16 ปีคือจำนวนปีที่ทั้งคู่รู้จักกัน 9 ปีคือจำนวนปีจากสถานะแฟนสู่การขอแต่งงาน และแพรวฉบับที่ 967 คือการถ่ายแฟชั่นคู่กันพร้อมเปิดใจพูดถึงเรื่องราวความรักของ โต๋ & ไบร์ท ศิลปินหนุ่ม “โต๋-ศักดิ์สิทธิ์ เวชสุภาพร” และผู้ประกาศสาวแห่งรายการเรื่องเล่าเช้านี้ “ไบรท์-พิชญทัฬห์ จันทร์พุฒ” เป็นครั้งแรก! ซึ่งขอบอกเลยว่านอกจากเรื่องราวความรักของทั้งคู่แล้ว ไบร์ทยังได้เผยความรู้สึกประทับใจความรักความห่วงใยที่แฟนหนุ่มมีต่อเธอและครอบครัว ที่รับรองว่ายิ่งอ่านยิ่งสัมผัสได้ถึงพลังความรักของคู่รักคู่นี้จริงๆ
ยิ่งอ่านยิ่งสัมผัสได้ถึงพลังความรัก โต๋ & ไบร์ท 9 ปี “We Will Be Together”
หลังจากที่ขอแต่งงานและหมั้นไป ความรู้สึกเป็นอย่างไรบ้างคะ?
โต๋ : ผมคิดว่ามีบางสิ่งที่เปลี่ยนแปลง แต่ในขณะเดียวกันบางสิ่งก็ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงครับ เพราะการใช้ชีวิตหรือการที่เราเป็นเราอย่างนี้ดีอยู่แล้ว เราสนิทกัน คุยกันได้ทุกเรื่องและเราคุยถึงเรื่องอนาคตกันมาสักพักแล้วครับ
ซึ่งการที่ผมขอไบรท์แต่งงาน สำหรับผมคือการย้ำความมั่นใจของผมและไบรท์ รวมถึงเป็นการบอกครอบครัวผมครอบครัวไบรท์ และประกาศ อย่างเป็นทางการให้คนรอบตัวรับรู้ว่าเราตกลงใช้ชีวิตในอนาคตร่วมกันแล้วนะ ซึ่ง ทุกอย่างระหว่างเราสองคนไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนเยอะครับ เพราะทุกอย่างดีอยู่แล้ว
ไบรท์ : อย่างที่โต๋บอกเลยค่ะ (ยิ้ม) ในแง่ความสัมพันธ์ของเราสองคน ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไป ทั้งเรื่องความเข้าใจความรักที่มีให้กัน สิ่งที่จะเปลี่ยนไปคือเรากำลังก้าวผ่านสเต็ปของชีวิตไปอีกขั้นแล้วนะ เพราะช่วงที่ผ่านมาคุณแม่ ของไบรท์ไม่สบาย ไบรท์จึงค่อนข้างจมอยู่กับเรื่องนี้มาตลอด โฟกัสอยู่ที่แม่ อย่างเดียวเลย
พูดจริงๆเลยนะคะ ไบรท์ไม่คิดว่าเขาจะขอแต่งงานแบบนี้เลย เพราะเรา เคยคุยกันหลายครั้ง ทำนองตกลงกันแล้วว่าไม่ต้องเซอร์ไพร้ส์นะ แต่เขาบอกว่า ตั้งใจทำให้จริงๆ เพราะเขารู้ว่าไบรท์เป็นทุกข์ใจเรื่องแม่ กำลังอยู่ในช่วงยากลำบากของชีวิต แต่พอเขาขอแต่งงาน ซึ่งเป็นเรื่องดีมากๆในชีวิต เป็นเหมือนการเติมพลังให้กับไบรท์ และทำให้เข้าใจว่าชีวิตเราต้องเดินต่อไปข้างหน้า และมีอีกคนที่ต้องดูแลเพิ่มขึ้นมาอย่างเป็นทางการแล้วนะ (ยิ้ม) ถ้ามองในแง่มุมชีวิตอาจจะเปลี่ยนไปตรงนี้ค่ะ แต่ถ้าในแง่ความสัมพันธ์ (หยุดนึก) ไบรท์รู้สึกว่ารักเขามากขึ้นนิดหนึ่งนะ เพราะสิ่งที่เขาทำให้พิเศษมากๆ (ยิ้ม)
โต๋ : อ๋อ…เมื่อก่อนรักน้อยเหรอ
ไบรท์ : รักมากอยู่แล้วค่า แต่รักมากขึ้นอีกไง (หันไปสบตา) ไบรท์รู้ว่าวันนั้นโต๋ทุ่มเทและตั้งใจมากที่จะทำให้การขอแต่งงานออกมาดีที่สุด อยากให้เรามีความสุขมากๆ ในวันนั้น ไบรท์รู้สึกขอบคุณเขามากๆ แม้แต่ตอนนี้เวลามองหน้าเขาก็ยังเห็นเป็นตอนที่เขาคุกเข่าแล้วถือแหวนขึ้นมาให้ไบรท์อยู่เลย (ยิ้ม)
โต๋ : เป็นหน้าตาแบบที่เพิ่งตื่นตอนเช้าที่หน้ายังไม่เข้าที่เลย (หัวเราะ) เพราะวันนั้นผมตื่นเช้ามาก ทำหน้าไม่ถูกด้วย เพราะตื่นเต้นมากจริงๆ
ก่อนหน้านี้เคยมีเซอร์ไพร้ส์กันไหมคะ?
โต๋ : ไม่มีเลยครับ นี่ถือเป็นครั้งแรกที่ผมเซอร์ไพร้ส์ ต้องบอกก่อนว่าคู่ของเราเรียบง่ายมาก อย่างวันเกิดไม่จำเป็นต้องซื้อของให้กันหรือทำอะไรพิเศษ เรากินอะไรก็ได้ร้านไหนก็ได้ไม่ซีเรียส เพราะมันไม่ได้อยู่ที่สิ่งของหรือสถานที่ ไม่ได้อยู่ที่วันเวลา และอีกอย่างคือไบรท์ค่อนข้างรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับผม บวกกับผมเก็บความลับไม่ค่อยอยู่ด้วย กระโตกกระตากตลอดเวลา เวลาผมจะพูดอะไรเขาก็รู้หมด เก็บอาการไม่อยู่จึงไม่ค่อยมีเซอร์ไพร้ส์
ฉะนั้นการขอแต่งงานถือเป็นเซอร์ไพร้ส์ครั้งแรกครับ และอย่างที่ไบรท์ บอกครับว่าผมตั้งใจทำมาก เพราะอยากให้เขามั่นใจ รวมถึงครอบครัวไบรท์ที่ดูอยู่ คุณแม่ไบรท์ที่อยู่โรงพยาบาลได้เห็นและมั่นใจว่าลูกสาวท่านจะมีคนที่อยู่ข้างๆไปตลอดนะ นั่นคือสาเหตุที่ผมทำวันนั้นครับ และอีกเหตุผลหนึ่งคือผมอยากจะไปขอเขาแต่งงานในที่ที่เป็นของเขา ในโลกของเขาซึ่งก็มีหลายคน สงสัยว่าทำไมพี่โต๋ไม่เซอร์ไพร้ส์ตอนเล่นคอนเสิร์ตแล้วลงจากเวทีมาขอแต่งงานล่ะ ซึ่งทุกคนเดาว่าผมน่าจะทำแบบนั้น แต่ผมรู้สึกอยากให้เกียรติเขา ไปในที่ที่เป็นของเขาที่มีทีมงานมีผู้ชม มีแฟนข่าวของเขาที่เคยเห็นเราตั้งแต่ครั้งแรกที่ไป ออกรายการด้วยกัน
ผมอยากไปขออนุญาตทุกคนว่าวันนี้ผมจะมาขอไบรท์นะครับ (ยิ้ม) เพราะไบรท์เป็นเหมือนกับลูกสาวและครอบครัวของทุกคน เขาตื่นมาเจอไบรท์ทุกเช้าเกือบ 10 ปี ผมจึงอยากจะมาขอทุกคนด้วยตัวผมเอง สำหรับผมคือการ ให้เกียรติไบรท์ ให้เกียรติครอบครัวและให้เกียรติหน้าที่การงานของเขาด้วย นั่นแหละครับคือที่มา (ยิ้ม)
เตรียมตัวนานไหมคะ?
โต๋ : ผมคิดทุกอย่างในหัวคนเดียวประมาณเกือบ 2 เดือนล่วงหน้าว่า จะทำสิ่งนี้สิ่งนั้นซึ่งจริง ๆผมวางแผนโครงการแต่งงานทุกอย่างไว้กลางปีนี้ (2564) แต่ความที่คุณแม่ของไบรท์ไม่สบาย เราเลื่อนทุกอย่างขึ้นมาให้เร็วขึ้น จึงกลายเป็นว่าผมมีเวลาเตรียมตัวสำหรับวันที่ 25 ธันวาคม 2563 แค่ 1 เดือน
ผมคิดไว้ในหัวหมดแล้วว่าจะพูดอะไรบ้าง จะเดินเข้าไปจากทางไหนนั่งตรงไหนกล้องถ่ายตรงไหนภาพออกมาเป็นอย่างไร จากนั้นก็ติดต่อให้ทีมงานช่วยเหลือ ซึ่งผมบอกคนน้อยมากเพราะกลัวหลุดครับ ผมอยากให้เขาเซอร์ไพร้ส์จริงๆ
และวันนั้นเราได้เห็นความน่ารักของทุกคน ทีมงานรายการช่วยเก็บความลับ เงียบกริบ ทั้งที่ตอนที่ผมบอกทุกคนตื่นเต้นมาก อย่าง “พี่ไก่-ภาษิต” น่ารักมากครับ มีการเตรียมซ้อมอย่างดีว่าจะพูดนำเข้าเรื่องอย่างไร ทุกคนอยากทำให้ ไบรท์มีความสุข เพราะนี่คือครอบครัวของไบรท์ และตอนที่ผมไปขออนุญาต “พี่ยุทธ” (สรยุทธ สุทัศนะจินดา) พี่ยุทธก็บอกว่าเต็มที่เลยโต๋ (ยิ้ม)

ไบรท์ : วันนั้นไบรท์ไม่รู้จริงๆ อาจเป็นเพราะว่ากังวลแต่เรื่องคุณแม่ เลิกงานก็ไปโรงพยาบาลตลอด ไม่อย่างนั้นคงมีระแคะระคายเขาบ้าง ซึ่งทุกครั้งที่ไบร์ทเครียดเศร้า เขาจะคอยปลอบเป็นกำลังใจสำคัญให้ไบรท์ ไปอยู่เป็นเพื่อน ที่โรงพยาบาลตลอด แล้วเย็นวันก่อนที่เขาจะเซอร์ไพร้ส์ ไบรท์ยังนั่งร้องไห้เรื่องแม่กับเขาอยู่เลย เพราะคุณแม่ต้องสแกนสมอง แต่เขาเก็บความลับเก่งมาก
โต๋ : วันที่ 24 ธันวาคม ผมยังลงรูปคู่ของผมกับไบรท์ตอนไปออกรายการ เรื่องเล่าเช้านี้ด้วยกันครั้งแรก แต่ไม่มีใครสงสัยนะ (ยิ้ม) ซึ่งกำลังใจและ คำแสดงความยินดีจากทุกคนรอบข้าง จากทุกคนทั่วประเทศ ทำให้ไบรท์กลับไป เป็นคนเดิมที่สดใสยิ้มและหัวเราะเหมือนเดิม
ซึ่งนี่คือสิ่งสำคัญที่ผมอยากให้เขารู้ว่าหนทางข้างหน้าเขาจะมีผมอยู่ แต่ผมไม่ได้หมายถึงว่าเขาจะไม่คิดมากเรื่องคุณแม่นะเพราะชีวิตมีหลายมุม ตอนแรกผมก็คิดนะหรือไม่ต้องเซอร์ไพร้ส์ แต่อีกมุมการขอแต่งงานก็เป็นครั้งเดียว ในชีวิตที่ผมทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งได้
แม้ไบร์ทจะบอกว่าไม่ต้องทำ แต่เอาจริงๆเวลาถามใครจะมาตอบว่า เฮ้ย! เซอร์ไพร้ส์เราเถอะ จริงไหมครับ (หัวเราะ)
ไบรท์ : แต่ไบรท์หมายความตามนั้นจริงๆว่าไม่ต้องค่ะ ไม่ใช่ว่าไม่ชอบนะคะ เพียงแต่ไบรท์มองว่าการที่เราจะใช้ชีวิตคู่กัน เรื่องนี้อาจจะไม่ใช่เรื่องจำเป็นสำหรับชีวิต แต่ตอนนี้ขอบคุณเขามากๆที่ทำให้ (ยิ้ม)
สิ่งที่ประทับใจที่สุดคืออะไร และช่วยเติมเต็มกันและกันใน เรื่องใดบ้างคะ?
ไบรท์ : หลายด้านมากๆค่ะ โต๋ทำให้ชีวิตไบรท์สมบูรณ์ขึ้นในหลายมุมมากๆ อย่างไบรท์ไม่แต่งตัวเลย ก็จะมีเขาคอยช่วย คอยเลือกให้ อันนี้แค่เรื่อง เล็กๆเองนะคะ เหมือนเขาเป็นเพื่อนคู่คิดของไบรท์ ส่วนถ้าเป็นเรื่องชีวิต เขา เป็นส่วนหลักที่มาเติมให้เต็ม ไบรท์ค่อนข้างใช้ชีวิตกับความเป็นจริง ตรรกะสูง ซึ่งเรื่องนี้คล้ายๆกัน เราสามารถถามความคิดเห็นของเขาได้ว่าคิดว่าอย่างไร เราคุยกันได้ทุกเรื่องจริง ๆ ไบรท์คิดว่าหายากนะที่ใครจะมานั่งคุยกับเราได้ เป็นเรื่องเป็นราวจริงจังขนาดนี้ ตั้งแต่เรื่องเล็กๆน้อยๆไปจนถึงเรื่องใหญ่ที่ต้อง ใช้ความคิดเห็น
โต๋ : เขาเข้ามาเติมเต็ม ทำให้ผมได้เรียนรู้หลายๆด้านของชีวิตมากขึ้น ทำให้ผมมีความเป็นผู้ใหญ่ขึ้น อย่างที่ผมบอกว่าโตมากับชีวิตศิลปิน ไม่ค่อยได้ทำ อะไรด้วยตัวเอง มีคนดูแลจัดการให้ตลอด และเราไม่เคยคิดถึงการที่จะดูแลคนอื่น ไม่เคยคิดว่าจะทำอะไรให้ใคร เรามุ่งไปที่ฝันของเราอย่างเดียวเลย แต่ไบรท์ทำให้ ผมรู้สึกว่าอยากเทคแคร์คนอื่น อยากรู้ว่าทำอะไร สุขภาพเป็นยังไง วันนี้ไปไหน คือคิดถึงคนอื่นมากขึ้น…นี่คือสิ่งที่เขาทำให้ผมเปลี่ยนไปครับ” (ยิ้ม)
มองชีวิตหลังแต่งงานไว้อย่างไรบ้างคะ?
โต๋ : ไม่คิดว่าจะมีอะไรเปลี่ยนเท่าไหร่นะครับ เราก็ยังเหมือนเดิมผมให้เกียรติเรื่องการทำงานของเขาเหมือนเดิม ไม่ได้มีสิทธิ์ว่าแต่งงานแล้วจะให้เขาเลิกทำงานต้องอยู่กับเรานะ ไม่เลยครับเพราะนั่นคือชีวิตและงานของเขา ควรต้องให้เกียรติเขาตัดสินใจ
ผมคิดว่าเราทั้งคู่ก็ยังทำงานไปอย่างนี้อยู่ และถ้ามีเวลาก็อยากไปเที่ยว ด้วยกัน เพราะตั้งแต่คบกันมาเราไปเที่ยวกันน้อยมาก แต่เราก็แฮ็ปปี้ที่จะ ซัพพอร์ตงานของกันและกันเสมอครับ ฉะนั้นก็คงให้เวลากับงานอีกสักแป๊บหนึ่ง แล้วคงเริ่มเที่ยว”
มีแพลนอยากจะมีน้องไหมคะ?
ไบรท์ :ยังไม่ได้คิดไปขั้นนั้นเลยค่ะ เพราะตอนนี้ต่างคนต่างยุ่ง ยังมีหน้าที่รับผิดชอบหลายอย่าง ที่คุยกันไว้ก็คืออยากมีเวลาพักที่เป็นเวลา ส่วนตัวของเราสองคน เพราะที่ผ่านมาเราสองคนทำงานหนักมาก ต่างคนต่างก็ ต้องดูแลครอบครัวอย่างเต็มที่ เลยยังไม่ได้คิดไปถึงจุดนั้นค่ะ
สามารถติดตามอ่านบทสัมภาษณ์เพิ่มเติมได้ที่ นิตยสารแพรว ฉบับที่ 967