AUTUMN IN SWITZERLAND (ตอนที่2)

มาต่อตอนที่ 2 สารคดีท่องเที่ยวประเทศสวิตเซอร์แลนด์มรดกทางวัฒนธรรม

ระหว่างทางขากลับไปกรุงเบิร์น พวกเราแวะเมืองเล็ก ๆ ชื่ออเวนเชส (Avenches) เพื่อชมอัฒจันทร์โรมัน (Roman Amphitheatre) ซึ่งยังรักษาสภาพเดิมไว้ตั้งแต่สมัยที่จักรวรรดิโรมันยึดครองสวิตเซอร์แลนด์หรือที่เรียกกันว่า เฮลวีเทีย (Helvetia) ในสมัยนั้น ปัจจุบันใช้เป็นสถานที่จัดคอนเสิร์ตกลางแจ้งต่าง ๆ ทุกประเภท บนอัฒจันทร์ด้านหนึ่งจะเห็นหอคอยยุคกลาง 5 ชั้น

ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมสมบัติล้ำค่าของโรมันไว้มากมาย เช่น รูปปั้นโมเสก เหรียญ ของใช้ในบ้าน ฯลฯ ค่าเข้าชมคนละ 4 ฟรังก์สวิส นอกจากนั้นพวกเรายังได้แวะชมมหาวิหารเซนต์นิโคลัส (The Cathedral of St. Nicholas) ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมแบบกอทิกที่ตั้งตระหง่านด้วยความสูงถึง 76 เมตร กลางใจเมืองไฟรบูร์กซึ่งเป็นเมืองเก่าแก่ในยุคกลาง หอระฆังของวิหารนี้มีระฆังถึง 11 ใบเริ่มสร้างตั้งแต่ปี ค.ศ. 1283 และเสร็จสมบูรณ์ในปี ค.ศ. 1490 เท่ากับใช้เวลากว่า 200 ปีทีเดียว

ขากลับรถแล่นผ่านเมืองบูลล์ (Bulle) ซึ่งมีร้านขายของเก่าหลายแห่ง ถึงแม้ร้านจะปิดในวันนั้น แต่ปรากฏว่ามีคนผิวสีนำถ้วยชามจากแอฟริกาใต้จำนวนมากมาวางขายข้างทางในราคาที่ถูกจนเหลือเชื่อหลายชิ้นเป็นของโบราณมีแบรนด์เสียด้วย ฉันจึงอดไม่ได้ที่จะวิ่งลงจากรถไปหอบมาหลายชิ้น

พวกเราเกือบจะเข้าตำรา “ใกล้เกลือกินด่าง” เสียแล้ว เพราะไปมาเสียรอบกรุงเบิร์น โดยลืมไปว่ายังมีสถานที่อีกแห่งซึ่งอยู่ห่างจากบ้านพักไปเพียง 5 นาที นั่นคือ หอชมวิว หรือ Observatory Tower (Bild von Gurten) วันสุดท้ายก่อนกลับ พวกเราจึงเดินไปนั่งรถเคเบิลขึ้นไปบนภูเขา และใช้เวลาเพียงประมาณ 10 นาทีก็ถึง บริเวณด้านล่างมีทั้งโรงแรม ร้านอาหาร และสนามเด็กเล่น

หอชมวิวนี้สูงกว่าระดับทะเลถึง 864 เมตร มีบันไดเวียนขึ้นไปเกือบ 200 ขั้น ตอนแรกฉันทำท่าจะไม่ยอมขึ้น แต่พอสามีตะโกนลงมาบอกว่า “ถ้าไม่ข้นึ จะต้องเสียใจ!” ฉันจึงยอมตะกายข้นึ ไป แล้วก็ไม่ผิดหวังจริง ๆ เพราะที่ชั้นบนสุด เราเห็นทิวทัศน์แบบ 360 องศาของเทือกเขาแอลป์ยาวเหยียดที่มีสายหมอกบาง ๆ ลอยอยู่ใต้ยอดเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะ แสงแดดเจิดจ้ากระทบกับหิมะขาวโพลนเป็นภาพที่งดงามเกินบรรยาย…ด้านล่างกรุงเบิร์นท้งั เมืองปรากฏอย่ตู รงหน้าราวกับเมืองต๊กุ ตาน่าเสียดายที่จากตรงนี้ฉันไม่อาจมองเห็นปล่องไฟเล็ก ๆ พวกนั้น

แต่ภาพทุกภาพของความงดงามทางวัฒนธรรมและธรรมชาติของสวิตเซอร์แลนด์ที่ผสมผสานกันอย่างลงตัวนี้จะประทับอยู่ในความทรงจำของฉันไม่รู้ลืม

 

TIPS

ถ้าไปถึงนครซูริกตอนเช้าตรู่ อาจวางแผนเที่ยวซูริกก่อน แล้วขึ้นรถไฟต่อไปเมืองเบิร์นได้โดยใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมง

เนื่องจากค่าพาหนะต่างๆ ในสวิสมีราคาสูงมากถ้าคิดว่าจะต้องไปโน่นมานี่หลายเที่ยวควรซื้อตั๋วสวิสพาส ซึ่งมีให้เลือกหลายประเภท / ราคา จะใช้แบบต่อเนื่องหรือเว้นช่วงก็ได้โดยสอบถามรายละเอียดและซื้อได้จากเอเย่นต์ในเมืองไทย ซึ่งราคาไม่ต่างจากการซื้อในประเทศสวิสมากนัก

ถ้าอยากกิน “ฟองดู” หรือจิ้มจุ่มแบบสวิสต้องดูเมนูให้ดีว่าเป็นแบบสวิสแท้ ซึ่งมีทั้งฟองดูน้ำมัน (Fondue Bourguignon) ที่เสิร์ฟพร้อมเนื้อสัตว์หลากหลายชนิด โดยมีสลัดผักและขนมปังกระเทียมเป็นเครื่องเคียงฟองดูชีสประกอบด้วยขนมปังกรอบชิ้นเล็กๆ กับเนยแข็งละลายในหม้อ และฟองดูช็อกโกแลตที่ใช้ช็อกโกแลตละลายแทนเนยแข็งและผลไม้ชนิดต่างๆ แทนขนมปังกรอบมิฉะนั้นอาจเจอฟองดูจีน (Chinese Fondue)ซึ่งจะกลายเป็นจิ้มจุ่มแบบบ้านเราแทนแถมรสชาติจืดชืดกว่ามาก

สำหรับขาช็อปที่ตั้งใจจะไปประเทศอื่นต่อแนะนำให้อดใจไว้ซื้อที่ประเทศเยอรมนีเพราะอยู่ใกล้กัน แต่ราคาถูกกว่ามากยกเว้นถ้าใครต้องการนาฬิกาของแท้จากสวิสและมีดพับ Victorinox ยอดฮิตก็ลุยได้เพราะของเขาดีจริงๆ

ที่มา : คอลัมน์สารคดีท่องเที่ยว นิตยสารแพรว ฉบับ 878 ปักษ์ที่ 25 มีนาคม 2559