ช้อปเก่งแต่คุ้ม 'มิณ-สิรัชชา' แชร์ 4 เทคนิคต้องรู้ ก่อนลงทุนกับกระเป๋าแบรนด์เนม

ช้อปเก่งแต่คุ้ม ‘มิณ-สิรัชชา’ แชร์ 4 เทคนิคต้องรู้ ก่อนลงทุนกับกระเป๋าแบรนด์เนม

Alternative Textaccount_circle
ช้อปเก่งแต่คุ้ม 'มิณ-สิรัชชา' แชร์ 4 เทคนิคต้องรู้ ก่อนลงทุนกับกระเป๋าแบรนด์เนม
ช้อปเก่งแต่คุ้ม 'มิณ-สิรัชชา' แชร์ 4 เทคนิคต้องรู้ ก่อนลงทุนกับกระเป๋าแบรนด์เนม

เจาะ 4 เคล็ดลับในการลงทุนกับ กระเป๋าแบรนด์เนม จากเซเลบริตี้นักลงทุนตัวแม่ ‘มิณ-สิรัชชา พัชรโสภาชัย’

เชื่อว่าผู้หญิงทุกคนต้องมีกระเป๋าในครอบครองมากกว่า 1 ใบ โดยเฉพาะกระเป๋าแบรนด์เนม wish list ของสาวๆ ทั้งหลาย ซึ่งจากความชอบนี่แหละอาจนำไปสู่การลงทุนที่ดีได้ เหมือนจุดเริ่มต้นธุรกิจของ ‘มิณ-สิรัชชา พัชรโสภาชัย’ ผู้ก่อตั้งร้านสปากระเป๋าโมโมโกะ (Momoko Bag & Shoes Spa) อีกทั้งยังเป็นนักลงทุนกับกระเป๋าแบรนด์เนมแบบตัวยงอีกด้วย

ช้อปเก่งแต่คุ้ม 'มิณ-สิรัชชา' แชร์ 4 เทคนิคต้องรู้ ก่อนลงทุนกับกระเป๋าแบรนด์เนม

1. สร้างรายได้จากส่วนต่าง

มิณเข้าสู่การลงทุนซื้อขายกระเป๋าตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยค่ะ เริ่มจากความชอบในสินค้าแฟชั่น ซึ่งเหมือนกับผู้หญิงส่วนใหญ่ที่ชอบแต่งตัว ชอบช้อปปิ้ง ไม่ว่าจะเป็น เสื้อผ้า รองเท้า เครื่องประดับที่ทยอยออกคอลเล็คชั่นใหม่ๆ มาตลอด

มิณเริ่มจากซื้อกระเป๋าแบรนด์เนมมือสองมาใช้ก่อน เพราะความชอบและอยากได้ล้วนๆ เลยค่ะ ซึ่งพอใช้ไปสักพัก เห็นรุ่นใหม่ออกมาก็อยากได้อีก (หัวเราะ) แต่จะนำเงินที่ไหนไปซื้อ มิณจึงนำใบเดิมไปทำความสะอาดแล้วขายต่อ เพื่อนำเงินไปซื้อใบใหม่

พูดให้เห็นภาพคือ สมมติซื้อกระเป๋ามือสองรุ่นคลาสสิกมาราคา 8,000 บาท ใช้ไป 3-4 เดือน ก็ส่งทำความสะอาดที่ร้านจนสภาพสวยเหมือนใหม่ เสียค่าใช้จ่ายประมาณ 2-3 พันบาท พอนำไปขายต่อได้ราคาถึง 15,000 บาท ซึ่งส่วนต่างตรงนั้นแหละคือ Margin หรือกำไรให้เรานำไปเป็นทุนเพื่อซื้อใบใหม่ที่ราคาสูงขึ้น ซื้อมาใช้เองก่อน จากนั้นทำความสะอาดและขายต่อ (ยิ้ม) เป็นวงกลมแบบนี้ไปเรื่อยๆ

ซึ่งพอทำแบบนี้ไปสักระยะ ทำให้มองเห็นมูลค่าของส่วนต่าง จนเริ่มจริงจังทำเป็นธุรกิจ เพราะในหมวดสินค้าแฟชั่น กระเป๋าเป็นสิ่งที่เหมาะกับการลงทุนมากที่สุด เพราะราคาดี บางรุ่นราคาพุ่งขึ้นเรื่อยๆ และไม่มีแบ่งไซส์เหมือนเสื้อผ้าหรือรองเท้า แต่คนที่จะลงทุนตรงนี้ต้องมีความเข้าใจตลาดและขยันนะคะ คือเน้นปริมาณการขายให้เยอะ ทำให้ได้เงินส่วนต่างจากการขายของเราเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามราคากระเป๋า ซึ่งตรงนี้อยู่ที่ความขยันเลยค่ะ ถ้าตั้งใจทำ ขายได้เยอะ กำไรก็จะทบไปเรื่อยๆ จนได้เงินก้อนใหญ่

ช้อปเก่งแต่คุ้ม 'มิณ-สิรัชชา' แชร์ 4 เทคนิคต้องรู้ ก่อนลงทุนกับกระเป๋าแบรนด์เนม

และบวกกับความสนใจเรื่องทำความสะอาดกระเป๋า จึงนำเงินที่ได้มาไปต่อยอดเปิดธุรกิจร้านสปากระเป๋าโมโมโกะ และธุรกิจเช่าสินค้าแฟชั่นแบรนด์เนม Runway Closet เพราะความสุขของมิณคือการทำธุรกิจ โดยเฉพาะการได้ลงทุนในสินค้าที่เราชอบด้วยยิ่งแฮ็ปปี้

ทุกวันนี้มิณช้อปปิ้งอยู่ตลอดค่ะ ซื้อเกือบทุกแบรนด์ (ยิ้ม) แต่ที่ชอบเป็นพิเศษคือ Chanel มีแทบทุกคอลเล็คชั่น โดยจะแบ่งเป็นของสะสมส่วนตัว คือไม่ขายเด็ดขาด เป็นความสุข กับรุ่นที่ซื้อมาสำหรับลงทุน สามารถทำกำไรได้ในอนาคต ซึ่งเทคนิคการเลือกคือ อย่ามองแค่ดีไซน์สวย แต่ต้องด้วยดูว่าเป็น Good Investment หรือเปล่า นั่นคือเวลาผ่านไปก็ยังได้รับความนิยม มูลค่ายิ่งเพิ่ม และไม่ตกซีซั่น อย่างพวกรุ่นคลาสสิกหรือสีลิมิเต็ด เป็นต้น อย่าง Chanel วินเทจบางรุ่น เมื่อ 20 ปีที่แล้วประมาณ 2 หมื่นบาท แต่ตอนนี้ราคาอยู่ที่ 1 แสนแล้ว

และจากประสบการณ์ที่มิณอยู่ในธุรกิจนี้มานาน ทำให้รู้ว่าเทรนด์เปลี่ยนเร็วมาก บางรุ่นออกมาปุ๊บความต้องการสูง แต่ผ่านไปสักครึ่งปีอาจเลิกฮิตแล้ว แต่ถ้าเป็นรุ่นคลาสสิกหรือวินเทจ บางใบอายุ 20-30 ปีก็ยังขายได้อยู่เลย

ฉะนั้นในตลาดลงทุนกระเป๋าแบ่งออกเป็น 3 แบบใหญ่ ๆ คือ แบบแฟชั่น ที่มีระยะเวลาในตลาดสั้น รุ่นคลาสสิกตลอดกาลที่แม้จะผ่านไป 10 หรือ 20 ปี ก็ยังมีคนต้องการ ขายได้ตลอด และกระเป๋าวินเทจที่เป็นความชอบเฉพาะกลุ่ม ไม่มีราคาตายตัว

ช้อปเก่งแต่คุ้ม 'มิณ-สิรัชชา' แชร์ 4 เทคนิคต้องรู้ ก่อนลงทุนกับกระเป๋าแบรนด์เนม

2. แฟชั่นมาไวไปไว ต้องรู้ทันเทรนด์

สำหรับกระเป๋าแฟชั่นมักมีระยะเวลาในการใช้ที่ค่อนข้างสั้น อาจจะแค่ 1 ปี คนก็เลิกใช้แล้ว ฉะนั้นเราต้องตามโลกให้ทัน ดูว่าตอนนี้เขาฮิตอะไรกัน ความต้องการในตลาดเป็นอย่างไร อย่างมิณจะเกาะติดแฟชั่นโชว์ของแบรนด์ต่างๆ ดูไอจีของเหล่าคนดังหรืออินฟลูเอนเซอร์ทั้งไทยและต่างประเทศว่าตอนนี้ใครใช้รุ่นอะไร เพราะเมื่อคนดังเริ่มใช้ ความต้องการในตลาดจะเพิ่มสูงขึ้นทันที แต่หลังจากนั้นไม่เกิน 6 เดือน ความนิยมก็จะซาลง

แต่ถ้าเป็นกระเป๋าแฟชั่นรุ่นลิมิเต็ดจะกลับกันนะคะ อย่างพวกสีเมแทลลิก สีเงิน สีทอง สีรุ้ง ราคามักจะขึ้นสูงมาก เพราะไม่มีเพดานราคา เนื่องจากสินค้ามีจำนวนจำกัด หรือพวกรุ่นคลาสสิกสีพิเศษตามซีซั่นที่มีเพียงไม่กี่ใบ ราคาก็จะสูงขึ้นมากๆ อย่างเช่น Chanel Boy สีพิเศษ ถ้าซื้อในช็อปราคาประมาณ 1.6 แสน ผ่านไป 2-3 ปี ราคาอาจพุ่งขึ้นไปถึง 2.8 แสนเลยนะคะ เพราะหาซื้อในช็อปไม่ได้แล้ว และแน่นอนว่ากว่าจะได้มาก็ยากเช่นกัน (หัวเราะ)

ช้อปเก่งแต่คุ้ม 'มิณ-สิรัชชา' แชร์ 4 เทคนิคต้องรู้ ก่อนลงทุนกับกระเป๋าแบรนด์เนม

3. รุ่นคลาสสิก ฮิตตลอดกาล

ต่อมาเป็นกระเป๋ารุ่นคลาสสิกเหนือกาลเวลา อย่าง Chanel Classic, Chanel Boy หรือ Hermçs Birkin ที่สินค้ามีการขึ้นราคาทุกปีประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ บางแบรนด์ราคาอาจจะขยับทุก 6 เดือน ฉะนั้นถ้ามือหนึ่งราคาขึ้น สินค้ามือสองราคาก็จะขึ้นไปด้วย ดังนั้นกระเป๋าแบรนด์ใดก็ตามที่เป็นรุ่นคลาสสิก แนะนำว่าควรมีเก็บไว้ครอบครองค่ะ เพราะในอนาคตราคาขึ้นแน่นอน

สำหรับมือใหม่ที่จะเริ่มลงทุนซื้อขายกระเป๋า มิณแนะนำให้เลือกแบรนด์ที่เป็นที่นิยมในไทย เพราะบางแบรนด์ในต่างประเทศนิยมก็จริง แต่คนไทยกลับไม่อินก็มี ฉะนั้นราคาก็จะไม่ขึ้น คนไม่ตามหา

5 รุ่นคลาสสิกที่ซื้อง่าย ขายคล่อง ได้แก่ 1. Chanel Classic Flap ฮิตตลอดกาลจริงๆ โดยเฉพาะสีดำอะไหล่ทอง และสีเบจอะไหล่ทอง 2. Herms Birkin และ Kelly สำหรับนักลงทุนมือใหม่ควรเริ่มจากสีดำ หรือ Gold Epsom เพราะซื้อง่าย ขายคล่อง 3. Chanel Boy ดีไซน์คลาสสิกแฝง ด้วยความเท่ ฮิตสุดต้องสีดำ 4. Louis Vuitton Neverfull กระเป๋าโท้ตลายโมโนแกรมยอดฮิต ใช้ได้ตั้งแต่วัยรุ่นถึงวัยทำงาน 5. Prada Galleria ดีไซน์คลาสสิก ไม่มีตกยุค แมตช์ง่ายกับทุกลุค

ช้อปเก่งแต่คุ้ม 'มิณ-สิรัชชา' แชร์ 4 เทคนิคต้องรู้ ก่อนลงทุนกับกระเป๋าแบรนด์เนม

4. “กระเป๋าวินเทจ” ราคาตามความพอใจ

กระเป๋าวินเทจมักจะทำกำไรได้ดี ข้อดีคือไม่มีราคากลางในตลาด ขึ้นอยู่กับความชอบและความพึงพอใจของลูกค้า เพราะถ้าเป็นรุ่นยอดนิยม ลูกค้าสามารถเปรียบเทียบราคาแต่ละร้านได้เลย มีราคากลางในตลาดและคู่แข่งเยอะ แต่วินเทจ สินค้ามีเพียงอย่างละไม่กี่ใบ เป็นแรร์ไอเท็ม

แต่เราต้องรู้จักแหล่งซื้อขาย อย่างเพจต่างๆ หรือร้านขายของมือสอง ต้องหมั่นแวะเวียนไปเช็กอยู่ตลอดว่ามีสินค้าอะไรเข้ามา กระเป๋าวินเทจที่มาสภาพไม่ค่อยดี ราคาจะค่อนข้างถูก จากนั้นก็นำไปทำความสะอาดแล้วปล่อยขาย อย่างชาเนลวินเทจราคา 30,000 บาท เสียค่าทำความสะอาดเข้าสปากระเป๋า 5,000-10,000 บาท แล้วแต่สภาพนะคะ เท่ากับว่าเราจ่ายไป 40,000 บาท จากนั้นปล่อยขายในตลาดได้ราคา 70,000-80,0000 บาท เท่ากับว่าได้กำไรเกือบเท่าตัวเลย สิ่งสำคัญคือต้องติดตามความเคลื่อนไหวในวงการแฟชั่น เกาะติดเทรนด์เพื่อรู้ความต้องการของตลาดตลอดเวลา


ที่มา : นิตยสารแพรว ฉบับ 956

ภาพเพิ่มเติม : min_siratcha

Praew Recommend

keyboard_arrow_up