เดินเดี่ยวเที่ยว Armenia (ตอน 2)

ตระเวนออกนอกเมือง

หลังอิ่มเอมจากบรรยากาศแบบเมืองหลวงกันแล้ว รุ่งขึ้นฉันขอออกไปชมบรรยากาศแบบชนบทกันบ้าง ด้วยการซื้อ One Day Tour ซึ่งสามารถติดต่อได้ที่ โฮสเทล โดยมีรายละเอียดสถานที่ท่องเที่ยวให้เลือกหลากหลายรูปแบบ ในราคาที่แตกต่างกัน นักท่องเที่ยวจะต้องจัดกลุ่มกันเอง ควรมีสมาชิกไม่เกิน 5 คน โดยมีรถขับเคลื่อนสี่ล้อให้บริการ เนื่องด้วยในวันที่ฉันไปนั้นไม่มีใครร่วมชะตากรรมจึงตัดสินใจไปคนเดียว ขอย้ำอีกครั้งว่า การไปกับคนขับรถสองต่อสองนั้นไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด เวลาที่จะออกเดินทางควรเป็น ช่วงเช้าที่อากาศไม่หนาวเกินไปและเริ่มมีแสงแดด จะทำให้ถ่ายภาพออกมาสวยงาม ค่าบริการ 40 ยูโร ให้บริการเป็นเวลา 6 ชั่วโมง โดยฉันเริ่มจากไปชมโบสถ์เล็กที่ผุดขึ้นมาท่ามกลางที่ราบอันกว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วย  ทุ่งหญ้ากว้างไกลสุดสายตา คนเลี้ยงสัตว์นำฝูงสัตว์ออกมากินหญ้า ดูแล้วได้บรรยากาศแบบชนเผ่าเร่ร่อน

armenia2

armenia2

โบสถ์เก่าแก่ที่มีดอกซากุระสีขาวขึ้นอยู่ล้อมรอบสวยแปลกตา ภายในกำลังมีกิจกรรมทางศาสนาเนื่องจากวันนั้นเป็นวันเฉลิมฉลองเทศกาลอีสเตอร์ จากนั้นไปชม โบสถ์อิชเมียดซิน (Echmiadzin Cathedral) ซึ่งเป็นโบสถ์เก่าแก่มากที่สุดอีกแห่งหนึ่งของอาร์เมเนีย และถือเป็นโบสถ์คริสต์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก และเป็นโบสถ์แห่งแรกที่สร้างขึ้นโดยเซนต์เกรกอรี่ ดิ อิลลูมิเนเตอร์ ตั้งแต่ 303 ปีก่อนคริสต์ศักราช บางครั้งชาวอาร์เมเนียเรียกสั้นๆ ว่า Mother Church ตั้งอยู่ในหมู่บ้านขนาดเล็กในเขตจังหวัดวาการ์ซาพัต (Vagharshapat Province) ความพิเศษของโบสถ์แห่งนี้คือ ประตูขนาดใหญ่ทำด้วยไม้ที่มีภาพวาดเรื่องราวในศาสนาคริสต์ รวมทั้งภาพวาดอันวิจิตรงดงามของเพดานที่ทำให้นักท่องเที่ยวและชาวคริสต์ทุกคนต้องมองด้วยความชื่นชมถึงความสามารถของศิลปินในอดีต

armenia2

armenia2
พรมทอสีสันสวย อีกหนึ่งของที่ระลึก อาร์เมเนีย

หลังชมเสร็จ โชเฟอร์พาฉันย้อนกลับเข้ากรุงเยเรวานเพื่อเดินทางไปชมความงดงามของเทือกเขาอารารัตในบรรยากาศแบบสนิทสนม โดยนั่งรถออกนอกเมืองมาเพียงแค่ 15 นาที ภาพที่ปรากฏตรงหน้าช่างงดงามยิ่งนัก เทือกเขาสลับซับซ้อนตลอดสองข้างทาง มีหมู่บ้านโผล่พ้นเนินเขาเป็นระยะ มีแสงสะท้อนจากผืนน้ำของทะเลสาบขนาดใหญ่ น่าเสียดายมากที่ราคา 40 ยูโรไม่รวมการไปชมทะเลสาบ ซึ่งถือว่าการมาถึงอาร์เมเนีย ไม่ควรพลาดที่จะไปพักแรมกันที่นี่ และถือเป็นสถานที่ที่สวยที่สุดของประเทศนี้กันเลยทีเดียว

ส่วนทะเลสาบที่สวยงามที่สุดของประเทศนี้คือ ทะเลสาบ ซีวาน (Sevan Lake) ตั้งอยู่ในเขตเมืองเกฮาคูนิก (Gegharkunik Province) ความพิเศษของทะเลสาบแห่งนี้คือ เป็นทะเลสาบน้ำจืด ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในเขตเทือกเขาคอเคซัส และอยู่สูงจากระดับทะเลมากที่สุดในโลก ตั้งอยู่บนหุบเขาที่มีความสูงจากระดับทะเลมากถึง 1,900 เมตร แผ่นน้ำมีสีน้ำเงินเข้มรายล้อมด้วยสีเขียวขจีที่มีฉากหลังเป็นภูเขาที่ห่มคลุมด้วยหิมะสีขาวโพลน นักท่องเที่ยวนิยมใช้บริการทัวร์ในรูปแบบ 2 days 1 night โดยถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่งดงามของที่นี่ อย่างไรก็ตาม สำหรับคนที่มีเวลาน้อยสามารถเช่ารถไปเที่ยวชมได้แบบไป – กลับ

หลายครั้งที่คนขับรถจอดให้ฉันเก็บภาพ การเช่ารถแบบส่วนตัวมีข้อดีคือ สามารถบอกให้จอดเมื่อไหร่ก็ย่อมได้ สิ่งที่ฉันโชคดีคือ คนขับรถส่วนตัวครั้งนี้เป็นตากล้องที่ฝีมือเยี่ยมมาก ทริปอาร์เมเนียจึงเป็นทริปที่ฉันมีรูปตัวเองมากที่สุด

armenia2

จากนั้นหยุดแวะกันที่ โบสถ์การ์นี (Temple of Garni) ถือเป็นโบสถ์คริสต์ที่เก่าแก่มากเช่นกัน สร้างมาตั้งแต่ 10 ปีก่อนคริสต์ศักราชด้วยหินบะซอลต์ ความพิเศษของโบสถ์แห่งนี้คือ มีเพียงอาคารเดียวที่เหลืออยู่ ตั้งอยู่บนเนินสูงริมหน้าผาสูงชัน ในอดีตเคยเป็นพระราชวังของกษัตริย์อาร์เมเนีย รายล้อมด้วยทิวเขาสลับซับซ้อน นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เพลิดเพลินกับวิวรอบๆ มากกว่า ด้านล่างของเหวลึกมีแม่น้ำสายเล็กไหลผ่าน มีหมู่บ้านเล็กๆ แทรกอยู่ในระหว่างเส้นทางสายน้ำ และแนวสนสีเขียว

เมื่อกลับออกมาอีกครั้ง ขับรถออกไปเพียงแค่ 15 นาที ไปชม โบสถ์เกฮาร์ด (Geghard Monastery) ที่มีอายุเก่าแก่กว่า 800 ปี ซึ่งยูเนสโกจัดให้เป็นมรดกโลกของอาร์เมเนีย (UNESCO World Heritage Site) และอยู่ในรายการสถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาด ความพิเศษคือ โบสถ์ออกแบบให้มีช่องแสงผ่านเข้ามา นับเป็นความคิดที่เยี่ยมยอดมาก เพราะไม่เปลืองไฟฟ้าในยุคปัจจุบัน ภายในมีห้องต่างๆ ทั้งส่วนที่เป็นที่พัก ห้องครัว ส่วนด้านนอกมีลำธารขนาดเล็กไหลผ่าน มีน้ำตกขนาดเล็กแทรกตัวอยู่หลายแห่ง

แม้อาร์เมเนียจะมีศาสนาคริสต์เป็นศาสนาประจำชาติ แต่ฉันแปลกใจมากที่เห็นโบสถ์เพียงไม่กี่แห่งที่นี่ แต่ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์เคร่งครัดยิ่ง ผู้คนที่นี่จะแสดงความเคารพทุกครั้งเมื่อเดินผ่านโบสถ์และรูปปั้นของพระเยซู

armenia2
สถาปัตยกรรม ลวดลายแปลกตา

armenia2

อิ่มเอมบรรยากาศในแบบศาสนากันแล้ว ฉันขอแนะนำสถานที่ที่ไม่ควรพลาดสำหรับคนชอบเดินตลาด นั่นคือ ตลาดค้าของเก่า (Flea Market) ที่ใหญ่มาก อยู่ภายในสวนสาธารณะซันดูเกียน (Sundukian Park) ตลาดแบ่งออกเป็น 3 โซน โซนแรกคือ ส่วนแสดงและขายงานศิลปะ โซนที่ 2 ขายของที่ระลึกทั้งแบบสมัยใหม่และของเก่าโบราณสำหรับสะสม โซนที่ 3 ขายพรม ซึ่งพรมทั้งหมดทอโดยชาวอาร์เมเนีย แต่ละผืนมีลวดลายงดงามสุดๆ และบางผืนมีขนาดใหญ่มาก นักเดินทางอาจจะกังวลกับการขนส่ง ไม่ต้องห่วง ที่นี่มีบริการส่งถึงปลายทางกันเลยทีเดียว

นอกจากนี้ของที่ระลึกอีกอย่างที่ถือเป็นเอกลักษณ์ของชาวอาร์เมเนียคือ ผ้ารองจานหรือผ้าปูโต๊ะที่เป็นผ้าปักสีขาวทั้งหมดเป็นงานแฮนด์เมดของแม่บ้าน และถือเป็นของที่ระลึกที่ชาวยุโรปชื่นชอบมาก จึงไม่แปลกที่มีนักท่องเที่ยวจากยุโรปหลายคนยืนเลือกซื้อกันด้วย ความประทับใจในรายละเอียดและความงดงามของลวดลายบนผืนผ้า

armenia2
โอเปร่าเฮ้าส์ สัญลักษณ์ของกรุงเอเรวาน

ประวัติศาสตร์อันแสนเศร้า

เนื่องจากประวัติศาสตร์ของที่นี่เคล้าด้วยน้ำตาจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่ถือว่า โลกต้องจดจำเหตุเกิดจากการที่กองทัพเติร์กจากจักรวรรดิออตโตมันพยายามขยายอาณานิคมขับไล่คนต่างเชื้อชาติศาสนาออกไปจากดินแดนของตุรกี ด้วยการให้เดินเท้าผ่านเทือกเขาที่หนาวเหน็บและทุรกันดารอย่างยิ่ง ผู้คนมากกว่า 1.5 ล้านคนจึงเสียชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนี้

เหตุการณ์นี้สร้างรอยร้าวระหว่างอาร์เมเนียกับตุรกีมาจนถึงทุกวันนี้ และตุรกีเองก็ไม่เคยยอมรับว่ามีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ เพราะถือเป็นเรื่องน่าอับอายที่มีการฆ่าบุคคลบริสุทธิ์เป็นจำนวนมากครั้งหนึ่งของประวัติศาสตร์โลกรองจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 นักท่องเที่ยวบางคนจึงเลือกที่จะใช้เวลากับพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวอาร์เมเนีย (Armenian Genocide Museum and Memorial) ที่สร้างขึ้นเมื่อปี 1965 บนเนินเขาใจกลางกรุงเยเรวาน ภายในประกอบด้วยเอกสารที่เป็นหลักฐานของเหตุการณ์ต่างๆ ที่มาจากหลายประเทศ รวมทั้งมีภาพถ่ายบันทึกเหตุการณ์อันโหดร้ายไว้อย่างละเอียดจำนวนหลายร้อยภาพ เป็นภาพแห่งความสะเทือนใจที่ทำให้ผู้เข้าชมจำนวนมากต้องน้ำตารินด้วยความสนใจระคนความเศร้าโศกกับการกระทำของมนุษย์ด้วยกันเอง ผลจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงปี 1914-1918 และเป็นเหตุทำให้เด็กจำนวนมากกว่า 3,000 คน ต้องกลายเป็นเด็กกำพร้าฉัน

armenia2

armenia2
มัสยิดบลูมอสก์

ปิดท้ายด้วยการไปชม มัสยิดบลูมอสก์ (Blue Mosque) ซึ่งเป็นมัสยิดแบบเปอร์เซียนเพียงแห่งเดียวของที่นี่ สร้างตั้งแต่ปี 1765 แทรกตัวอยู่ในสังคมเมือง ภายในมีสวนเล็กๆ ตกแต่งสวยงาม ฉันหลงรักดอกซากุระของที่นี่จริงๆ เพราะเป็นซากุระที่เบ่งบานด้วยบรรยากาศแบบอิสลาม ความสูงของมิเนเรต์ราว 24 เมตร โดดเด่นด้วยโดมสีเทอร์คอยส์สดใส งดงามอย่างยิ่ง

เป็นความประทับใจส่งท้ายจริงๆ

เรื่องและภาพ : Black Beauty
ที่มา : คอลัมน์สารคดีท่องเที่ยว นิตยสารแพรว ฉบับ 874 ปักษ์ที่ 25 มกราคม 2559

Praew Recommend

keyboard_arrow_up