MY MEMORY IN “MALLORCA” (ตอนที่2)

(ต่อจากคราวที่แล้ว) ตรอกแคบ ๆ เริ่มคึกคักเมื่อเริ่มสาย ยิ่งใกล้จัตุรัสยิ่งดูเหมือนว่าดัชนีความคึกคักเริ่มดีดตัวขึ้น อาจจะเป็นลานกว้างที่ไม่ใหญ่โตนัก แต่โทนสีอบอุ่นที่โรยไว้บนอาคารรอบ ๆ จัตุรัสก็ทำให้ที่นี่กลายเป็นมุมที่สวยพอดี ๆ ที่นี่คือศูนย์กลางของเมืองเก่าที่ใครไปใครมาเป็นต้องแวะมารายงานตัว
13
กำลังลั่นชัตเตอร์เพลิน ๆ แต่ดูเหมือนกองทัพสองล้อบุกเข้ามากระจายตัวทั่วจัตุรัส ไม่ได้มีเทศกาลงานปั่นแต่อย่างใด แต่นักท่องเที่ยวที่มาปาลมา เดมายอร์กา ส่วนใหญ่จะนิยมปั่นจักรยานทะลุไปตามตรอกซอกซอยของเมืองเก่าถึงขั้นมีทัวร์ปั่นจักรยานจริงจังเหมือนเบอร์ลินเลยมุมหนึ่งของจัตุรัสมีจอมยุทธนั่งลอยตัวแน่นิ่งราวกับเขามีวิชาตัวเบา แต่เขาพร้อมจะขยับตัวทันทีเมื่อได้ยินเสียงเหรียญเงินยูโรหยอดลงสู่กระป๋องที่วางไว้ น้อมตัวลงเบา ๆ นิด ๆ เป็นการขอบคุณ แล้วนั่งนิ่งเป็นพระเอกเรื่องห้องหุ่นต่อ ไม่ได้มีสาระสำคัญอะไรมากนัก แต่ก็สร้างสีสันให้จัตุรัสประจำเมืองได้ไม่น้อยเพราะใคร ๆ ก็พากันหยุดมองเขาแม้แต่หนุ่มภารตคู่แข่งที่นั่งนิ่งลอยตัวอยู่ไม่ไกลกันยังชำเลืองมองเป็นระยะ
5
รอบ ๆ จัตุรัสและทุกตรอกที่แยกไปจากมุมนี้มีข้าวของให้ช็อปสารพัดอย่าง แต่ร้านที่เรียกลูกค้าได้มากหน่อยเห็นจะเป็นร้านขายพริกผลิตภัณฑ์จากมะนาว ส้ม อัลมอนด์ และพวกเครื่องเทศที่อยู่ในบรรจุภัณฑ์อันจิ้มลิ้ม ใครเห็นแล้วไม่แวะแปลว่าจิตแข็งอย่างแรง ฉันคนหนึ่งละ ทั้งที่ไม่ใช่แนวแม่ศรีเรือน เป็นพวกห่างครัว ทำกับข้าวไม่เป็นยังต้องเฉียดเข้าไปส่อง แล้วตรอกแคบ ๆ ก็พาฉันไปถึงศาลาว่าการประจำเมือง (Town Hall) จนได้ เป็นย่านที่ดูอึกทึกกว่ามุมอื่น ๆ เพราะแถวนี้มีคาเฟ่ไว้ให้นักเดินทางพักน่อง ที่ไหนมีคาเฟ่ ที่นั่นจึงมีนักแสดงเร่ตามไปเปิดหมวกเสมอ วันนี้ก็ดูเหมือนหนุ่ม ๆ บีบอยจากเกาะมายอร์การวมตัวกันมาสร้างความบันเทิงให้ผู้คนอยู่พอดี
16
ความจริงต่อให้ไม่มีนักแสดงเร่มาเปิดหมวก มุมนี้ก็น่าแฮ้งเอ๊าต์อยู่แล้ว เพราะรอบ ๆ บริเวณเต็มไปด้วยอาคารบ้านเรือนเก่าแก่ที่คลาสสิกมากแต่ถ้าเดินมุ่งหน้าไปหาทะเล สูดกลิ่นอายทะเลไปเรื่อย ๆ จะพบว่าไฮไลท์ของปาลมา เด มายอร์กา รออยู่ที่ปลายถนน เดินเหินบนถนนสายนี้ต้องคอยหลบเจ้าถิ่นอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่เฟอร์รารี่หรือปอร์เช่ แต่เป็นรถม้าที่วิ่งเสียงก่อกแก่กบรรทุกผู้โดยสารที่นั่งโคลงเคลงชมเมืองกันอย่างสบายใจ
15
ไม่ง่ายนักหรอกที่จะเดินพุ่งไปหามหาวิหารแห่งมายอร์กาที่อยู่สุดถนน เพราะระหว่างทางมีแต่ร้านชิค ๆ เก๋ ๆ ที่แค่เห็นจากหน้าร้านแล้วอดหยุดดูไม่ได้ แล้วในที่สุดภาพเขียนสวย ๆ จากเกาะมายอร์กาก็ถูกฉันหิ้วกลับบางกอกจนได้บางครั้งการเดินทางก็เป็นเรื่องของจังหวะก็เหมือนกับวันนี้ที่มาแล้วเป็นช่วงที่โบสถ์ปิด ไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวเข้าชม เพราะกำลังมีพิธีกรรมพอดี ที่ทำได้จึงแค่ชะเง้อมองด้านในของโบสถ์จากรั้ว เขาว่าด้านในมีกระจกสีใหญ่ที่สุดในโลกอวดนักท่องเที่ยวด้วย ก็ดีนะ บางทีพลาดอะไรไปบ้างจะได้หาเหตุกลับมามายอร์กาอีกรอบ
10
แต่แค่เดินสำรวจรอบ ๆ มหาวิหารประจำเมืองก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว เพราะสถาปัตยกรรมอันงดงามในแบบกอทิกที่อยู่รายรอบนั้นเลอค่าเหลือเกินแรกสร้างจริง ๆ เมื่อต้นศตวรรษที่ 13 แต่กว่าจะก่อสร้างเสร็จก็กินเวลานานกว่า 300 ปี แถมน่าสนใจตรงที่ช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ที่มีการปรับปรุง ก็มีชื่อของอัจฉริยบุคคลอย่างเกาดี้เข้ามามีส่วนในการชี้แนะด้วย
9
12

ที่มา : คอลัมน์สารคดีท่องเที่ยว นิตยสารแพรว ฉบับที่ 856 ปักษ์วันที่ 25 เมษายน 2558

Praew Recommend

keyboard_arrow_up