จากใจคนดังเหยื่อบูลลี่ 'อั๋น-ภูวนาท คุนผลิน' ดึงสติรับมือสู้คำวิจารณ์

จากใจคนดังเหยื่อบูลลี่ ‘อั๋น-ภูวนาท คุนผลิน’ ดึงสติรับมือสู้คำวิจารณ์

Alternative Textaccount_circle
จากใจคนดังเหยื่อบูลลี่ 'อั๋น-ภูวนาท คุนผลิน' ดึงสติรับมือสู้คำวิจารณ์
จากใจคนดังเหยื่อบูลลี่ 'อั๋น-ภูวนาท คุนผลิน' ดึงสติรับมือสู้คำวิจารณ์

ประสบการณ์การเอาชนะการถูกบูลลี่ของ ‘อั๋น-ภูวนาท คุนผลิน’ คนดังเหยื่อคำวิจารณ์ที่รับมือกับปัญหานี้ด้วยการดึงสติกลับมา

คงไม่ต้องพูดถึงโปรไฟล์ของเขาคนนี้ เพราะบทบาทหน้าที่อันหลากหลายทั้งในจอและนอกจอเป็นที่ยอมรับมานาน ถึงการเป็น “นักผลิตกำลังใจ” ให้สังคมคนหนึ่ง แต่ถ้าถามเรื่องการเป็นผู้ถูกกระทำอย่างการบูลลี่ “อั๋น-ภูวนาท คุนผลิน” ก็มีประสบการณ์มาแชร์ให้ฟังอย่างน่าสนใจเช่นกัน

ท่ามกลางสังคมที่เปราะบาง

“ตอนนี้เราอยู่ในสังคมที่ข้อมูลต่างๆ มักถูกบิดเบือน ความที่ใครสามารถพูดอะไรก็ได้ แล้วถ้าบังเอิญสิ่งที่พูดนั้นมีอิทธิพล มีคนแชร์ มีคนเชื่อ เอาไปพูดต่อ สิ่งที่เกิดขึ้นอาจไม่ได้หยุดอยู่แค่คนสองคน แต่อาจจะกลายเป็นสิบล้านหรือแพร่ไปทั่ว ทุกวันนี้กลายเป็นว่าโลกมีข้อมูลท่วมท้น แต่เป็นข้อมูลที่มีคุณภาพต่ำมาก ขณะที่คนก็รับข้อมูลข่าวสารกัน โดยที่ยังไม่ได้แยกแยะด้วยซ้ำว่าอะไรคือข้อคิดเห็นหรือข้อเท็จจริง เพราะรับมาจากสื่อที่ไม่ได้คัดกรอง เช่น จากกรุ๊ปไลน์ จากคนโน้นพูดว่า คนนี้พูดมา พอฟังแล้วก็มีเสริมเติมแต่งต่อ และพร้อมที่จะรีบส่งต่อข้อมูลไปอีก เพราะรู้ก่อนเท่กว่า ไม่สนใจว่าผิดหรือถูก นี่คือปัญหา

“สำหรับผม ครั้นจะบอกว่าการถูกเข้าใจผิดหรือการถูกบูลลี่ด้วยคำพูดต่างๆ นานาไม่ส่งผลต่อตัวเองเลยก็คงโกหก มีบ้างที่รู้สึกแต่ก็ต้องตัดจบความรู้สึกนั้นให้ได้ เปรียบเทียบเหมือนกับจู่ๆ มีคนเดินตามถนนมาชี้หน้าด่าว่าไอ้เลว ต่อให้ไม่รู้จักกัน การถูกต่อว่าอย่างนั้นก็ต้องรู้สึกเสียใจ ผมรับรู้และรู้สึกนะกับคำพูด แต่ในน้ำหนักที่บางเบา เพราะคำพูดหรือความคิดเห็นนั้นไม่มีราคาสำหรับผม ฉะนั้นเรื่องแบบนี้จะสามารถกำจัดออกจากใจได้อย่างรวดเร็ว

“เวลาผมเขียนคอลัมน์หรือจัดรายการวิทยุ ขนาดตั้งใจในการส่งพลังบวก ก็ยังมีคนมองในแง่ลบว่าที่ส่งพลังอยู่นี่ เพราะคิดว่าตัวเองเก่งหรือฉลาดกว่าคนอื่นเหรอ หรือบางทีพูดไป 10 ประโยค แต่เขาได้ยิน 3 ประโยคท้ายแล้วสรุปเลย โดยที่ไม่ฟังว่าที่มาคืออะไร พอเจอแบบนี้เยอะๆ ก็กลายเป็นว่าตัวเองได้ฝึกแบบฝึกหัดเยอะ จึงพอจะรู้ว่าข้อสอบชีวิตจะมาแนวไหนบ้าง เลยไม่ตื่นเต้นเวลาถูกตัดสินหรือถูกบูลลี่แบบผิดๆ”

การถูก “บูลลี่” ไม่ใช่เรื่องปกติ

“ตั้งแต่มีแฟนถูกมองว่าเป็นเกย์สร้างภาพ จนถึงเดี๋ยวนี้แต่งงานมีลูก ก็ยังพูดกันอยู่เลย ซึ่งสำหรับเรื่องนี้ผมเฉยๆ นะ สำคัญคือคนรอบตัวมากกว่า ครอบครัวผมคิดไหม ผมไม่ได้ประชดนะ เพราะบางเรื่องบางความเชื่อไม่ได้เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย ใครจะเชื่อว่าผมเป็นหรือไม่เป็น ไม่ได้มีผลต่อความสุขของผม และเชื่อว่าก็ไม่ได้มีผลต่อความสุขของเขาเหมือนกัน ผมจึงปล่อยในเรื่องแบบนี้ แต่หากเป็นเรื่องที่มีผลต่อกัน อย่างเช่นเรื่องการเมือง ถ้ามีเวลาผมจะอธิบาย บางทีมีคอมเมนต์เข้ามาในอินสตาแกรมหรือเฟซบุ๊ก ผมจะเข้าไปคุยกับเขาอย่างสร้างสรรค์เชิงตั้งคำถามด้วยถ้อยคำที่สุภาพ เพื่อให้เขาได้ใช้สติ ใช้สมองในการคิดแยกแยะ ผมจะอธิบายยาวเป็นสิบบรรทัดเลยนะ เพื่อให้เขาได้ผ่านการคิดวิเคราะห์ แต่ถ้ามาด้วยอารมณ์เกรี้ยวกราดก็จะผ่านไปเลย

“อย่างพวกคำเปรียบเรื่องการเลือกข้างต่างๆ เช่น ติ่งส้มหรือสลิ่ม ผมงงว่าคืออะไร ยังต้องโทร.ไปถามเพื่อน เพราะกลัวจะแปลความหมายผิด อีกอย่างคือจนถึงเดี๋ยวนี้เวลาคอมเมนต์อะไรก็ตาม ผมไม่เคยเลือกข้างเลยนะ แม้แต่ศาสนาก็ตาม ภรรยาเป็นคริสต์ ผมเป็นพุทธ มีเพื่อนเป็นอิสลาม

“มีเหตุการณ์หนึ่งที่คิดว่าแรงที่สุดในชีวิต ตอนนั้นยังเป็นยุคโทรศัพท์บีบี และเรื่องการเมืองแรงมาก ขณะที่ผมจัดรายการวิทยุอยู่ พี่คนหนึ่งที่ผมรู้สึกดีด้วย และเคารพเขามาโดยตลอด ส่งข้อความถึงเรื่องการเมืองมาเยอะมาก ผมอยู่ในลิสต์เพื่อนเขาจึงได้รับข้อความด้วย ผมอ่านแล้วรู้สึกว่าข้อความเหล่านั้นไม่สร้างสรรค์ จึงส่งข้อความอย่างสุภาพไปให้เขาช่วยดึงออกจากลิสต์เพื่อนในการส่งข้อความก่อน เพราะผมจัดรายการวิทยุอยู่ ไม่มีสมาธิทำงาน เดี๋ยวถ้ามีเรื่องสำคัญที่ต้องคุยกัน เราค่อยคุยนะครับ ที่ต้องบอกเขาไปเช่นนี้ เพราะผมไม่เคยรับข้อความอะไรมาแล้วจะไม่อ่าน ด้วยความที่เป็นทั้งหัวหน้า ลูกน้อง ดูแลครอบครัวมีผู้หลักผู้ใหญ่ ฉะนั้นจึงจะดูทุกข้อมูล ทุกเมสเสจที่ได้รับตลอดเวลา พอพี่คนนั้นได้รับข้อความจากผมไป เขาตอบกลับมาคำเดียวว่าได้ แล้วผมก็ไม่ได้ข้อความอะไรจากเขาอีกเลย

“แต่ผมกลับได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนๆ เยอะมากว่า อั๋น เกิดอะไรขึ้น ผมก็บอกว่าไม่มี นั่งจัดรายการอยู่ สรุปว่าพี่คนนั้นเขาบรอดแคสต์ประมาณว่าให้ทุกคนจดจำและรับรู้ไว้ว่าผมคือคนล้มเจ้า ขอให้สาปแช่งครอบครัว ตอนนั้นผมรู้สึกงงมาก และหลังจากนั้นก็ยังได้เจอเขาอยู่นะ เพราะอยู่ในกลุ่มคนรู้จักเดียวกัน แต่เขาจะหลบหน้า ผมเคยไปเป็นพิธีกรงานหนึ่ง เขานั่งอยู่ข้างล่างเวทีก็ไม่กล้ามองหน้า ผมรู้ว่าเขารู้ตัวนะว่าผิด แต่เขาไม่กล้าที่จะขอโทษ นี่เกือบจะเป็นเคสเดียวในชีวิตที่ผมไม่ให้อภัย แต่ก็ไม่ได้สาปแช่งหรืออาฆาตอะไร แค่รู้สึกว่าเขาช่างเขลา และถ้าเขาไม่เปลี่ยนแปลง เขาคือคนที่ต้องมีความทุกข์เอง และ ณ วันนี้เขาก็ค่อยๆ เฟดหายไปจากสังคม อาจจะด้วยวัยด้วยแหละ

“เหตุการณ์ครั้งนั้นทุกคนที่โทร.เข้ามาหาผมมาให้กำลังใจหมดเลย ผมรู้สึกในทันทีว่าพี่คนนั้นได้เสียเครดิตกับผู้คนไปมากมาย ส่วนผมการที่ถูกคนที่ตัวเองเคารพและรู้สึกดีมาทำร้ายความรู้สึก ผมยิ่งต้องมีสติมากกว่าเดิมอีก”

วิธีรับมืออย่างโปร

“ชีวิตที่เราเดินมาถึงในวัยนี้วันนี้ เราเข้าใจอะไรผิดไปเยอะมาก เราพบคนดีที่เลว เราพบคนเลวที่ดี คนที่ไม่สามารถตอบได้ว่าดีหรือเลว ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ พอได้เห็นแบบนี้ ทำให้ผมใจกว้างขึ้น ใจเย็นและตัดสินช้าลง โอเค บางทีก็ยังมีตัดสินเร็วแหละ แต่ตัดสินในใจ ปากไม่ไวแล้วนะ

“ถ้าเจอการบูลลี่ วิธีรับมือของผมคือ ต้องดึงสติกลับมา ดูว่าคำวิจารณ์ไหนบ้างที่มีราคา คำไหนไม่มีราคา และผมจะพิจารณาตัวเองก่อน แต่ไม่โทษตัวเองนะ แค่ตั้งคำถามว่าเราเป็นแบบที่เขากล่าวหาหรือเปล่า ถ้าผิดจริงก็ถือเป็นบทเรียนที่ทำให้ได้เรียนรู้ พร้อมที่จะขอโทษและปรับปรุงตัว ถ้าไม่ผิดก็จะไม่รับเข้ามาในหัวเลย

“สำหรับลูก แม้ตอนนี้เขายังเล็ก แต่ผมตั้งใจใช้หลัก Critical Thinking ในการสอนเขา คือไม่บอกว่าสิ่งนี้ถูก สิ่งนี้ผิด แต่จะสอนให้เขารู้จักการคิดวิเคราะห์อย่างมีวิจารณญาณว่า ลูกเข้าใจไหมว่าทำไมสิ่งนี้จึงเป็นอย่างนี้ หรือทำไมอันนี้อันตรายเพราะอะไร การสอนแบบนี้คือสิ่งที่คนไทยขาดแคลน คนที่จะรอดในสังคมได้ต้องมี Critical Thinking ทั้งนั้น

“เราทุกคนควรทำหน้าที่เป็นตัวกรองข้อมูลข่าวสารให้กับโลกใบนี้ ถ้าคนอื่นพ่นมลภาวะมา เราต้องกรองให้เป็น ถ้าเราคิดว่ามีสติปัญญามากพอหรือมากกว่าต้องช่วยกัน ไม่ใช่เป็นแค่หน้าที่ของใคร และถ้าคุณทำผิด คุณต้องรับผิดชอบ ส่วนถ้าบางเรื่องที่ไม่มีผิดไม่มีถูก ก็ต้องรู้จักใจกว้าง เพื่อที่จะเปิดรับข้อมูลข้อเท็จจริงที่แตกต่าง เพราะโลกมีข้อเท็จจริงหลายชุด ใช้สติปัญญา ใจกว้าง สุภาพและมีความรับผิดชอบ ถ้าทำได้อย่างนี้ อยู่ในสภาวะสังคมแบบไหนก็รอดครับ”


ที่มา : นิตยสารแพรว ฉบับ 959

ภาพเพิ่มเติม : unpuwanart

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

ดราม่าเกิด! คิมโกอึน โดนบูลลี่ไม่สวยพอที่จะคู่ควรเป็นนางเอกคู่ ลีมินโฮ

ป่าน-ณิชาภัทร สุภาพ จาก เหยื่อบูลลี่ วันนี้เธอคือดาวเด่นงานพรมแดงอินเตอร์

วิธีรับมือการถูก “บูลลี่” ในสังคมที่ไม่ใช่แค่โลกไซเบอร์ แต่ทุกที่ในชีวิตประจำวัน

Praew Recommend

keyboard_arrow_up