อัพเดตสเตตัสหัวใจของ 3 เซเลบริตี้สาวชื่อดัง “หญิงแม้น-พอลลี่-ชีน พิมพ์ชิน”

ใครกำลังลังเลว่าจะเปลี่ยนสถานะหัวใจดีหรือไม่ ลองอ่านเรื่องราวของ 3 เจ้าสาวที่ตัดสินใจเปลี่ยนสเตตัสเมื่อปลายปีที่ผ่านมา พวกเธอครองความโสดมานานกว่า 20 ปี แต่ใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือนยอมเปลี่ยนสเตตัสที่เคยเป็นมาทั้งชีวิต หลังจากสเตตัสใหม่…หัวใจของพวกเธอก็ถูกเติมเต็ม อาจเร็วเกินไปที่จะบอกว่าจบลงอย่างแฮ็ปปี้เอนดิ้ง แต่ก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ

ม.ร.ว.แม้นนฤมาส ยุคล สวัสดิ์ – ชูโต

เมื่อเอ่ยชื่อ หญิงแม้น จะนึกถึงภาพเซเลบสาวเปรี้ยว ปาร์ตี้สายแข็ง มีชื่อปรากฏเป็นข่าวคู่จิ้นกับดารา กระทั่งปลายปีที่เธอประกาศแต่งงาน ยอมเปลี่ยนสเตตัส เปลี่ยนชีวิตกับ คุณซัน (ต่อสวัสดิ์ สวัสดิ์ – ชูโต) อดีตเป็นเพียงภาพมายาเพื่อมาสู่ความสงบแท้จริงของชีวิต

“ความจริงเจอกับพี่ซันหลายปีแล้ว แต่เหมือนต่างคนก็ไม่ใช่สเป็คของกันและกัน เราชอบลูกครึ่ง ส่วนเขาชอบสาวขาวหมวย” หญิงแม้นที่ตอนนี้เป็นผู้หญิงที่มีความสุขที่สุดในโลก เริ่มต้นเล่าเสียงใส

“พี่ซันเป็นญาติกับพี่ปลาวาฬ (วรสิทธิ์ อิสสระ) เขาไปถ่ายสารคดีที่โรงแรมศรีพันวา ภูเก็ต ทุกครั้งที่หญิงแม้นไปศรีพันวาจะไปกันเป็นกลุ่มใหญ่ แม้เจอเขามาหลายปี แต่ไม่ได้สนิท กระทั่งวันหนึ่งเขาลาออกจากงานที่ศรีพันวา เห็นขนของใส่รถกระบะขับกลับกรุงเทพฯ สงสัยว่าทำไมเลือกที่จะขับรถกลับ เพราะระยะทางจากภูเก็ต – กรุงเทพฯใช้เวลาเดินทาง 12 ชั่วโมง แล้วขับคนเดียวด้วย ขนาดเราขับแค่ชะอำยังไม่ไหวเลย โดยธรรมชาติเราชอบเป็นห่วงทุกคน วันนั้นจะกลับกรุงเทพฯพอดี จึงตัดสินใจทิ้งตั๋วเครื่องบินแล้วนั่งรถกระบะกลับมากับเขา แม้เราไม่ได้ช่วยขับ แต่ยังคุยเป็นเพื่อนได้ เพื่อนที่กลับเครื่องด้วยกันถึงกับงง คิดว่าเราต้องแอบชอบเขาแน่ๆ ยืนยันว่า ณ ตอนนั้นยังนะคะ เพราะอย่างที่บอกว่าเขาไม่ใช่สเป็ค ขณะที่เขาเองก็คงไม่ได้คิดอะไร แต่ใครจะคิดว่าหลังจากที่เราเปิดประตูขึ้นรถไปแล้วจะไม่ได้ลงอีกเลย (หัวเราะ) ช่วงแรกอึดอัด เพราะไม่ได้สนิทกันขนาดที่จะนั่งรถมาตามลำพัง ไม่รู้จะคุยอะไร แต่พอเขาเปิดเพลง กลายเป็นว่าชอบเพลงคล้ายกัน คุยถึงอาหารก็ชอบเหมือนกัน พื้นฐานครอบครัวคล้ายกัน แล้วเขาถามว่า ‘แม้นคิดว่าตัวเอง เกิดมาทำไม’ ฟังแล้วงง เขาบอกว่ากำลังทำสารคดีธรรมะ จึงเป็นหัวข้อที่ทำให้คุยกันลึกซึ้งตั้งแต่ภูเก็ตจนมาถึงกรุงเทพฯโดยไม่รู้ตัว

“ช่วงนั้นพี่ซันทำสารคดีธรรมะ เขาขี่มอเตอร์ไซค์ไปถ่ายเก็บภาพตามสถานที่ต่างๆ เราขอตามไปด้วย อยากไปดูเขาสัมภาษณ์ชาวบ้าน พอกลับมาเขาบอกว่าเราติดดิน ง่ายๆ สบายๆ ไม่ได้เปรี้ยว เรื่องมาก หรือไฮโซอย่างที่คิด เป็นจุดเริ่มต้นให้ติดต่อกันมาอีกเรื่อยๆ ต่างฝ่ายต่างไปหาที่บ้านกันบ่อย เรียกว่าครอบครัวทั้งสองฝ่ายเข้ากันได้ดีมาก บ้านพี่ซันมาทางสายปฏิบัติธรรม คุณย่าเปิดสถานปฏิบัติธรรมชื่อ ‘บ้านไร่ทอสี’ อยู่ที่ปากช่อง เขาชวนไปปฏิบัติธรรมด้วย จากแต่ก่อนที่มีความคิดว่าวัยรุ่นต้องไปเที่ยวต่างประเทศสิ จะไปวัดก็เฉพาะวันสำคัญ ยิ่งหากพูดถึงชื่อหญิงแม้น คงไม่มีใครคิดว่าจะสามารถปฏิบัติธรรมได้ แต่เขาคือคนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจ เหมือนเติมเต็มในสิ่งที่ตัวเองขาด จึงลองเปิดใจ ภายในเวลา 3 วัน 2 คืน ทำให้เรารู้ว่าธรรมะไม่ใช่เรื่องไกลตัวหรือน่าเบื่ออย่างที่คิด สามารถเข้าถึงได้ แม้โดยธรรมชาติเราจะอยู่นิ่งไม่ค่อยได้ นั่งสมาธิไม่สำเร็จ แต่ก็ชอบสวดมนต์ จึงพยายามสวดมนต์แทน กลับมาก็ทำให้นิ่งและเป็นผู้ใหญ่ขึ้น ที่บ้านปลื้มใจว่าเราได้เจอผู้ชายที่ใช่แล้วนะ พี่ซันถือเป็นกัลยาณมิตร ทำให้หญิงแม้นเป็นคนดีขึ้น เพราะฉะนั้นเวลาไม่ใช่ปัญหาที่ตัดสินใจแต่งงาน ไม่ว่าตอนนี้หรืออีก 30 ปีก็มีค่าเท่ากัน คบกันประมาณ 1 ปี เขาพาไปเที่ยวภูเขาไฟฟูจิ แล้วทำเซอร์ไพร้ส์ด้วยการคุกเข่าขอแต่งงาน อาจเป็นเพราะว่าเพื่อนถามบ่อย เลยฉุกใจคิดว่าต้องมีโมเม้นต์นี้บ้างมั้ง ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าเราต้องแต่งงานกัน แต่ก็ตกใจ เพราะเขาทำเซอร์ไพร้ส์ไม่เก่ง แต่ก็ยังแอบทำแหวนมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แล้วไปเตี๊ยมกับทางโรงแรม เริ่มพิธีแต่เช้าตรู่เลย แม้ไม่เหมือนในหนัง แต่ก็ตื่นเต้น ปลื้มมาก ๆ

“คู่เราได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ รับประทานน้ำสังข์เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2559 แล้วจดทะเบียนสมรสกับทานข้าวกันในครอบครัว หลังจากผ่านงานถวายพระเพลิงพระบรมศพในหลวงรัชกาลที่ 9 แล้ว ค่อยจัดงานสมรสอีกครั้ง เพราะอย่างไรเราก็มีฝันอยากใส่ชุดเจ้าสาวเหมือนผู้หญิงทั่วไป เจอใครก็ถูกถามว่าเมื่อไหร่จะได้อุ้มหลาน ฝากบอกด้วยค่ะว่า เราอยากใช้ชีวิตกันก่อน ไปเที่ยว ทำงาน คงรออีกสัก 4 – 5 ปี ตอนนี้หญิงแม้นอายุ 26 ปี ส่วนพี่ซัน 28 ปี น่าจะยังไม่แก่เกินไป

“ต้องเรียกว่า New Status ทำให้ชีวิตเปลี่ยนไป มีความสุขสงบกับชีวิต ขนาดเพื่อนๆ ยังปรับตัวไม่ค่อยได้ เพราะจากที่เคยไปปาร์ตี้กับเพื่อนตลอด เรียกว่าพลาดไม่ได้ ทุกวันนี้ไปในสถานที่อโคจรน้อยลง อยู่บ้านมากขึ้น อยากบอกว่าภาพลักษณ์เราในสื่อกับตัวจริงไม่เหมือนกันเลย เห็นอย่างนี้หญิงแม้นค่อนข้างเป็นแม่ศรีเรือน ชอบทำกับข้าวมาตั้งแต่สมัยเรียนเมืองนอก แต่ที่ผ่านมาไม่ได้มีโอกาสทำ วันนี้เรามีคนที่ต้องคอยดูแลแล้ว จึงมีโอกาสเข้าครัวจริงจัง พี่ซันเองก็ชอบทำกับข้าว อีกอย่างที่เปลี่ยนคือ แต่ก่อนต้องไปเมืองนอก เล่นสกี ช็อปปิ้ง กลายเป็นเลือกมาที่น้ำตกทีลอซู เข้าป่า กางเต็นท์ อยู่กับธรรมชาติ ไม่หรูหรา ซึ่งหากไม่ใช่สามีหรือคนที่เรารักชวนคงไม่มา ก็ทำให้เราเห็นโลกในอีกมุมหนึ่งพยายามบอกเพื่อนๆ ว่า สิ่งที่สงบกับสิ่งที่ดีไม่จำเป็นต้องใช้เงินเยอะ อดคิดไม่ได้ว่าหากเจอพี่ซันก่อนหน้านี้ คงไม่ได้เข้าไปเป็นข่าวหรือตกอยู่ในกระแสคู่จิ้นใคร แต่หากย้อนเวลากลับไปได้ก็คงไม่เปลี่ยนแปลงสิ่งที่เกิดขึ้น ต่อให้เป็นข่าวไม่ดีหรือประสบการณ์ไม่ดีก็ทำให้เราเป็นเราในวันนี้”

“ดีใจครับ” เราอดถามคุณซันที่นั่งอยู่ข้างๆ ไม่ได้ เพราะเขาคือบุคคลที่มีอิทธิพลเปลี่ยนสาวสังคมสายปาร์ตี้เข้าสู่ความเป็นแม่ศรีเรือนสายสงบ “ส่วนใหญ่ผมเจอเขาที่ภูเก็ต ไม่ค่อยเจอที่กรุงเทพฯ แต่เพื่อนๆ เขาบอกว่าหญิงแม้นเปลี่ยนไปเยอะ ไม่ค่อยไปปาร์ตี้แล้ว”

“ตอนนี้มาช่วยพี่ซันทำสารคดีธรรมะด้วย ปกติพี่ซันรับถ่ายงาน เป็นฟรีแลนซ์ และช่วยงานคุณพ่อที่รีสอร์ตทอสี เลคฮิล ที่เมืองกาญจน์ ส่วนสารคดีธรรมะเป็นโปรเจ็คท์ส่วนตัว ทำกันสองสามีภรรยา หญิงแม้นช่วยเรื่องโปรโมตและหาสปอนเซอร์ คือพี่ซันอยากทำหนังพุทธศาสนาสายเถรวาทเผยแผ่ให้ชาวพุทธได้รู้และเข้าใจในสิ่งที่ถูกต้อง ทุกคนสามารถดูได้ ถ่ายทอดในรูปแบบของวิถีชีวิตกับความเป็นจริงของธรรมชาติ แบ่งเป็น 3 ตอน ตอนแรกตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย เหมือนอินโทร ตั้งคำถามกับชีวิตว่าเราเกิดมาทำไม อยู่เพื่ออะไร เหมือนที่เขาถามเราตั้งแต่วันแรกนั่นแหละ (หัวเราะ) ตอนที่ 2 จะไปเก็บภาพพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามวัดป่า นำเสนอไปพร้อมกับบรรยากาศธรรมชาติของเมืองไทย เผยแพร่ทางออนไลน์แล้วส่งประกวดด้วย

“สเตตัสใหม่หลังแต่งงานของเราคือ ผู้อำนวยการสร้างสารคดี ธรรมะ เป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ”

พรพรรณ สิทธินววิธ

เพียงแค่เธอก้าวเข้ามาในวงการบันเทิง ชื่อ พอลลี่ ก็อยู่ในกระแสคู่จิ้นไปแล้วหลายครั้ง แต่จริงหรือไม่ จะใช่ดีไหม ก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญอีกต่อไปแล้ว เพราะเธอยอมเปลี่ยนสเตตัสสายฟ้าแลบกับ เบนซ์ (รัฐพงษ์ รัตนหิรัญญา) เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2559 หลังจากดูใจกันเพียง 6 เดือน

“ครอบครัวพอลลี่เป็นคนจีน มีพี่น้องทั้งหมด 3 คน หญิงล้วน พอลลี่เป็นคนกลาง ห่างจากพี่สาว 5 ปีและน้องสาว 2 ปี พอลลี่สนิทกับคุณพ่อคุณแม่มาก ปรึกษากันได้ทุกเรื่อง ท่านฟังเหตุผล หากเราแฮ็ปปี้ ทำแล้วไม่อันตราย หรือไม่ทำให้ใครเดือดร้อนก็ไม่ห้าม จบมัธยมพอลลี่เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนของสโมสรโรตารีแห่งประเทศไทย ไปเรียนที่เกาะบาฮามาส สหรัฐอเมริกา เป็นเวลา 1 ปี รู้สึกว่าโตขึ้น นอกจากได้ฝึกช่วยเหลือตัวเอง ยังได้ช่วยงานโฮสต์แฟมิลี่ด้วย กลับมาไปเรียนที่โรงเรียนจิตรลดา ได้เจอพี่โกโก้ (นิรุณ ลิ้มสมวงศ์ ถึงแก่กรรมแล้ว) ที่สยามฯ ชวนไปแคสต์งานโฆษณา ประสบการณ์ครั้งแรกทั้งเหนื่อย ร้อน และรอนาน สุดท้ายไม่ได้งาน แต่พอหายเหนื่อยก็ไปอีก มาได้ครั้งที่ 2 เป็นงานพอนด์ โฆษณาชิ้นแรกในชีวิต จากนั้นตะลุยแคสต์งานเยอะมาก ถ่ายโฆษณาเป็นร้อยชิ้น เล่นซีรี่ส์ เรียนมหาวิทยาลัยประมาณปี 1 – 2 เปิดร้านเล็บที่สยามฯ แล้วต้องปิด เพราะเกิดเหตุชุมนุมทางการเมือง

“เพราะฉะนั้นสเตตัสนักเรียนจนถึงนักศึกษาของพอลลี่จะควบคู่กับการทำธุรกิจมาตลอด จึงทำให้เราเป็นผู้ใหญ่และมีความรับผิดชอบกว่าเพื่อนวัยเดียวกัน ดูแลตัวเอง จำได้เลยว่าเดทแรกของพอลลี่เริ่มจากการเป็นเพื่อนกันมาก่อน พอลลี่บอกเลิก เพราะคบกันแล้วสเตตัสไม่ได้ต่างจากเพื่อนเลย แต่เขาขอลองคบต่อ พอเวลาผ่านไปเริ่มผูกพัน กลายเป็นความรู้สึกรัก พอลลี่เชื่อว่าผู้หญิงจะรู้สึกว่าเราต้องแต่งงานกับแฟนคนแรก พอลลี่ก็เช่นกัน คบกันประมาณ 5 ปีจนเรียนจบมหาวิทยาลัย เริ่มทำงานที่ลีโอ เบอร์เนทท์ รู้สึกว่าเราเหมาะที่จะเป็นเพื่อนกันมากกว่า

“ระหว่างนั้นผู้ใหญ่ที่ช่อง 7 เรียกไปแคสติ้งละคร ตื่นเต้น เพราะเคยฝันอยากเล่นละคร พอได้เล่นก็ยิ่งรู้สึกดี จนฝันต่อว่าอยากเป็นผู้จัดละคร ได้เล่นละครเรื่องคุณแม่เฉพาะหน้า คุณย่าเฉพาะกิจ ของพี่วุฒิ – อัษฎาวุธ เหลืองสุนทร ในเรื่องหมอเจี๊ยบ (ลลนา ก้องธรนินทร์) เป็นดารารับเชิญ นิสัยเราตรงกันมาก เจี๊ยบห้าว ลุย นิสัยดี ชอบช่วยเหลือสังคม พอลลี่ก็ชอบบริจาคเงินช่วยเหลือตามมูลนิธิต่างๆ รู้สึกว่าโชคดีจังที่ได้เล่นละครเรื่องนี้ เพราะได้รู้จักเพื่อนดีๆ เขามีความฝันว่าอยากเปิดฟรีคลินิกช่วยเหลือคน ขณะที่เราก็อยากเปิดมูลนิธิ จึงบอกเขาว่า ทำไมเราไม่ทำธุรกิจแล้วนำเงินไปช่วยคน จึงเป็นจุดเริ่มต้นให้สนิทกัน กินข้าวด้วยกัน พอเราถ่ายรูปขึ้นไอจี เขียนแคปชั่นกวนๆ ตลกๆ ฟีดแบ็กหมอเจี๊ยบดีมาก เป็นที่ชื่นชอบของพี่ๆ นักข่าว จึงเกิดเป็นกระแสคู่จิ้น ซึ่งเรารับได้ เพราะสามารถนำรายได้ส่วนหนึ่งจากการออกงานด้วยกันไปช่วยเหลือสังคม

“ระหว่างนั้นรุ่นพี่ที่สนิท ซึ่งพอลลี่เคยแนะนำแฟนให้ จนที่สุดแต่งงานกันไป เธอเอ็นดูเราเหมือนน้องสาว จึงอยากแนะนำคนดีๆ ให้พอลลี่รู้จักบ้าง เพราะเห็นสเตตัสเรายังโสดอยู่ จึงแนะนำให้รู้จักพี่เบนซ์ บอกว่าเป็นผู้ชายน่ารัก นิสัยดี ตั้งใจทำงาน แค่ครั้งแรกก็รู้สึกว่าไม่ใช่แล้ว อาจเป็นเพราะเราไม่ชอบวิธีการนัดเจอ ต่างคนต่างนิ่ง แต่เขากลับคุยกับเพื่อนพอลลี่ถึงเรื่องหนัง งานศิลปะ กีฬา เข้ากันได้ดีทีเดียว จากนั้นก็ไปงานแกลเลอรี่ไนท์ คือ ขับรถไปแกลเลอรี่ตามจุดต่างๆ ในกรุงเทพฯ เจอพี่เบนซ์ในงาน รู้สึกชิลขึ้น แล้วไปเจอกันอีกครั้งที่งาน Thea พอลลี่เป็นแขกรับเชิญให้พี่หนูใหม่ (ตะวันนา ธารา) จากนั้นพี่หนูใหม่บอกว่าพอลลี่โสด พี่เบนซ์ก็โสด มาเจอกันอีกเถอะ พี่หนูใหม่จัดปาร์ตี้ที่บ้านแล้วชวน พอลลี่กับพี่เบนซ์ พอลลี่เห็นเขาเดินมา แปลกที่รู้สึกเขิน ยังบอกตัวเองเลยว่าบ้าหรือเปล่านี่ จะเขินทำไม พี่หนูใหม่บอกว่าพี่เบนซ์ชอบพอลลี่นะ อยากคุยด้วย ขณะที่เจ้าตัวหายไปเลย ไม่ไลน์ ไม่โทร. พี่หนูใหม่ไปสืบมาบอกอีกว่าพี่เบนซ์ไปวิปัสสนา หลังจากเขากลับจากปฏิบัติธรรมก็ไลน์มาชวนไปกินสุกี้ พอลลี่เพิ่งทำทรีตเมนต์หน้ามา ก็ไม่อยากโดนความร้อนกับแสง จึงขอเปลี่ยนเป็นร้านมืดๆ เขาบอกจะพาไปร้าน Dine in the Dark ที่มีคนตาบอดเสิร์ฟอาหาร เราแอบคิดว่าคงประชดเลยพาไปร้านที่ปิดไฟ ไปถึงร้านปิด (หัวเราะ) เลยจบที่ก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่สุรวงศ์ แล้วไปดื่มสาเกต่อ คุยกันจนถึงตีสามโดยไม่รู้ตัว เขาขับรถมาส่งที่คอนโด ก่อนแยกกันยังซื้อบะหมี่สำเร็จรูปมากินกันต่อ ทำให้เราเห็นความ แตกต่างจากเมื่อสามปีที่แล้ว จากที่เขาน่ารัก จิตใจดีอยู่แล้ว ที่สำคัญคือตลกขึ้น พอลลี่ชอบคนตลก

“จากนั้นเราเจอกันทุกวัน แชร์กันทุกเรื่อง พี่เบนซ์เคยเล่าถึงความผิดหวังในเรื่องความรักที่ผ่านมา แล้วเขาได้นำธรรมะมาปรับใช้ในการดำเนินชีวิต พอลลี่จึงให้เขาอธิบายเรื่องธรรมะให้ฟัง เขาอธิบายแบบไม่ใช่รู้แค่คอนเซ็ปต์ แต่แบบคนเข้าใจชีวิต คิดว่าหากวันหนึ่งเรามีปัญหา เขาคงให้อภัยและช่วยเหลือกัน เดือนที่ 7 พอลลี่ไปทำงานที่ญี่ปุ่น พี่เบนซ์ไปด้วย จู่ๆ เขาคุกเข่ากลางชิบูย่า บอกว่า ‘แต่งงานกันนะครับ’ พอลลี่นึกว่าเป็นเรื่องสนุก ไม่คิดว่าเขาจะกลับมาคุยกันซีเรียสต่อที่เมืองไทย พี่เบนซ์มาสู่ขอกับคุณพ่อคุณแม่พอลลี่ จากนั้นมีพิธีหมั้นวันที่ 29 พฤศจิกายน จนถึงฤกษ์แต่งงาน คุณพ่อคุณแม่พี่เบนซ์ไปดูซินแส เขาให้มาเดือนธันวาคม ปี 2560 แต่พี่เบนซ์อยากแต่งประมาณกลางปี เพราะพอลลี่ถ่ายละครจบพอดี ซินแสจึงบอกว่าจริงๆ แล้วฤกษ์เดือนธันวาคม ปี 2559 ดีที่สุด พอบอกคุณพ่อคุณแม่พอลลี่ว่าอีก 3 เดือนจะแต่งงาน จากที่ท่านปล่อยให้เราตัดสินใจและเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ตัวเอง ถึงกับถามว่าดูดีแล้วนะ เราก็ตอบว่าดีแล้ว ท่านมาเจอพี่เบนซ์ก็ชมว่าพี่เบนซ์น่ารัก แล้วพอข่าวออกไปว่าพอลลี่ประกาศแต่งงานสายฟ้าแลบ จึงกลายเป็นกระแสว่ามีปัญหากับหมอเจี๊ยบหรือเปล่า ตอบตรงนี้เลยค่ะว่าไม่มี หมอเจี๊ยบยังเป็นเหมือนสมาชิกในครอบครัวที่มีความหวังดีให้กัน ซึ่งกับพี่เบนซ์ พอลลี่มั่นใจตั้งแต่ที่คบกันแล้วว่าอยู่แล้วอบอุ่น อยากใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน เขารับในความเป็นเราได้ทุกรูปแบบ ตั้งแต่แต่งหน้าเต็มยันหน้าสด อย่างพอลลี่ชอบกิน เขาไม่ห้าม แต่ให้ออกกำลัง ที่สำคัญคือ ‘ดูซ ปอมเมอเรเนียนน้อย’ ของพอลลี่ จากที่เขาไม่เคยเลี้ยงหมา ก็สามารถเช็ดอึเช็ดฉี่ได้ บอกว่าดูซเป็นลูกเขาเหมือนกัน

“จริงๆ แล้วไลฟ์สไตล์เราต่างกันมาก พี่เบนซ์ชอบอ่านหนังสือ แต่พอลลี่ชอบดูทีวี ดูอินเทอร์เน็ต เขาชอบเพลงแจ๊ส เล่นฮาร์ป ส่วนพอลลี่ชอบฟังแนวทั่วไป สิ่งต่อไปที่พอลลี่ต้องปรับกับสเตตัสใหม่คือ ย้ายมาอยู่กับครอบครัวพี่เบนซ์ เพราะบ้านอยู่ใกล้กับที่ทำงาน ซึ่งเขาบอกตั้งแต่ก่อนแต่งงานแล้วว่าเป็นลูกชายต้องแบ่งเวลามาดูแลครอบครัวด้วย วันหยุดจึงค่อยอยู่กันที่คอนโด แน่นอนว่าพอลลี่ก็ต้องปรับตัว เพราะตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย พอลลี่ดูแลตัวเอง ตัดสินใจเอง ไม่ได้อยู่กับผู้ใหญ่ คิดว่าตัวเองพร้อม ไม่หนักใจ เพราะครอบครัวพี่เบนซ์ค่อนข้างทันสมัย ก็วางแผนว่าเราจะทำธุรกิจด้วยกัน เพราะพี่เบนซ์ยังทำงานกับครอบครัว พอลลี่นอกจากเล่นละครแล้วก็เป็นหุ้นส่วนนำเข้าแบรนด์ Cath Kidston จึงอยากสร้างรากฐานของเรา เพราะเดี๋ยวนี้ค่าครองชีพแพง ขนาดพอลลี่ทำกับข้าวเอง พี่เบนซ์กินรอว์ฟู้ด ซื้อผักผลไม้ในซูเปอร์มาร์เก็ตที่คุณภาพดีๆ มื้อหนึ่งหลักพันแล้ว แล้วพอลลี่อยากดูแลตัวเอง ออกกำลังกาย ทำเล็บ แล้วหากมีลูกอีกคงต้องเตรียมหนักๆ เลย ปีนี้น่าจะมีภาพชัดเจน

“วันนี้เราแฮ็ปปี้ แต่พอลลี่ก็ไม่ได้ยึดติด ไม่มีใครอยู่กับเราตลอดชีวิต ไม่ว่าคุณพ่อคุณแม่ หรือแม้กระทั่งพี่เบนซ์ เมื่อเราเข้าใจก็เป็นความสุขยิ่งขึ้นไปอีก”

พิมพ์ชิน ภัคพัฒน์ชนม์

หลังจากที่ไม่ประสบความสำเร็จกับชีวิตคู่ พิธีกรและเจ้าของบริษัทผลิตรายการทีวีก็รักษาความโสดอย่างเหนียวแน่นนานกว่า 20 ปี มีชีวิตติดแม่ เป็นเวิร์คกิ้งวูแมนที่บ้าพลัง แต่เพียงแค่ 7 – 8 เดือนที่คุณเอ๋ (วิสิษฐ กอวรกุล) เข้ามาในชีวิต สเตตัสทั้งหมดก็เปลี่ยนแปลงขั้นสุด

“สำหรับชีน ใช่เลย New Year New Status จากสถานภาพลูกของแม่ กลายเป็นแม่ของลูก (สามี) จากคนโสดที่อยู่กับแม่ เปลี่ยนเป็นแต่งงาน ย้ายออกมาอยู่บ้านสามี

“ชีนเคยแต่งงานแล้วตอนอายุ 28 – 29 ปี พอจับได้ว่าอดีตสามีมีคนอื่นก็เลิกเลย สนุกกับความเป็นโสดมาก แต่งหน้า แต่งตัวเซ็กซี่ ใครโสดไปเที่ยวกัน หรืออยากคุยกับเราโทร.มา มีคนเข้าออกในชีวิตตลอด แต่ก็ไม่มีใครที่ทำให้เรารู้สึกอยากใช้ชีวิตด้วย จนกระทั่งมาเจอคุณเอ๋ ซึ่งเป็นเพื่อนเก่า รู้จักกันมา 20 ปีแล้ว แม้ไม่สนิทมาก แต่ก็พอรับรู้ชีวิตของกันและกันบ้างว่าเขาแต่งงาน มีลูก 3 คน ตอนนั้นลูกเพื่อนก็เหมือนหลานเรา ได้เห็นพัฒนาการมาเป็นระยะ วันหนึ่งมีโอกาสกินข้าวกัน เลยรู้ว่าต่างคนต่างโสด ตั้งแต่นั้นจะบอกว่าเขามาจีบเราก็ได้นะ (หัวเราะ) เพราะเริ่มโทร.มาคุยบ่อยขึ้น จากนัดกินข้าวเป็นกลุ่มก็เหลือสองคน จากนั้นก็พาลูกชายคนโตมาเจอ พอถึงวันเกิดลูกสาวคนเล็กก็เดินทางไปฉลองกันที่สิงคโปร์ เขาไม่ใช่ผู้ชายที่ชอบทำเซอร์ไพร้ส์ ไม่โรแมนติก เสน่ห์ของเขาคือจำวันสำคัญต่างๆ ของเราได้ แล้วอยู่ฉลองด้วยกัน

“ภายในเวลาเพียง 6 – 7 เดือน ไม่น่าเชื่อว่าสเตตัสชีนเปลี่ยนวูบเลย เมื่อปีที่แล้วยังนอนกับคุณแม่ แต่พอแต่งงานชีนต้องย้ายออกจากบ้านไปอยู่กับสามี ซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะคุณแม่มีชีนกับน้องสาวแค่ 2 คน พวกเราเป็นแม่ลูกที่ตัวติดกันมาก อยู่ด้วยกันมากว่า 40 ปี แล้วพอเราเปลี่ยนสเตตัสตอนอายุมาก คุณแม่ก็อายุมากขึ้น คนแก่ปรับตัวยาก ปีหน้าน้องสาวแต่งงานอีก ชีนจะแต่งเข้าบ้านเหมือนครั้งแรกก็ไม่ได้ เพราะสามีเป็นครอบครัวใหญ่ มีลูก 3 คน มีธุรกิจ และพนักงานที่ต้องการเราไปช่วยดูแล สุดท้ายคุณแม่แฮ็ปปี้ที่จะอยู่ที่บ้านเดิมมากกว่าย้ายมาอยู่กับชีนที่บ้านของสามี ชีนจึงกลับมานอนกับแม่สัปดาห์ละครั้ง และพาท่านไปเที่ยวเมืองนอกบ้าง

“ขณะเดียวกันกับครอบครัวของสามีต้องบอกว่ายาก ใครจะคิดว่าจู่ๆ จะได้กลายเป็นคุณแม่ของเด็กๆ อายุ 19, 18 และ 17 (หัวเราะ) เป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่นอกจากรับได้แล้ว ต้องใช้คำว่ารักด้วย จำได้ว่าเด็กๆ ชีนหวงคุณพ่อมาก พอท่านเลิกกับคุณแม่แล้ว ชีนห้ามแต่งงานใหม่ ห้ามมีกิ๊ก ห้ามผู้หญิงขึ้นรถ พร้อมอาละวาด จึงตั้งใจว่าจะไม่ทำลายความสุขของเด็กที่อยู่ในสถานภาพแบบเราในอดีต แล้วใครจะคิดว่าวันหนึ่งตัวเองต้องมาอยู่ในสเตตัสนั้นจริงๆ ซึ่งสำคัญมากว่าคุณจะทำให้ครอบครัวเติมเต็มหรือแตกร้าว ตั้งใจเลยว่าหากทำหน้าที่นี้ได้ไม่ดีที่สุดก็ขออยู่เป็นโสดดีกว่า บอกคุณเอ๋ตั้งแต่เริ่มเป็นแฟนเลยว่า หากลูกๆ ปิดกั้น ไม่มีความสุข ชีนถอยหลังออกเลยนะ แม้ว่าเลิกกันจะเป็นทุกข์ แต่ก็ดีกว่าที่จะอยู่อย่างมีความสุขบนความทุกข์ของเด็ก ถึงที่สุดแล้วเราเองนั่นละที่ไม่มีความสุข เพราะชีนเห็นผู้หญิงหลายคนที่แต่งงานกับผู้ชายที่มีลูกติดมาด้วยแล้วเขาไม่เปิดรับลูก สุดท้ายแล้วเหมือนไปหั่นครอบครัวเขา ก็ยอมรับว่าวิตกกังวลมาก คงต้องมีดราม่าแม่เลี้ยงกับลูกเลี้ยง ทางข้างหน้าคงเหนื่อยแน่ แม้เห็นมาตั้งแต่เด็ก แต่ยังไม่ได้ใช้เวลาด้วยกันมากนัก ทั้งสามคนเรียนอยู่ต่างประเทศ จะสลับกันกลับเมืองไทย ได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันเต็มที่คนละ 3 เดือน คุณเอ๋ให้กำลังใจเสมอว่า ด้วยความจริงใจของเราจะผ่านสิ่งนี้ไปได้ แล้วก็จริง ถือเป็นความโชคดีของชีนที่พอเขาไปใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศ บวกกับพื้นฐานที่เป็นเด็กดี เขาจึงเปิดรับสิ่งต่างๆ ได้ง่าย หนทางสะดวกราบรื่นอย่างไม่น่าเชื่อ ประกอบกับชีนก็ไม่ได้คิดจะมาเป็นแม่ อยากเป็นพี่ น้า หรือเพื่อนที่ช่วยเติมเต็มช่องว่างในเรื่องที่เขาไม่กล้าพูดคุยกับพ่อ ทำให้เขามีความสุขขึ้น เข้าใจกันมากขึ้น

“นอกจากนั้นความที่อยู่คนเดียวมานาน โดยเฉพาะชีนมีโลกส่วนตัวสูงมาก นอนคนเดียว ตัดสินใจทุกอย่างคนเดียว ขณะเดียวกันก็ไม่ปฏิเสธว่าอยากมีใครสักคน เพราะพอมีคุณเอ๋ เหมือนชีวิตเติมเต็มสมบูรณ์ แต่บางทีก็ไม่ชิน หลายครั้งที่เขาบอกว่าเดี๋ยวไปด้วย เราก็แปลกใจว่าต้องไปด้วยหรือ แล้วเราต้องบอกด้วยหรือว่าจะไปไหน ก็ต้องหมั่นทบทวนสเตตัสตัวเองบ่อยๆ ว่า เรามีคู่ชีวิตแล้วนะ เพราะฉะนั้นไปไหนต้องบอก คิดอะไรต้องแชร์ ปรึกษาหารือกับอีกคนด้วย

“ชีนตัดสินใจแต่งงานเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2559 ท่ามกลางเสียงนกเสียงกาทักว่า คิดดีๆ ก่อนไหม น่าจะหาได้ดีกว่านี้ สำหรับชีนคิดว่าไม่มีคำว่าดีกว่านี้หรอก มีแต่เข้าใจกว่านี้ หรือมีความสุขกว่านี้ ถามตัวเองว่าเราอยากตื่นมาแล้วหันไปเจอหน้าเขาทุกวันไหม หากใช่ก็ไม่ต้องรอแล้ว งานแต่งงานเราจัดตามใจตัวเองมาก ปกติบ่าว-สาวจะเดินจับมือเข้าพิธีมาพร้อมกัน แต่ชีนกับคุณเอ๋เดินเข้ามาคนละประตู แล้วมาเจอกันกลางห้อง เปรียบเหมือนต่างคนต่างผ่านกันมาครึ่งชีวิตแล้วจึงมาเจอกัน ตอนซ้อมคือเดินมาเจอกันในห้อง แต่พอพิธีจริงเราเดินมาเจอกันแล้วกอดกันโดยอัตโนมัติ จากแววตาของทั้งคู่สามารถสยบเสียงนกเสียงกาได้ จนชีนถูกแซวในเฟซบุ๊กว่า ไม่เคยเห็นเรามีประกายแห่งความสุขเท่านี้มาก่อน

“จากที่ชีนบ้างานมาก เป็นทั้งพิธีกร ผู้บริหาร ผลิตรายการ รับจัดอีเว้นต์ ก็ต้องทำงานน้อยลง สามีให้ย้ายออฟฟิศจากสีลมมาอยู่ใกล้บ้านเขาที่ดอนเมือง เพราะเขาทำธุรกิจเรียลเอสเตท แล้วฐานทุกอย่างอยู่ที่นี่ แม้เราติดเมือง แต่พอคิดถึงว่ากว่าจะแต่งงานก็อายุ 40 กว่าแล้ว หากอายุ 60 ตายจากกัน มีเวลาอยู่ด้วยกันแค่ 20 ปีเอง แล้วหากต้องมาเสียเวลากับการเดินทาง รถติด เวลายิ่งน้อยลงอีก จึงยอมย้ายอย่างง่ายดาย ในอนาคตสามีจะเปิดโครงการใหม่ที่รามอินทรา มีโรงแรมด้วย คิดว่าคงใช้อาชีพของเราสนับสนุนธุรกิจของเขามากขึ้น โดยที่บริษัทของชีนก็ยังอยู่ เพราะมีลูกน้องประมาณ 10 – 20 คนที่ยังต้องดูแล

“แม้เพียงแค่เดือนกว่าๆ จะเร็วไปกับการด่วนสรุปว่าทุกอย่างจะมีความสุขตลอดไป นี่เป็นเพียงก้าวแรก ชีนเชื่อว่าหากอยู่กันไปนานๆ มีการกระทบกระทั่งกันแน่นอน แต่เราก็พร้อม

“เพราะเรามั่นใจว่าได้อยู่กับคนดี จิตใจดี ไม่ว่าทะเลาะกันด้วยความไม่เข้าใจหรือเข้าใจผิดกัน ก็จะผ่านปัญหาไปได้”

ที่มา : คอลัมน์ LIVE STORIES นิตยสารแพรวฉบับที่ 898

 

Praew Recommend

keyboard_arrow_up