ปัญหาการบูลลี่ไม่ใช่เรื่องใหม่ และ เหยื่อบูลลี่ ก็ไม่ใช่มีแต่เฉพาะในสังคมออนไลน์
ผู้หญิงคนนี้ ป่าน-ณิชาภัทร สุภาพ ก็คือ เหยื่อบูลลี่ ตัวเป็นๆ กับข้อหา “ไม่สวย ไม่สูง” ที่สร้างปมจนเตะโด่งให้เธอไปยืนเฉิดฉายเป็นดาวเด่นบนพรมแดงอินเตอร์ในขณะนี้
แพรวรู้จักกับป่านตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน จากวันนั้นถึงวันนี้ ชีวิตของเธอเรียกว่าเติบโตขึ้นแบบก้าวกระโดด ทั้งเรื่องของงานที่ได้โอกาสร่วมงานกับดาราฮอลลีวู้ดมากหน้าหลายตา จนถึงการเป็นคนไทยคนแรกที่ได้เข้าร่วมงาน Met Gala สุดยอดอีเว้นต์แห่งโลกแฟชั่น ถึง 2 ปีติดต่อกัน
นี่ยังไม่นับการเดินทางท่องเที่ยวทั่วโลก และความประสงค์ที่จะมีสามีเป็นเจ้าของเรือกับเครื่องบินส่วนตัว…
อ่านถึงตรงนี้ ถ้าหากมีใครเผลอคิด “บูลลี่” เธอ จงหยุด เนื่องจากมันจะเสียแรงเปล่า เพราะป่าน “Don’t care”
ภาพคุณในวันนี้คือผู้หญิงมั่นใจและพูดเก่ง เป็นแบบนี้ตั้งแต่เด็กไหม
พูดมากตั้งแต่เด็กค่ะ (หัวเราะ) ถ้าพูดแล้วแม่ไม่ฟังก็จะสะกิดบอกว่า แม่…ฟังป่านก่อน แต่ถามว่ามั่นใจไหม…ถึงตอนนี้ภาพของเราอาจดูพูดเก่ง มั่นใจ แต่ลึกๆ ไม่ได้เชื่อว่าตัวเองเป็นแบบนั้น เพราะเราเพิ่งมีเงินกับชื่อเสียงได้แค่ 4 – 5 ปีมานี้เอง
ถ้าไม่มั่นใจในตัวเอง ทำไมเรียนจบมหาวิทยาลัยแล้ว ถึงตัดสินใจลุยเดี่ยวไปนิวยอร์กล่ะ
เอาจริงปะ… เพราะตอนนั้นดู Sex and the City แล้วอยากเป็นเหมือน แคร์รี่ แบรดชอว์ ที่ถือกระเป๋าแบรนด์เนมเดินอยู่บนถนน Fifth Avenue (หัวเราะ) คิดได้แค่นั้นเอง ไม่ได้คิดเรื่องอยากทำงานแฟชั่นเล้ย
แต่กว่าจะได้ไปก็ไม่ง่ายนะ คุณพ่อของป่านเสียชีวิตก่อนวันเดินทางแค่ 1 เดือน แล้วตอนนั้น Baruch College ตอบรับเข้าเรียนแล้ว แม่กับญาติๆ จึงรวมเงินกันได้ 12,000 ดอลลาร์สหรัฐให้ไปอเมริกา หลักสูตรที่เรียนคือพีอาร์ สาขา Corporate Communication ค่าเรียนเทอมละ 6,000 ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับเหลือเงินอีกครึ่งในการใช้ชีวิตและหางานทำ
งานแรกที่ทำคือ …
รับโทรศัพท์ในร้านอาหาร เจ้าของร้านให้ทำแค่มื้อกลางวัน ได้เงินประมาณ 50 – 60 เหรียญ ส่วนมื้อเย็นให้คนสวยทำ ความที่ตอนนั้นเรามีทางเลือกไม่มาก ต้องก้มหน้าก้มตาทำงานหาเงิน แต่ในใจคิดเลยว่า …
นี่ขนาดเป็นเด็กเสิร์ฟอาหารยังต้องหน้าตาดีเลยเหรอ คนไม่สวยจะไม่มีพื้นที่ให้ยืนเลยใช่ไหม
ป่านเป็นคนพลังเยอะ พอมีเวลาเหลือจึงเลือกไปฝึกงานกับ Roberto Cavalli, Stella McCartney, Vogue US ฟังชื่อแล้วโอ้ว… ใช่ไหม แต่เรื่องจริงคือการหาที่ฝึกงานด้านแฟชั่นไม่ยากหรอก ถ้าเรายอมรับกติกาได้ว่าต้องฝึกแบบไม่ได้เงิน เพราะงานที่เขาให้เราทำ ไม่ได้ใช้สมอง ใช้แรงงานเป็นส่วนใหญ่ แต่เราโอเคไง ไม่ได้มีทัศนคติแบบถ้าต้องใส่รองเท้าให้นางแบบแล้วขอไม่ทำ
ถือเป็นเด็กฝึกงานที่มีพอร์ตโฟลิโอ้ที่ค่อนข้างดีเลยนะ
ใช่ เราใช้เวลาฝึกงานอยู่ 1 ปี ซึ่งในช่วง 6 เดือนหลังก็เริ่มหางานควบคู่ไปด้วย โดยโฟกัสตำแหน่งที่อยากทำจริง ๆ นั่นคือ แผนก Buying เพราะอยากเดินทางไปดูแฟชั่นโชว์ สมใจสิคะ ได้เป็น Assistant Buyer ที่ห้าง Macy’s ที่นี่แหละที่ทำให้เราเจอจุดเปลี่ยน นิตยสารแพรวติดต่อให้เขียนเรื่องแฟชั่นลงในเว็บ praew.com
สมัยนั้นเด็กไทยที่ทำงานแฟชั่นในนิวยอร์กยังมีไม่มาก เราเลยใช้ผลงานนี้ส่งเป็นคำขอเข้าชมแฟชั่นวีค ซึ่งช่วงแรกยังได้เข้าแค่งานเล็ก ๆ เราจึงเสนอตัวทำงานให้นิตยสารหัวนอกหลายๆ ฉบับ โดยยอมจ่ายเงินดูแลค่าใช้จ่ายให้ตัวเอง ไม่ว่าจะค่าเครื่องบินหรือที่พัก งบประมาณขึ้นอยู่กับว่าใช้ชีวิตแบบไหน สมัยก่อนที่ยังไม่ค่อยมีเงิน นั่งเครื่องบิน ชั้น Economy Class พักที่ถูก ๆ แต่เดี๋ยวนี้ไม่เอาแล้ว ขอนั่งเครื่องบินชั้น Business Class นอนโรงแรมดี ๆ บางครั้งก็ให้ช่างแต่งหน้าจากไทยตามไป
แล้วเริ่มทำงานกับคนดังในวงการแฟชั่นและดาราฮอลลีวู้ดได้อย่างไร
การไปแฟชั่นวีคบ่อย ๆ ทำให้รู้จักคนดังเยอะขึ้น พอไปได้สัก 2 – 3 ปี จึงคิดว่าถ้านำคอนเน็กชั่นที่มีมาใช้ก็น่าจะทำเงินได้บ้าง อย่างน้อยเป็นค่าตั๋วเครื่องบินเวลาไปดูแฟชั่นวีคก็ยังดี โดยเราเริ่มจากการรู้จักกลุ่มบล็อกเกอร์ แล้วขยับเป็นดาราและเซเลบริตี้ คล้ายเกมโปเกมอนที่อัพเลเวลขึ้นเรื่อยๆ
คนที่ไปแฟชั่นวีคก็มีตั้งเยอะ ทำไมเขาสนใจป่าน – ณิชาภัทร
เอาจริง ๆ เราก็ไม่รู้นะ… แต่ก็ไม่ใช่ว่าพอเข้าไปในงานแล้วจะคุยกับใครก็ได้ ส่วนใหญ่มาจากการที่เพื่อนแนะนำให้รู้จักก่อน แล้วเราคุยสนุก คือถึงฉันไม่สวย แต่มีเสน่ห์ คนอยากอยู่ใกล้และเมาท์มอยด้วย (หัวเราะ) แต่การจะเข้าถึงคนพวกนี้ก็เป็นเรื่องยากมาก ๆ เช่น ถ้าอยากให้คนดังใส่เสื้อผ้าของแบรนด์ที่เราทำงานให้ วิธีหนึ่งคือต้องรู้จักสไตลิสต์ของเขาก่อน อย่างคนดังที่เคยใส่เสื้อผ้าให้เรามีมิแรนด้า เคอร์ ชาเนล อีมาน ซึ่งเราต้องขนเสื้อผ้าไปให้สไตลิสต์ของเขาเลือก ถ้าเขาชอบก็เลือก ไม่ชอบก็ไม่เลือก
คนดังส่วนใหญ่เราจะได้เจอที่แฟชั่นวีค แต่เจอแล้วก็ไม่ใช่เดินดุ่ม ๆ ไปคุยด้วยเลยนะ แบบนั้นเขาจะคิดว่าตั้งใจไปหาผลประโยชน์ ยกตัวอย่างกว่าจะได้คุยกับเลโอนาร์โด ดิคาปริโอ ต้องเจอกันในงานอยู่หลายครั้ง
แล้วขนาดว่าอยู่ในกลุ่มเพื่อนเดียวกันก็ไม่มีใครแนะนำให้รู้จัก จนเขามาเมืองไทยเมื่อเดือนธันวาคมสองปีก่อน คนของเขามาขอความช่วยเหลือ เราก็ดีลเรือกับเครื่องบินฟรีให้ โดยใช้คอนเน็กชั่นที่มีนี่แหละ พอเจอกันที่งานออสการ์ครั้งที่ผ่านมา เขาก็เข้ามาขอบคุณ
ปีหนึ่ง ๆ คุณไปอีเว้นต์แฟชั่นกี่งาน
เยอะ ไปทุกเดือน ใช้เงินเยอะมาก-ก-ก-ก อย่างตอนไปเทศกาลเมืองคานส์ปีนี้เราใช้เงินไป 500,000 บาท เพื่อเข้าพักที่ Hótel du Cap-Eden-Roc เป็นเวลา 12 คืน เพราะโรงแรมไม่ให้จองน้อยกว่านั้น
จริงๆ ตอนแรกเขาไม่ให้จองด้วย เราต้องใช้ทุกเส้นสายที่มีเพื่อขอห้องนี้ เพราะห้องฝั่งตรงข้ามเป็นของมาร์ก็อต ร็อบบี้ ถัดไปเป็นห้องของอเลสซานดร้า แอมโบรซิโอ เดินไปอีกนิดคืออะเดรียนา ลิมา มีแต่คนดังทั้งนั้น การอยู่อย่างนี้ทำให้เราได้เครือข่ายที่ดี มีเพื่อนที่เป็นดาราเยอะขึ้น
เหมือนจ่ายเงินครึ่งล้านบาทเพื่อสร้างโอกาส
ใช่ แต่ถ้าไม่รู้จักพรีเซ้นต์ตัวเอง หรือถ้าไม่มีเพื่อนแนะนำก็จบ คือต้องอยู่ถูกที่ถูกเวลา จริง ๆ แล้วเจอกันครั้งแรกจะขอเบอร์โทรศัพท์เลยก็ไม่ได้ ต้องเจอกันครั้งที่ 2, 3, 4 หรือมากกว่านั้น แต่ถ้าโชคดีได้อยู่โรงแรมหรือไปงานเดียวกัน ก็ได้เจอกันบ่อยขึ้น และค่อย ๆ ทำความรู้จักไปเรื่อยๆ
บอกเลยว่ากว่าจะได้คอนเน็กชั่นระดับนี้ เราใช้เวลาหลายปี ถ้าพูดไปงานนี้ก็คงเหมือนการทำธุรกิจทั่วไป ถ้าเราเคยช่วยเขา วันหนึ่งเขาก็ช่วยเรา
แต่งานที่จุดพลุให้คนรู้จักชื่อป่าน – ณิชาภัทร คือ Met Gala 2018 ซึ่งคุณเป็นคนไทยคนแรกที่ได้ไปงานนี้
ใช่ ยากมากนะกว่าจะได้เข้างาน ไม่ใช่ว่ามีเงินแล้วไปได้เลย เราต้องรู้จักคนในบอร์ดของ Met ถึง 3 คน ซึ่งกว่าจะเป็นเพื่อนกับทั้ง 3 คน ก็ไม่ง่าย เราต้องเจอเขาในงานเป็นสิบครั้ง สะสมคอนเน็กชั่นไปเรื่อย ๆ กว่าจะมาถึงจุดที่เขามาขอให้เราช่วยอะไรบางอย่าง พอถึงวันที่อยากไป Met Gala จึงขอให้เขาช่วยบ้าง
ฝันจะไปงาน Met Gala ตั้งแต่เมื่อไร
ตั้งแต่ตอนไปอยู่นิวยอร์กปี 2009 ตอนมีงาน Met เราก็ไปยืนเกาะรั้วดูดารา จริง ๆ ไม่ค่อยแคร์กับพรมแดงหรือแสงแฟลชเท่าไร คงเป็นปมมาจากตอนเด็ก ๆ ที่เราไม่ได้รับการยอมรับ การทำตรงนี้จึงเป็นการยืนยันว่าฉันก็ทำได้
โดยครั้งแรกที่ไปงานนี้ในปี 2018 ก็จัดเต็มมาก ใช้เงินประมาณ 4.5 ล้านบาท แบ่งเป็นค่าชุด 2 ล้านบาท ค่าตัดชุดล้านกว่า ๆ นอกนั้นมีฉีดโบท็อกซ์ ค่านั่งเครื่องบินไปลองชุดที่ลอนดอน 2 ครั้ง ค่าช่างภาพ ค่าวิดีโอ รวมถึงค่าพีอาร์ข่าว
ใช้เงินเกือบ 5 ล้านบาทเพื่อเข้าไปอยู่ในงานกี่ชั่วโมง
ประมาณ 5 ชั่วโมง เหมือนไปเสพความสุขจริง ๆ คือก่อนหน้านั้นเคยมีคนไทยไปงาน Met แต่เป็นช่างภาพหรือนักข่าวที่ทำงานบนพรมแดง ไม่ได้เข้าไปข้างใน ซึ่งในนั้นเป็นอะไรที่แบบ…หันไปทางไหนก็เจอแต่ดารา การที่เราเป็นคนธรรมดาจึงทำให้ดูโดดเด่นขึ้นมา โดยเฉพาะซีนในห้องน้ำนี่สุดยอดมาก…
คาร่า เดเลวีญ ถอดรองเท้าแล้วโยนไปที่มุมห้อง เคที่ เพอร์รี่ กำลังเดินเข้าห้องน้ำ พอเปิดประตูออกมาเจอวินนี่ ฮาร์โลว์ แล้วณิชาภัทรเดินเข้าไป…คือเธอเป็นใครน่ะ เข้าใจปะ (น้ำเสียงตื่นเต้นสุด ๆ)
แล้วชุดเรายาวมาก ก็ปล่อยให้ลากพื้นอย่างนั้นแหละ (ครั้งนั้นป่านสวมชุดเดรสสีม่วงยาวลากพื้น ซึ่งออกแบบโดยปีเตอร์ ดันดาส ดีไซเนอร์ที่เคยออกแบบชุดให้บียอนเซ่ใส่ไปงานประกาศรางวัล Grammy) เป็นความรู้สึกที่ฟินมาก ไม่อยากออกจากห้องน้ำเลย
แต่ที่ฟินสุดคือตอนเดินบนพรมแดง โชคดีที่เคยไปมาหลายงาน รู้จักช่างภาพหลายคน พอเจอคนที่รู้จัก เขาก็เรียกชื่อเราแล้วถ่ายรูป จากนั้นช่างภาพคนอื่น ๆ ก็ถ่ายรูปตาม ซึ่งจริง ๆ เป็นเวลาแค่ประมาณ 5 วินาทีเองนะ แต่เราก็แฮ็ปปี้แล้ว เพราะคนที่เดินตรงนั้นส่วนใหญ่เป็นดาราดัง ๆ แล้วเราก็ใส่ชุดใหญ่แบบจัดเต็มด้วย ไม่ได้รู้สึกน้อยกว่าเซเลบ (ยิ้มกว้าง)
การไป Met Gala ครั้งที่สองในปี 2019 เป็นอย่างไรบ้าง
ไม่ได้ตื่นเต้นหรือเตรียมตัวมากเหมือนครั้งแรก คือยังมีความสุขเหมือนเดิม แต่คิดในแง่ของธุรกิจมากกว่า
ในส่วนของชุด คนไทยอาจมองว่าใส่แล้วเหมือนศาลพระภูมิหรือขนมชั้น แต่ดีไซเนอร์ที่ทำชุดให้คือโทโมะ โคอิซึมิ ดีไซเนอร์ดาวรุ่งที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น The Breath of Fresh Air และเราเป็นคนแรกที่เขาดีไซน์ชุดแบบ Custom Dress ให้ใส่ไปงาน Met Gala
สำหรับเรานี่คือ คอนเท้นต์ที่น่าสนใจ เพราะปี 2018 เราได้รับการจดจำว่าเป็นคนไทยคนแรกที่ได้เข้างาน พอครั้งที่สองจึงอยากหากิมมิกที่จะสร้างเรื่องราวได้เช่นกัน แต่ปีนี้ใช้เงินน้อยกว่าครั้งแรกนะ ประมาณ 3 ล้านบาท
บางคนอาจคิดว่าการใช้เงิน 3 – 5 ล้านบาทสำหรับไปอีเว้นต์ มันแพงมาก ๆ คุณมองอย่างไร
ขึ้นอยู่กับแต่ละคนชอบอะไร บางคนซื้อรถ เครื่องประดับ เสื้อผ้า แต่สำหรับป่านคือการได้รับประสบการณ์ เราใช้เงินเยอะกับโรงแรม ไลฟ์สไตล์ เครื่องบิน แต่ถ้าเป็นรถยนต์ก็ใช้แบบธรรมดา ไม่จำเป็นต้องรถสปอร์ต เพราะจุดประสงค์ในการใช้รถของเราคือเป็นยานพาหนะแค่นั้น
แต่การไป Met หรือเทศกาลหนังเมืองคานส์ถือเป็นประสบการณ์ที่แค่มีเงินก็ซื้อไม่ได้ … Some people waiting a life time for a moment like this.
จากเด็กคนที่เคยยืนเกาะรั้วมอง จนวันหนึ่งได้เข้าไปเดินข้างในงาน มันไม่ง่ายจริง ๆ เราไม่ได้กดลิฟต์ขึ้นมา แต่เดินขึ้นบันไดมาทีละขั้น ตั้งแต่ตอนฝึกงาน ใส่ชุด สวมรองเท้าให้นางแบบ จนมาถึงวันนี้ได้ มันเหมือนได้รางวัลชีวิตน่ะ
การใช้เงินเยอะก็ต้องตามมาด้วยการหาเงินให้ได้เยอะ ๆ เช่นกัน
ใช่ แต่เราไม่เคยโฟกัสเรื่องการเก็บเงิน คิดว่าอยากใช้เท่าไรก็ใช้ไป แต่ต้องหาเงินให้ได้มากกว่าใช้เท่านั้นเอง เราจะไปโฟกัสในการทำเงินให้ได้เยอะ ๆ มากกว่าการเก็บเงินให้ได้เยอะ โดยรายได้หลักตอนนี้มาจากการเป็นที่ปรึกษาในการสร้างภาพลักษณ์ให้แบรนด์สินค้าและบุคคล
ตอนนี้คุณใช้ชีวิตอยู่ที่ไหนเป็นหลัก
อยู่นิวยอร์กกับเมืองไทยเยอะสุด นอกจากนี้ก็เดินทางรอบโลก ส่วนหนึ่งเป็นเรื่องประสบการณ์ในชีวิต ขณะเดียวกันก็เพื่อสร้างอิมเมจในอินสตาแกรม อัพเดตคอนเท้นต์ให้เรามีความเคลื่อนไหวตลอดเวลา เนื่องจากอินสตาแกรมเป็นเหมือนแบรนดิ้ง อย่างเวลาขายงานกับลูกค้า ถ้าเราพูดลอย ๆ ว่ารู้จักคนนี้ เคยไปทำโน่นนี่กับคนนั้น ไม่มีใครเชื่อหรอก แต่พอเขาเปิดอินสตาแกรมดูปุ๊บ ก็จะเห็นหลักฐานว่า เราพูดจริง
ลองดูอินสตาแกรมของเราก็ได้ ช่วงซัมเมอร์จะไปสถานที่ที่คนดังไปกัน เผื่อได้เจอคนกลุ่มนี้ด้วย ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้เจอบ้าง ไม่เจอบ้าง แต่ขอให้ได้ไปก่อน เพราะบางครั้งเวลาเห็นคนดัง อยู่ที่นั่นแล้วเราไม่ได้ไป จะรู้สึกเหมือนพลาดอะไรบางอย่าง แต่หลังจากนี้วางแผนจะย้ายไปอยู่ลอนดอนสัก 1 ปี เพราะคิดว่าที่นั่นจะมีโอกาสดี ๆ ในการทำงานรออยู่
บอกได้ไหมว่า มีรายได้ต่อปีเท่าไร
ขอไม่บอกนะ (หัวเราะ) ก็เยอะอยู่แหละ แต่กว่าจะถึงจุดนี้ได้ก็นาน
บางคนคิดว่างานเราเหมือนจับเสือมือเปล่า แต่ความจริงต้องลงทุนเยอะ อย่างที่เล่า เสื้อผ้าแบรนด์เนมก็ต้องซื้อ อย่างเวลาพาดาราไปต่างประเทศ เราอาจดีลเสื้อผ้าแบรนด์ให้เขาใส่ แต่จะขอเผื่อตัวเองคงไม่ได้ แบบนั้นดูไม่มืออาชีพ
เพราะฉะนั้นก็ต้องซื้อของตัวเอง แต่ช่วงหลังไม่ได้ซื้อเยอะเหมือนแรก ๆ แล้ว เพราะสิ่งที่เติมเต็มเราไม่ใช่ของแบรนด์เนม แต่เป็นการเข้าถึงคนระดับท็อปมากกว่า
ขอถามเรื่องความรักบ้าง มีแฟนไหม
ไม่มีค่ะ
แฟนเราไม่ต้องอะไรมาก ขอให้มีเรือกับเครื่องบินส่วนตัว นี่พูดจริงนะ คนชอบคิดว่าพูดเล่น เพราะตอนนี้เราก็ตัวท็อปเหมือนกัน เพราะฉะนั้นคนที่มาเป็นแฟนก็ต้อง Bring something to the table. เหมือนกัน
โอเคว่า ความรักเป็นเรื่องสำคัญ เราต้องการคนที่รักเราจริง ๆ แต่ก็ต้องเป็นคนที่ไม่ได้ทำให้ไลฟ์สไตล์และชีวิตของเราเปลี่ยนไป
อยากบอกคนอ่านว่า ป่านเป็นคนหนึ่งที่ตอบคำถามเร็วและตอบแบบรัว ๆ มาก เคยมีวันไหนที่ไม่ได้คุยกับใครไหม
ไม่มี (หัวเราะ) ถ้าไม่พูดเลยนี่คงตายแน่ คุณแม่เคยบอกว่าขนาดหลับยังละเมอพูด หรือก่อนหน้านี้ไปดูดไขมันที่เกาหลีมา พอฟื้นจากยาสลบก็พูดกับเจ้าหน้าที่เลย หิวน้ำมาก ขอน้ำหน่อยค่ะ แล้วก็พูด ๆ ๆ จนคนที่อยู่เตียงใกล้ ๆ บ่นประมาณว่าพูดเยอะจัง (หัวเราะ)
ดูดไขมันตรงไหนบ้าง
ทั้งตัวเลยจ้า ไม่อายหรอก เล่าให้ฟังได้ เพราะรู้สึกแฮ็ปปี้กับผลลัพธ์ แต่เราไม่ได้เสพติดศัลยกรรมนะ
สำหรับเราไม่จำเป็นต้องสวยที่สุดนะ แค่สวยในแบบของเราก็พอแล้ว ไม่เห็นจำเป็นที่มนุษย์ทุกคนต้องหน้าตาเหมือนกันหมด ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีความแตกต่างสิ
แต่กว่าจะตกตะกอนความคิดได้แบบนี้ก็ผ่่านวันสุดๆ ทางอารมณ์มาแล้ว
เออใช่ เมื่อกี้คุณบอกว่ามีปมเรื่องการไม่เป็นที่ยอมรับ
(จากที่พูดน้ำไหลไฟดับ เธอเงียบไปเลยหนึ่งวินาที ก่อนเล่าต่อ) ก่อนหน้านี้ 20 ปี ป่านคือเด็กที่มีปัญหาเกี่ยวกับปมเรื่องหน้าตา เราคิดมาตั้งแต่เด็กว่าเป็นคนหน้าตาขี้เหร่ เพราะเรามีลูกพี่ลูกน้องชื่อปลา ซึ่งสวย ได้เป็นเชียร์ลีดเดอร์ เราขึ้นรถโรงเรียนกลับบ้านด้วยกันทุกวัน ภาพจำของเพื่อนคือ ปลาสวย ป่านขี้เหร่ และคำพูดนี้ก็ฝังหัวเรามาตลอด
หรือตอนเรียนชั้นประถมก็โดนเพื่อนแกล้งบ่อย เวลาทำรายงานส่งอาจารย์ เราต้องทำ 2 ชุด เพื่อให้เพื่อนคนหนึ่งเลือกอันที่ดีกว่า ส่วนเราก็ใช้อันที่แย่กว่าส่งอาจารย์ เพราะถ้าไม่ทำแบบนั้นจะโดนแกล้ง ชีวิตต้องเจอแบบนั้นจนเรียนจบชั้นประถม พอเรียนมัธยมก็ดีขึ้น แต่ปมในช่วงนั้นก็ส่งผลกระทบมาตลอดหลายปี
คุณกำลังบอกว่าเป็นเหยื่อบูลลี่ในโรงเรียน
ใช่ ทุกวันนี้ป่านคุยกับจิตแพทย์ทางออนไลน์สัปดาห์ละ 4 วัน จิตแพทย์บอกว่าชีวิตเราเหมือนผ่านสงครามมา
มันเป็นความกดดันที่อยู่รอบตัว เหมือนทำอะไรก็ไม่เคยดีพอ แต่ตอนนี้เราโอเคกับการถูกบูลลี่ในสมัยเด็กนะ เพราะไม่ใช่แค่เราที่เจอแบบนั้น แม้แต่บียอนเซ่ , ริฮานน่า หรือมาร์ค ซักเกอร์เบิร์ก ก็โดนเหมือนกัน และทำให้เขามีแรงผลักดันมากกว่าคนอื่น
เราเองก็เคยคิดว่าสิ่งที่ทำมาทั้งหมด ก็เพื่อพิสูจน์ให้คนในสมัยก่อนเห็นว่าเขาคิดผิด ซึ่งถึงวันนี้ไม่มีใครสนใจแล้วละ แต่ละคนก็ใช้ชีวิตของตัวเอง คนที่สนใจมีแค่เราคนเดียว ทางออกคือปล่อยวาง ขณะเดียวกันก็ไม่อยากวางเสียงทั้งหมด ไม่อย่างนั้นจะไม่มีพลังในการปีนให้สูงขึ้น (ยิ้ม)
สุดท้ายจากเด็กผู้หญิงที่เคยถูกบูลลี่ ผ่านร้อนผ่านหนาวมาถึงวันนี้ อยากบอกอะไรกับตัวเอง
ภูมิใจมาก ถ้าให้ย้อนถามตัวเองสมัยเด็ก ๆ ก็คงคิดไม่ถึงเหมือนกันว่าจะมาถึงวันนี้ ซึ่งจริง ๆ เรายังต้องปรับตัวอยู่เลยนะ
ถ้าเปรียบก็เหมือนการผสมสีในแก้วน้ำ ที่ผ่านมามีแต่สีฟ้าหม่น ๆ เพิ่งได้เติมสีแดงหรือความมั่นใจลงไปไม่นานนี้เอง และตอนนี้ก็ยังอยู่ในช่วงผสมสีให้เข้ากัน
ทีนี้เพื่อไม่ให้เรารู้สึกหลงตัวเองมากเกินไป เราจึงเบรกตัวเองด้วยการคิดว่าฉันยังต้องปรับตัวอีกพักใหญ่ เพราะกว่า 20 ปีที่ผ่านมาเราเป็นเด็กผู้หญิงที่ไม่มีความมั่นใจ ลูกแกะดำที่เคยโดนแกล้งในวันนั้นเพิ่งแปลงร่างเป็นสิงโตได้ 4 – 5 ปีนี่เอง
เพราะฉะนั้นชีวิตยังต้องเติบโต และก้าวไปข้างหน้าอีกเยอะ
เรื่อง: ปารัณ เจียมจิตต์ตรง
ภาพ: วรสันต์ ทวีวรรธนะ
ผู้ช่วยช่างภาพ: ธนโชค ฉวีกัลยากุล
แต่งหน้า: เนตรระตรี สัมพันธวงศ์
ทำผม: กฤษดา น้อยรังสี
เสื้อผ้า: Max Mara ชั้น 1 เกษรวิลเลจ