโก (ตอนที่2)
สุเหร่าแห่งกษัตริย์ฮัสซันที่ 2 มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 รองจากเมืองเมกกะและเมดินา

 

 

วันสุดท้าย เราตื่นกันแต่รุ่งสางเพื่อเตรียมพร้อมกับโปรแกรมเที่ยวชมณ ดินแดนแห่งนี้ คณะเราออกเดินทางไปชมความงดงามของ สุเหร่ากษัตริย์ฮัสซันที่ 2 สุเหร่าแห่งนี้ตั้งอยู่ริมมหาสมุทรแอตแลนติก เป็นสุเหร่าที่สวยงามสร้างเสร็จสมบูรณ์เมื่อปี ค.ศ. 1993 เป็นสุเหร่าที่มีขนาดใหญ่มาก จุคนได้ราว 25,000 คน และมีหอคอยสูงถึง 210 เมตร

หลงเสน่ห์โมร็อกโก (ตอนที่2)

ผมทึ่งมาก ๆ กับความงามและศิลปะสไตล์โมร็อกโก ซึ่งออกแบบโดยสถาปนิกชาวฝรั่งเศส และใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ผสมผสานเข้าไป การตกแต่งทั้งภายในและภายนอกสุเหร่าแห่งนี้ใช้สีขาวและเขียวอันเป็นสัญลักษณ์ของศาสนาอิสลามได้อย่างสวยงาม โดดเด่น เป็นไปตามเอกลักษณ์ของศิลปะมุสลิมที่ผสมผสานงานศิลปะพื้นเมืองของโมร็อกโกได้อย่างกลมกลืน เป็นความสุขส่งท้ายของทริปนี้

จนอยากบอกว่า พวกเราจะไม่มีวันลืมเมืองแห่งมนตร์เสน่ห์ที่ชื่อว่า“โมร็อกโก” แห่งนี้ได้เลย

ที่มา : นิตยสารแพรวฉบับที่ 879 ปักษ์ 10 เมษายน 2559

Praew Recommend

keyboard_arrow_up