“อาร์เมเนีย” เป็นประเทศเล็กๆ ที่คนไทยหลายคนแทบจะไม่เคยรู้จัก หรือได้ยินชื่อมาก่อน เป็นประเทศที่มีเรื่องราวน่าสนใจยิ่ง เป็นดินแดนที่มีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่เกิดจากความเกลียดชังเพียงเพราะมีเชื้อชาติ และศาสนาที่แตกต่างกัน แต่ฉันอยากทำความรู้จักประเทศนี้ จึงดั้นด้นไปถึงจนได้
อาร์เมเนีย อยู่ทางด้านตะวันตกของทวีปเอเชียค่อนไปทางด้านใต้ ของเทือกเขาคอเคซัส ทำให้มีจุดเด่นคือ ไม่ว่ามองไปทางใดจะเห็นวิวเทือกเขาสูงปกคลุมด้วยหิมะรายล้อมอยู่ มีอาณาเขตติดกับประเทศจอร์เจียและอิหร่าน และบางส่วนของประเทศอาเซอร์ไบจาน แต่เนื่องจากปัญหาทางการเมือง จึงทำให้ด่านข้ามแดนของทั้งสองประเทศต้องปิดอย่างถาวร
ทักทายเยเรวาน…
เมืองหลวงของประเทศอาร์เมเนียคือ กรุงเยเรวาน (Yerevan) เป็นเมืองขนาดเล็กตั้งอยู่ในที่ราบลุ่มที่รายล้อมด้วยเทือกเขาสำคัญ 2 แห่ง คือ เทือกเขาอารารัต (Ararat) และเทือกเขาอารากัตส์ (Aragats) ที่นี่เรียกว่าพิงค์ซิตี เนื่องด้วยตึกเก่าแก่ทั้งหมดสร้างด้วยหินแกรนิต ซึ่งมีสีชมพู เมื่อมาถึงเมืองนี้บรรยากาศที่ฉันได้สัมผัสคือความเป็นกันเองอย่างมาก ผู้คนที่นี่ยิ้มแย้มแจ่มใสและมีน้ำใจยิ่ง ชาวอาร์เมเนีย ให้เกียรติและเคารพความเป็นมนุษย์ของคนทุกคนที่มาเยือน
การเดินทางมาที่นี่คนเดียวจึงมีความปลอดภัยยิ่ง สัมผัสได้ถึงความอบอุ่น อิ่มเอมใจกับการต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันสดใสและบริสุทธิ์ใจที่ยากจะลืมเลือน
กรุงเยเรวานน่าจะเป็นเมืองหลวงเพียงไม่กี่แห่งที่ไม่มีรถบัสทัวร์ชมเมือง อาจเป็นเพราะเป็นเมืองที่มีขนาดเล็ก และสถานที่ท่องเที่ยว เกือบทั้งหมดตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกัน สามารถใช้เวลาเดินชมไม่นานนัก รวมทั้งการคมนาคมในเมืองค่อนข้างสะดวก เลือกใช้บริการได้ทั้งรถเมล์ รถไฟฟ้าใต้ดิน และบริการแท็กซี่ราคาค่อนข้างถูกและเป็นธรรม บ่อยครั้งที่คนขับรถเมล์ก็ไม่คิดเงินกับนักท่องเที่ยว
ฉันเริ่มทำความรู้จักเมืองหลวงเล็กๆ แห่งนี้ที่จัตุรัสรีพับลิกสแควร์ (Republic Square) ซึ่งเป็นที่ตั้งของอาคารสำคัญ 7 แห่งทั้งของรัฐบาลและเอกชน รวมทั้งโรงแรมห้าดาวระดับโลก เมื่อลอดซุ้มประตูโค้งผ่านเข้ามาก็เจอกับทางเดินเท้าที่พาดผ่านกลางจัตุรัส ถือเป็นจุดถ่ายภาพที่ดีที่สุด ไม่ไกลกันคือที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ (Armenia History Museum) ภายในเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ของอาร์เมเนีย รวมทั้งงานศิลปะที่สำคัญบางส่วน ในอาคารเดียวกันยังเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ศิลปะ (Art Museum) ถือเป็นศูนย์รวมงานศิลปะจากศิลปินทั้งอาร์เมเนีย รัสเซีย และยุโรป อาคารมีทั้งหมด 6 ชั้น และมีงานศิลปะมากถึง 25,000 ชิ้น การเข้าชมจะบังคับให้เดินตามทางเดินที่กำหนดไว้ โดยเริ่มจากชั้นบนสุด การเดินชมอาจจะไม่มีความเป็นส่วนตัวมากนัก เนื่องจากมีเจ้าหน้าที่คอยเดินตามตลอดเวลา อย่าไปแสดงความรำคาญ เพราะเป็นวัฒนธรรมของที่นี่

จากนั้นเราไปชม โบสถ์เซนต์ซาร์คิส (St.Sarkis Cathedral) สร้างขึ้นเมื่อปี 1679 และพังทลายลงเนื่องจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว จากนั้นมีการบูรณะขึ้นใหม่ปัจจุบันถือเป็นโบสถ์ที่นักท่องเที่ยวนิยมมาชมมากที่สุด ส่วนใครที่ยังหลงรักความงดงามของโบสถ์คริสต์ ขอแนะนำ โบสถ์เซนต์เกรกอรี่ ดิ อิลลูมิเนเตอร์ (St.Gregory the Illuminator Cathedral) แต่ชาวเยเรวานเรียกว่า โบสถ์เยเรวาน (Yerevan Cathedral) โบสถ์แห่งนี้ตั้งอยู่บนเนินสูง ทำให้สามารถมองเห็นถึงความโดดเด่น ส่วนด้านล่างเป็นชุมชนแออัด ฉากหลังคือยอดเขาอารารัต โบสถ์แห่งนี้ เป็นที่ประกอบศาสนกิจอันสำคัญยิ่งของชาวเยราวาน ฉันจึงเห็นชาวเยเรวานเดินเข้าออกตลอดเวลา นอกจากนี้ในยามค่ำคืนฉันสามารถมองเห็นความงามของแสงสีทองของโบสถ์ในระยะไกลด้วย
ไม่ไกลกันเป็นย่านร้านอาหารแบบอาร์เมเนียแท้และอาหารจากนานาชาติ ความโดดเด่นคือ ร้านกาแฟบรรยากาศแบบเอ๊าต์ดอร์ ซึ่งนักท่องเที่ยวชอบมานั่งอาบแดด เนื่องจากประเทศอาร์เมเนียมีค่าครองชีพที่ค่อนข้างถูก ทำให้ราคาอาหารที่นี่ไม่แพง โดยเฉลี่ยราคาอาหารพร้อมเครื่องดื่มต่อมื้อราว 200 บาท เช่น เขาให้เนื้อไก่ปริมาณมากชนิดที่กินคนเดียวไม่หมด ฉันได้ยินนักท่องเที่ยวแทบทุกคนกล่าวชมเรื่องราคาอาหารถูกมาก ทั้งยังชำระเงินด้วยบัตรเครดิตได้โดยไม่มีราคาขั้นต่ำด้วย

จากนั้นฉันไปเดินเล่นต่อที่ย่านถนนไฮยุสิซายิน โปโกตา (Hyusi-sayin Poghota Street) หรือเรียกกันอีกชื่อว่า ถนนนอร์เทิร์นอเวนิว (Northern Avenue) ซึ่งเป็นถนนที่มีความยาวแค่ 450 เมตร กว้าง 29 เมตร สร้างเมื่อปี 2002 เปิดใช้ปี 2007 สองข้างทางเป็นร้านแบรนด์เนมจากทั่วโลกและโรงแรมห้าดาว หน้าโรงแรมมีลานเล็กๆ เป็นที่ตั้งของร้านอาหารบรรยากาศหรูหรา มีนักท่องเที่ยวนิยมมานั่งดื่มเบียร์กัน สุดถนนคือ โรงละครโอเปร่า (Opera House) ถือเป็นสัญลักษณ์ของกรุงเยเรวาน ซึ่งสถาปัตยกรรมของอาคารเป็นอาคารรูปทรงแปลกตา
ประกอบด้วย 3 ส่วน คือ คาชาทูเรียน คอนเสิร์ตฮอลล์ (Khachaturian Concert Hall) สถาบันโอเปร่าแห่งชาติ (National Academic Opera) และสถาบันบัลเล่ต์แห่งชาติ (Ballet National Academy) ถือเป็นโรงละครที่ใช้เวลาก่อสร้างนานถึง 26 ปี ตั้งแต่ปี 1930 – 1956 ด้านหน้าเป็นลานโล่งที่ใช้ในการจัดงานอีเว้นต์ต่าง ๆ รวมทั้งมีบริการจักรยานเช่าสำหรับเด็กๆ เป็นสถานที่สุดชิคแอนด์ชิลของวัยรุ่นที่นี่
ฉันเปลี่ยนบรรยากาศไปชมกรุงเยเรวานจากมุมสูงกันบ้าง โดยปีนขึ้นบันไดจำนวนมากกว่า 100 ขั้นที่เชื่อมใจกลางกรุงเยเรวานขึ้นไปยังเนินเขาด้านบน ซึ่งเป็นที่ตั้งของ อนุสาวรีย์รำลึกสงครามโลกครั้งที่ 1 (World War I Monument) ระหว่างขั้นบันไดแต่ละขั้นมีขนาดใหญ่ มีระบบส่งน้ำที่ถือว่าทันสมัยมาก ด้านหน้าทางขึ้นบันไดมีทางเข้า พิพิธภัณฑ์ศิลปะคาเฟสเจี้ยน (Cafesjian Museum of Art) ซ่อนอยู่ภายใน ระหว่างที่เดินขึ้นไปเจอนักท่องเที่ยวเก็บภาพเป็นที่ระลึกตามจุดที่จัดไว้ให้แวะเก็บภาพมุมสูงเป็นระยะๆ เมื่อสุดขั้นบันไดแล้วต้องเดินเท้าอีก 200 เมตร จากนั้นเดินขึ้นบันไดเวียนอีกหลายขั้น ใครที่ร่างกายไม่แข็งแรงไม่แนะนำ เพราะบันไดชันมาก ถึงขนาดกล้ามเนื้อล้ากันเลยทีเดียว แต่ภาพมุมสูงในยามตะวันตกดินนั้นงดงามยิ่งนัก โดยเบื้องล่างเป็นกรุงเยเรวาน ที่ไกลออกไปสุดสายตาคือเทือกเขาอารารัตที่ห่มคลุมด้วยหิมะ โดยมีวงกลมสีส้มของดวงอาทิตย์ใกล้ลับลาฟ้าเป็นฉากหลัง เป็นบรรยากาศที่โรแมนติกมา

ปิดท้ายยามค่ำคืนด้วยการเดินย้อนกลับมาชมการแสดงน้ำพุเต้นระบำ (Fountain Dancing) ที่จัตุรัสรีพับลิกสแควร์กันอีกครั้ง การแสดงน้ำพุเต้นระบำของที่นี่ถือเป็นสุดยอดโชว์ที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาด มีการเปิดน้ำพุประกอบเพลงที่แต่งขึ้นเพื่อเล่าเรื่องราวของกรุงเยเรวาน โดยทันทีที่น้ำพุเริ่มพุ่งกระจายและเสียงดนตรีที่ปลุกใจอย่างยิ่ง คู่หนุ่มสาวจากทั้งอาร์เมเนียและชาวต่างชาติต่างก็วิ่งไปด้านหน้าแล้วกอดรัดฟัดจูบฝากรักกันอย่างดูดดื่ม สาวไทยวัยใกล้ชราอย่างฉัน ถึงกับน้ำตาเล็ดด้วยความปลาบปลื้มผสมอิจฉาและริษยานิดๆ การแสดงน้ำพุประกอบแสง สี และเสียง ใช้เวลาราวหนึ่งชั่วโมง มีเพลงประกอบที่ไม่ซ้ำกันทั้งจังหวะที่เร้าใจและแผ่วเบาที่สุดแสนโรแมนติก
เรื่องและภาพ : Black Beauty
ที่มา : คอลัมน์สารคดีท่องเที่ยว นิตยสารแพรว ฉบับ 874 ปักษ์ที่ 25 มกราคม 2559