account_circle“แพท พาวเวอร์แพท” หรือ “วรยศ บุญทองนุ่ม” กับระยะเวลา 16 ปี 8 เดือน ในเรือนจำในข้อหามียาเสพติดไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและเสพ (ยาอี) ที่เปลี่ยน ชีวิตของเขาไปตลอดกาล วันนี้เขาได้กลับมามีชีวิตใหม่ที่เต็มไปด้วยความสุข ความหวัง พร้อมด้วยเรื่องราว มุมมองความคิด และแนวทางการใช้ชีวิตที่อยากแชร์ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ และส่งต่อพลังบวกให้หลายๆ คน เหมือนกับชื่อที่แฟนๆ ตั้งให้ว่า “แด๊ดดี้แพท”
ชีวิตใหม่ในวัย 40 ของ “แพท พาวเวอร์แพท” บทเรียนราคาแพงที่กลายเป็นแรงบันดาลใจ
เริ่มใหม่ในวัย 40
“ตั้งแต่วันที่ผมพ้นโทษออกมา บอกตามตรงว่าชีวิตไม่ได้เป็นอย่างที่คิดเท่าไรครับ ทุกอย่างเกินจากที่คิดไว้มากๆ เดิมผมคิดแค่ว่าได้กลับมาอยู่กับครอบครัว กลับมามีชีวิตอิสระ อยากทำอะไรก็ทำ จะนอนดึก ตื่นสาย โดยเฉพาะจะได้ฟังเพลงที่ชอบหรือเล่นดนตรีกับเพื่อนบ้าง แค่นี้ก็โอเคแล้ว
“แต่ปรากฏว่าผมได้รับการต้อนรับและกระแสตอบรับที่ดีมากๆ มีแฟนเพลงที่ยังจำผมได้ มีผู้ใหญ่หลายท่านหยิบยื่นโอกาสให้ มีงานให้ทำ ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีมาก รวมถึงคนไทยหลายๆ คนที่เปิดโอกาสให้ผมอีกครั้ง เรียกว่าเกินคาดไปทุกด้าน ขอบคุณทุกคนจริงๆ ครับ
“ตอนนี้ชีวิตผมแบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลักๆ คือ ทำงานที่ชอบ ดูแลครอบครัว และทำงานเพื่อสังคม เริ่มที่ส่วนแรก ผมได้ทำเพลงกับวงพาวเวอร์แพท ซึ่งเป็นเพลงที่ผมแต่งไว้ตอนอยู่ในเรือนจำ ชื่อเพลง ‘ต้องคำสาป’ รวมถึงเพลงคัฟเวอร์ที่ปล่อยออกมา ก็ได้รับผลตอบรับจากแฟนๆ ดีมาก และภายในปีนี้วงเราก็น่าจะมีซิงเกิ้ลใหม่ออกมาอย่างแน่นอนครับ (ยิ้ม)
“และงานส่วนตัวล่าสุดคือพ็อกเก็ตบุ๊ก ไม่ใช่ที่ของเรา ที่ผมทำร่วมกับสำนักพิมพ์อมรินทร์ บอกเล่าเรื่องราวชีวิตตั้งแต่เด็ก และช่วงเวลาเกือบ 17 ปี ในเรือนจำว่าผมได้พบเจออะไรมาบ้าง เป็นการแชร์ข้อคิด มุมมอง และธรรมะที่ทำให้ผมเปลี่ยนความคิด สามารถมุ่งไปในทางเดินที่ถูกที่ควรได้ ซึ่งคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์และสร้างแรงบันดาลใจให้หลายๆ คน โดยเฉพาะใครที่กำลังเจอจุดอับของชีวิต มีความท้อ มีความเหน็ดเหนื่อย หรือกำลังจะยอมแพ้ให้ได้มีกำลังใจอีกครั้ง
“สำหรับส่วนที่สองของชีวิตคือการดูแลครอบครัว ผมตั้งใจดูแลคุณพ่อคุณแม่ เพราะห่างจากท่านมานาน ก็อยากใช้เวลาอยู่กับท่านให้ได้มากที่สุดครับ และส่วนที่สามคือการช่วยเหลือและคืนกลับให้สังคม ซึ่งผมมีโอกาสเข้าไปช่วยงานในกรมราชทัณฑ์หลายอย่าง โดยเฉพาะช่วยเหลือพี่น้องผู้ต้องขัง บริจาคเครื่องดนตรี หนังสือ อุปกรณ์ในการป้องกันโควิด-19 อย่างหน้ากากอนามัย ชุด PPE และอุปกรณ์จำเป็นต่างๆ รวมถึงช่วยในเรื่องการผลิตสื่อประชาสัมพันธ์ เป็นพิธีกรโปรโมตกิจกรรมในเรือนจำด้วย รวมถึงการส่งต่อเรื่องราวที่เป็นแรงบันดาลใจให้ผู้ต้องขัง ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมภูมิใจมากๆ อีกทั้งตอนนี้ก็ได้ร่วมทำกิจกรรมดีๆ เพื่อสังคมกับแฟนคลับ ทั้งหมดนี้ทำให้ผมรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเองมากขึ้นไปอีกครับ” (ยิ้ม)
หลักคิด 3 ข้อจากบทเรียน 16 ปี 8 เดือน
“ทุกอย่างที่เป็นผมในวันนี้เกิดจากการเรียนรู้ในช่วงเวลานั้น เพราะเป็นเหตุการณ์ที่ทั้งเจอกับตัวเอง ทั้งเห็นจากคนรอบข้าง ที่แต่ละคนมาพร้อมกับหลากหลายเรื่องราว ได้เห็นผลลัพธ์ต่างๆ จากการกระทำ และได้ใช้เวลาตรงนั้นทบทวนประเมินตัวเอง ได้ศึกษาธรรมะ ซึ่งทำให้ผมวิเคราะห์สิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจน ได้เรียนรู้วิธีคิด วิธีการใช้ชีวิต และเมื่อเร็วๆ นี้ผมได้บวชเรียน จึงทำให้ยิ่งตกผลึกในความคิดและเข้าใจชีวิตอย่างชัดเจนมากขึ้น
“ผมขอยกตัวอย่างแนวคิด 3 ข้อ ที่เปลี่ยนชีวิตผมให้กลายเป็นคนใหม่ ข้อแรก เป็นสิ่งที่เห็นชัดเจนที่สุดคือครอบครัว เพราะสุดท้ายแล้วเวลาที่เราลำบาก เวลาที่เราตกต่ำ คนที่คอยประคับประคองอยู่ข้างๆ กันก็มีแต่ครอบครัว คุณพ่อ คุณแม่ที่รักเราเสมอ ไม่ว่าเราจะอยู่ในสภาพไหน เพราะฉะนั้นต้องให้ความสำคัญกับครอบครัวมากๆ
“ต้องไม่ลืมดูแลความสัมพันธ์และความรู้สึกของคนในครอบครัวให้ดีอยู่เสมอ อย่าทิ้งขว้างหรือแปลเจตนาของครอบครัวผิดไป ผมพูดเพราะตัวเองเคยเป็นวัยรุ่นที่แปลเจตนาของครอบครัวผิด เวลาที่ท่านเตือนด้วยความหวังดี แต่ตอนนั้นเราเด็ก จึงรู้สึกรำคาญ เบื่อ แต่ถ้าคิดดีๆ จะพบว่าทุกสิ่งที่ท่านทำให้ล้วนเกิดมาจากความรักซึ่งมีค่ามาก ทุกคนควรถนอมรักษาไว้ครับ
“ข้อสอง กรรมจากการกระทำ เราไม่สามารถหลีกหนีผลของการกระทำได้ เพราะกรรมเป็นสิ่งที่ยุติธรรม เราจะต้องได้รับผลจากสิ่งที่ทำไม่ช้าก็เร็ว ทั้งเรื่องดีและไม่ดี ฉะนั้นก่อนที่จะทำอะไร ควรคิดให้ดีครับ
“และเรื่องที่สาม เชื่อในความมุ่งมั่นและลงมือทำ ถ้าเราอยากเป็นอะไร เรามีความเชื่อ แล้วพยายามทำในทุกวันต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ผมเชื่อว่าสักวันมันต้องเป็นแบบที่เราเชื่อครับ เป็นเรื่องที่พิสูจน์ได้จริง แต่อาจต้องใช้เวลาและความอดทนแลกมา ซึ่งทุกอย่างมีราคาที่ต้องจ่าย แต่ถ้าคุณสู้อย่างไม่ยอมแพ้ วันหนึ่งผลลัพธ์ที่คุณได้จะคุ้มค่าอย่างแน่นอน คุณจะภูมิใจในตัวเองมากๆ ที่ผ่านมาได้จนมีวันนี้
“ถ้ารู้สึกท้อ ผมจะพิจารณาตัวเอง เราไม่ควรมัวมานั่งจิตตก เสียใจกับสิ่งที่ผ่านมาแล้ว แต่เราควรมองไปข้างหน้าเพื่อเริ่มต้นใหม่ ถ้าเรามั่นใจในสิ่งที่ทำ แม้วันนี้อาจจะยังไม่มีใครเห็น แต่ผมอยากให้ทุกคนเชื่อมั่นในการทำความดีครับ สักวันต้องได้ดีแน่นอน ทำต่อไปครับ
“ตอนที่ผมอยู่ข้างใน แน่นอนว่ามีช่วงที่ท้อ ผมจะบอกตัวเองว่าในนั้นไม่ใช่ที่ของเรา วันหนึ่งเราต้องออกไปจากที่นี่ และทุกอย่างไม่ได้มีด้านเดียว อยู่ที่เรามอง แน่นอนว่าการใช้ชีวิตในนั้น การรับโทษชดใช้ความผิดในการกระทำ เราต้องน้อมรับตรงนั้นให้ได้ พยายามมองหาสิ่งดีๆ เท่าที่พอจะหาได้ เช่น ผมมีโอกาสเรียนหนังสือ ทบทวนตัวเอง ได้ฝึกสิ่งที่อยากจะทำ เช่น เขียนเพลง เล่นกีตาร์ มีเวลาอ่านหนังสือ พยายามทำทุกวันของเราให้มีความหมาย ตั้งเป้าหมายและลงมือทำ จะได้รู้สึกถึงคุณค่าของชีวิต
“และแน่นอนครับว่าผมเรียนรู้กับความเจ็บปวดและทุกข์ทรมานจากสิ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งมันทำให้ผมจดจำว่าอย่าทำอย่างนี้อีก ความเจ็บปวดทำให้เราเข็ดหลาบ ขยาด หวาดกลัวต่อการกระทำความผิด ซึ่งนี่คือข้อคิดที่ผมได้รับอย่างเห็นได้ชัด เพราะสิ่งที่ได้รับมันทุกข์ทรมานมากจริงๆ กว่าจะผ่านมาได้ ไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าจิตใจไม่เข้มแข็งหรือโชคไม่ดีพอ ก็อาจจะ ไม่ได้กลับมานั่งตรงนี้แน่นอน ทั้งหมดนี้จึงเป็นบทเรียนที่ผมไม่มีวันลืม และผมภูมิใจที่ได้นำประสบการณ์ของตัวเองมาบอกต่อ เพื่อเป็นอุทาหรณ์และข้อมูลในการใช้ชีวิตครับ”
ที่มา : นิตยสารแพรว ฉบับ 974
ภาพเพิ่มเติม : pat__powerpat
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
รู้จัก “บุ๋ม – ยุวดี” แห่งแบรนด์ไทย Pony Stone เจ้าของกางเกงยีนส์สุดปังใน MV ลิซ่า
บทเรียนจากความพ่ายแพ้พา เทนนิส- พาณิภัค สู่ตำนานฮีโร่กีฬาเทควันโดไทย
อีกก้าวของ “นนท์-ธนนท์” 10 ปี บนเส้นทางสายดนตรี จากผู้เข้าประกวดสู่กรรมการ