ทริปล่าสุดของผมมีจุดหมายที่โมร็อกโก ประเทศอันสุดแสนพิเศษ แถมยังรู้สึกสนุกไปกับเพื่อนร่วมทริป 13 ท่าน ซึ่งเป็นคุณหมอคนเก่งถึง 5 ท่านร่วมเดินทางด้วยเราตั้งชื่อทริปว่า “Colorful Morocco” แน่นอนว่าทริปนี้เราสนุกสนานไปกับการถ่ายภาพสวยๆ มากมาย จนอยากให้คุณได้ร่วมชม
จุดหมายแรกที่มาร์ราเกช
เราออกเดินทางในช่วงดึกของเมืองไทย ถึงสนามบินนานาชาติเมืองคาซาบลังกา ประเทศโมร็อกโก ตอนเที่ยงกว่า ซึ่งเวลาที่นี่ช้ากว่าประเทศไทย 7 ชั่วโมง
พวกเราใช้บริการ Mercedes-Benz Sprinter โดยมีคนขับรถชื่ออับดุล แล้วเริ่มเดินทางสู่เมืองมาร์ราเกช (Marrakesh) ซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญที่ตั้งอยู่เชิงเขาแอตลาส ในอดีตเมืองโอเอซิสแห่งนี้เป็นที่พักของกองคาราวานอูฐ ที่มาจากทางตอนใต้ของโมร็อกโก คณะของเราเดินทางมาถึงในช่วงบ่ายแก่ ๆ ใกล้พระอาทิตย์ตก และได้ไปเที่ยวชมจัตุรัสกลางเมืองเจมา เอล์ฟนา (Jemaa el-Fnaa)

อับดุลบอกพวกเราว่า เมืองมาร์ราเกชเป็นเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญตั้งอยู่เชิงเขาแอตลาส ปัจจุบันเป็นเมืองที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุดสภาพบ้านเมืองสองข้างทางล้วนเป็นบ้านเรือนที่ฉาบด้วยปูนโทนสีส้มตามที่รัฐบาลกำหนดไว้ แต่คนท้องถิ่นเรียกว่า เมืองสีชมพู (Pink City) ว่ากันว่า มาร์ราเกชได้รับเสียงชื่นชมว่าเป็นเมืองที่มีเสน่ห์ที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง
ตอนค่ำ คณะเราเริ่มหิวจึงไปรับประทานอาหารค่ำที่ร้านแฟนตาเซีย (Fantasia) พวกเราต่างอึ้งกับความอลังการของสถานที่และสีสันของชาวโมร็อกโกที่ต้อนรับเราด้วยอาหารพื้นเมือง แต่ยังไม่ทันได้ชมการแสดงพื้นเมือง คณะของเราง่วงนอนมาก จึงต้องขอตัวกลับโรงแรมไปพักผ่อนก่อน

เช้าวันรุ่งขึ้นผมและคณะได้เดินทางไปชมสวน จาร์ดีน มาจอแรล (Jardin Majorelle) หรือสวนอีฟ แซงต์ โลรองต์ (Yves Saint Laurent Garden) นักออกแบบแฟชั่นดีไซน์แห่งปารีส ฝรั่งเศสซึ่งเป็นผู้ออกแบบสวนแห่งนี้ ในช่วงที่โมร็อกโกตกเป็นอาณานิคมของประเทศฝรั่งเศส อีฟ แซงต์ โลรองต์ มาที่ประเทศโมร็อกโก และได้ซื้อบ้านหลังนี้ไว้เป็นที่พักผ่อน สวนได้รับการออกแบบและจัดไว้อย่างสวยงาม โดยใช้สีฟ้าและสีส้มเป็นองค์ประกอบหลัก ไม่ว่าจะเป็นเสาแจกัน และต้นไม้ทะเลทรายนานาพรรณ
คณะของเราเพลิดเพลินไปกับการถ่ายภาพสวย ๆ ซึ่งต้องบอกว่าประทับใจกันมาก แม้แต่ในภัตตาคารก็ตกแต่งอย่างสวยงามจนพวกเราถ่ายภาพกันอย่างมีความสุขสุด ๆ

ขณะเดียวกันผมก็เพลิดเพลินกับการเข้าชม พระราชวังบาเฮีย (Bahia Palace) ซึ่งสร้างในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 โดยซี มูสซา (Si Moussa) เป็นแนวสมัยใหม่ โดยผู้มีอำนาจของโมร็อกโกขณะนั้นตั้งใจจะให้เป็นพระราชวังที่ยิ่งใหญ่และหรูหราที่สุด
จากนั้นเราเดินทางไปเมือง วอซาเซต (Ouarzazate) ซึ่งอับดุลบอกว่าเมืองนี้เคยเป็นที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ในปี ค.ศ. 1928 ฝรั่งเศสได้ตั้งกองกำลังทหารและพัฒนาที่นี่ให้เป็นศูนย์กลางการบริหาร วอซาเซตได้รับการส่งเสริมให้เป็นเมืองท่องเที่ยวที่แวดล้อมไปด้วยสตูดิโอภาพยนตร์และมีการพัฒนาพื้นที่ในทะเลทรายเพื่อทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การขี่มอเตอร์ไซค์กิจกรรมผจญภัยกลางทะเลทราย วอซาเซตเป็นเมืองที่สำคัญที่สุดของทางตอนใต้ เป็นทางเชื่อมระหว่างเหนือกับใต้ และตะวันออกกับตะวันตก เมื่อเราเดินทางถึงเมืองวอซาเซตก็เย็นย่ำแล้ว จึงรับประทานอาหารค่ำและเข้าพักที่โรงแรม

เช้าวันที่ 4 นี้ คณะของเราออกเดินทางสู่เมืองทินเฮียร์ (Tinerhir) แวะชมโอเอซิสทินเฮียร์ชุมชนที่อยู่รวมกัน ท่ามกลางความแห้งแล้งยังมีความชุ่มชื้นของโอเอซิสต้นปาล์ม เคยเป็นที่ตั้งของกองทหารที่เดินทางมาจากวอซาเซต พวกเราสนุกกับการถ่ายภาพสวย ๆ กันมาก จากนั้นจึงเดินทางสู่ทอด้าจอร์จ ชมความงามของช่องเขาที่ซ่อนตัวอยู่ในโอเอซิส ลำน้ำใสไหลผ่านช่องเขากับหน้าผาสูงชันแปลกตา
เราเดินทางผ่านเมืองเออร์ฟูด (Erfoud) เมืองที่เคยเป็นศูนย์กลางกองคาราวานพ่อค้า ที่เดินทางมาจากตะวันออกกลางอย่างซาอุดีอาระเบียและซูดาน บนเส้นทางผ่านข้ามเขตแห้งแล้ง แต่มีโอเอซิสที่หุบเขาเดดส์ (Dades) มุ่งหน้าสู่ทะเลทรายสะฮารา เราสนุกกันมาก จนกระทั่งหมดวันและเข้าพักผ่อนเพื่อเตรียมเอาแรงตื่นเช้าไปถ่ายภาพสวย ๆ
ที่มา : นิตยสารแพรวฉบับที่ 879 ปักษ์ 10 เมษายน 2559