จี๋ สุทธิรักษ์ & เบนจามิน ในลุคที่โหด เดือด และมันส์กว่าเดิม

account_circle

กลับมาอีกครั้งของหนังฟอร์มยักษ์ภาคต่อที่ทุกคนรอคอย 4Kings2 ของผู้กำกับมากฝีมือ พุฒ-พุฒิพงษ์ นาคทอง จากค่าย เนรมิตรหนัง ฟิลม์ ร่วมกับ ฉายแสง แอด.เวนเจอร์ ที่จะเข้าฉายในวันที่ 30 พฤศจิกายนนี้

และพิเศษกับ #PraewDigitalCover แฟชั่นเซ็ตพิเศษของ “จี๋ สุทธิรักษ์ และ เบนจามิน” 2 นักแสดงจากภาพยนตร์ 4 Kings2 พร้อมบทสัมภาษณ์การทำงานและอีกก้าวของการแสดง ที่ทั้ง โหด เดือด และมันส์กว่าเดิม

“รก บุรณพนธ์ คือตัวละครที่น่าสงสารและเห็นใจที่สุด เพราะเขาไม่เหลือใครเลย” เรื่องเล่าจากใจของจี๋ – สุทธิรักษ์ กับการพลิกคาแรคเตอร์เป็นเด็กช่างใน 4Kings2

จี๋ -สุทธิรักษ์ ทรัพย์วิจิตร กับการพลิกคาแรคเตอร์ครั้งใหญ่ ไม่ว่าจะยอมลดน้ำหนัก 10 กิโล ตากแดดเพื่อให้ผิวแทน ไว้ผม ไว้หนวด เพื่อสมบทบาทเป็น  “รก บุรณพนธ์” ให้สมบูรณ์แบบมากที่สุด นอกจากบุคลิกภายนอกแล้ว จี๋ยอมรับว่าระหว่างถ่ายทำ ตัวตนและความคิดของเขา ก็ต้องเปลี่ยนตามตัวละครไม่ใช่น้อย

บทบาท ‘รก บุรณพนธ์’ ท้าทายมากขนาดไหน

          “มากครับ เพราะในบรรดานักแสดงทุกคน ภาพลักษณ์ภายนอกผมดูเป็นเด็กช่างน้อยที่สุด จำเป็นต้องเปลี่ยนลุคมากกว่าคนอื่น ผมลดน้ำหนัก 10 กิโลในเวลา 2 เดือน พยายามตากแดดให้ผิวดูแทนขึ้น ซึ่งก็ดำได้เท่านี้ (ยิ้ม) ไว้ผมยาว ไว้หนวด ศึกษาบุคลิกของเด็กช่าง ดูว่าเขาเดินยังไง พูดยังไง อันนี้คือภาพลักษณ์ภายนอก

            “ส่วนอินเนอร์ข้างใน ด้วยความที่ตัวละครมีปมต้องแบกเยอะ ต้องเปลี่ยนวิธีคิดพตัวเองอสมควร เพราะรกมีความโหยหาภายในใจ พยายามเติมเต็มความขาดที่เกิดจากครอบครัวด้วยสิ่งอื่นๆ เช่น จากเพื่อน จากการพิสูจน์ตัวเองให้เป็นที่ยอมรับของกลุ่มผ่านการเป็นหัวโจก หาเรื่องคนอื่น ไม่กลัวอะไร เพื่อพิสูจน์ว่าเขาเจ๋ง และคิดไปว่ามันทำให้เขามีคุณค่า เติมเต็มสิ่งที่ขาดจากครอบครัว

ถือว่าห่างจากตัวตนเรามากไหม          

            “มีทั้งมุมที่ห่างและไม่ห่างครับ อย่างเรื่องเด็กช่าง ถือว่าไม่ห่าง เพราะผมเรียนโรงเรียนชายล้วนมาก่อน ผ่านช่วงชีวิตที่เกเรมาบ้าง และมีเพื่อนหลายคนไปเรียนต่อที่โรงเรียนอาชีวะ ซึ่งเขาก็มีเรื่องมีราวกันบ่อย  มันเลยทำให้ผมเข้าใจความรุนแรงที่เกิดขึ้น เข้าใจวิธีคิดของเด็กช่าง ซึ่งส่วนใหญ่เขาอยากพิสูจน์ตัวเองเพื่อให้มีตัวตน และนั่นก็คือสิ่งที่ รก บุรณพนธ์ เป็น

            “ส่วนมุมที่ผมรู้สึกว่ายากคือ ความรู้สึกโหยหา ว่างเปล่าในจิตใจ ผมว่ามนุษย์ทุกคนมีอยู่แล้ว แต่จะมีความว่างเปล่าไม่เหมือนกัน จึงเป็นเรื่องยากที่จะดึงออกมาใช้ให้ดูแนบเนียน เพราะฉะนั้นอะไรที่ตัวละครเป็น สิ่งที่ตัวละครคิด เราก็ต้องจูนกับสิ่งนั้น”

จูนยังไงบ้างคะ

          “ผมอินและตั้งใจอยากเป็นอย่างเขา ยอมรับเลยว่าแสดงจนคาแรคเตอร์ติดตัวกลับบ้าน ผมเริ่มใช้ชีวิตแบบเขา คิดแบบเขา อย่างช่วงที่แสดงหนัง ผมไม่ฟังเพลงยุคปัจจุบันเลยนะ ฟังแต่สิ่งที่ตัวละครฟัง เช่น เพลงยุคอัลเทอร์เนทีฟ เพราะเคยกลับมาฟังเพลงยุคปัจจุบันแล้ว อารมณ์มันไม่ใช่จริงๆ ซึ่งผมก็ไม่ได้พยายามทำด้วย ผมแค่รู้สึกว่า นักแสดงต้องเป็นหมอให้เหมือนหมอ เป็นนักบินให้เหมือนนักบิน เป็นนักธุรกิจให้เหมือนนักธุรกิจ เป็นให้เหมือนทุกอย่าง แต่สิ่งเดียวที่นักแสดงไม่เป็นคือการแสดง เราต้องเป็นตัวละครนั้นจริงๆ ก่อน ถึงจะทำออกมาได้ดี และให้คนดูอินไปกับตัวละคร”

การได้เจอกับพี่รก บุรณพนธ์ ตัวจริง ช่วยเรื่องการแสดงได้เยอะไหม

          “มากครับ พี่รกตัวจริงแกน่ารักมาก ใจเย็น พูดน้อย คือเวลาคุยกับแก ผมก็จะสังเกตวิธีพูด ท่าทางของแกไปด้วย แต่ด้วยเส้นเรื่องของตัวละครกับพี่รกในชีวิตจริง ไม่เหมือนกันร้อยเปอร์เซนต์ บางอย่างเราก็ต้องเพิ่มหรือลดลงเอง ข้อไหนที่ผมสงสัยก็จะถามพี่รกเยอะ ซึ่งเขาซัพพอร์ตผมเสมอ พี่รกชอบบอกว่า ‘เล่นเลย มึงทำได้’ แกพูดให้พลังงานบวกอย่างนี้ทุกครั้ง ทำให้เรามีกำลังใจที่จะพรีเซนต์ตัวละครตัวนี้ และทำให้ผมรักมันมากจริงๆ”

‘รก บุรณพนธ์’ สอนอะไรเราบ้าง

            “ผมเพิ่งนั่งคิดเรื่องนี้หลังจากปิดกล้องไม่นานว่า รกเป็นตัวละครที่น่าสงสารที่สุด เขามีช่องว่างในหัวใจเยอะ คือตัวละครอื่นๆ ก็มีช่องว่างเหมือนกันนะ แต่เขาเหล่านั้นก็มีใครพร้อมที่โอบอุ้มและเยียวยา แต่รกไม่มีใครเลย ไม่มีแม้กระทั่งครอบครัว คือมีก็เหมือนไม่มี ไม่มีใครโอบอุ้มหรือชี้ทางเขา แผลในใจจึงกว้างขึ้นเรื่อยๆ ความรุนแรงก็มากขึ้น เพราะต้องการให้คนยอมรับ เมื่อรู้ตัวอีกทีก็สายเกินไป จึงเป็นคนน่าสงสารสุด”

ในหนังรกจะมีคู่หูเป็นเค (รับบทโดยเบนจามิน โจเซฟ วาร์นี) พอเล่นเข้าฉากกัน บรรยากาศเป็นยังไงบ้าง  

          “พี่เบนเป็นพาร์ทเนอร์ที่น่ารักมาก ถ้าทุกคนที่เคยคลุกคลีกับเด็กอาชีวะ คงจะพอทราบจังหวะตอนจะมีเรื่อง คือคนที่ ‘เปิด’ นอกจากจะต้องกล้าแล้ว ยังต้องเชื่อใจเพื่อนที่อยู่ข้างหลังด้วยว่าจะไม่ทิ้งไปไหน  ซึ่งพออยู่ในสถานการณ์จริง เราอินกับตัวละครและสถานการณ์ที่มันสมจริงมากๆ ครับ การมีพี่เบนมายืนข้างๆ มันทำให้ผมอุ่นใจว่า ต่อให้ 30 คนจะหนี แต่ถ้าหันหลังไป กูเจอมึงแน่เค มึงอยู่กับกูแน่นอน (หัวเราะ) มันคือความรู้สึกนี้เลย”

ตอนแสดงก็คือเดือดจริงเลยใช่ไหม

            “เดือดมากครับ คือการบิวต์ เกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนเปิดกอง เราผ่านการเวิร์คช็อปเรื่องราวแบคกราวน์ของตัวละครมาแล้ว พอเปิดกล้อง ไม่ต้องบิวต์อะไรเลย ทุกคนอยู่ในบรรยากาศเมืองไทยยุค 2539 พร้อมสวมบทบาทเป็นตัวละครนั้น พร้อมที่จะฟาดฟัน แยกฝั่งอย่างชัดเจน ผมว่าสิ่งที่ทำให้เรื่องนี้ออกมาสมบูรณ์แบบที่สุด คือนักแสดงไม่มีกำแพงต่อกัน พอทุกคนเปิดใจ ก็ทำงานง่ายขึ้น และต่อให้เรารุนแรงใส่กันในฉากมากขนาดไหน แต่เพราะเราคุยกันเยอะมาก เลยทำให้รู้สึกว่า เราทำสิ่งนั้นด้วยความจริงใจเพราะเราเชื่อใจกัน และตั้งเป้าว่าอยากจะให้งานออกมาดีที่สุด”

สิ่งที่ 4kings2 พยายามสื่อสารให้กับสังคมคืออะไร

          “ภาคนี้พูดถึงความแค้นและโอกาส โดยเฉพาะเรื่องของโอกาส ที่น่าพูดถึงมาก เพราะเวลาตัวละครตัดสินใจ เขาคิดเพียงชั่ววูบแล้วทำเลย  หลายคนคิดว่าตัวเองจะมีโชคมากพอที่จะมีโอกาสครั้งต่อไป คิดว่าสิ่งที่ทำมันดูเท่ เดือด เลือดร้อน แต่หลายๆ คนกลับไม่ได้รับโอกาสครั้งที่สอง กลับพบกับความสูญเสีย

          “นั่นคือสิ่งที่หนังพยายามจะบอกครับ”

“มนุษย์ไม่ใช่สิ่งเพอร์เฟค ต้องรู้จักด้านไม่ดี เราถึงจะดีขึ้น”เบนจามิน โจเซฟ วาร์นี

            ที่ผ่านมาเราเห็น เบนจามิน โจเซฟ วาร์นี ในบทบาทของพระเอกเอ็มวีและโฆษณา ครั้งนี้เขาก้าวไปอีกขั้นด้วยการรับบทนักเรียนอาชีวะอย่าง ‘เค บุรณพนธ์’ ใน 4kings2 ที่มาพร้อมฉากดวลชนิดซัดกันดุเดือดยิ่งกว่าเคย ซึ่งเบนก็สารภาพว่าความยากของการแสดงหนังเรื่องนี้ คือต้องห้ามตัวเองไม่ให้เดือดไปกับเพื่อน!

          นอกจากความสนุกในกองถ่าย การเล่นหนังเรื่องนี้ทำให้เขาได้สะท้อนความคิดสมัยที่ตัวเองยังเป็นวัยรุ่นว่าเบื้องหลังการทะเลาะกันนั้น ล้วนขับเคลื่อนมาจากฮอร์โมน ความรุนแรง เสียงเพลง และการมองโลกของเด็ก ปัญหาความรุนแรงจะไม่หายไปไหน ถ้าสังคมยังไม่กล้ายอมรับความจริงและพูดถึงสิ่งนั้น และนี่คือสิ่งที่ 4kings2 อยากเชิญชวนทุกคนมาเรียนรู้ด้วยกัน

บทบาทของเค บุรณพนธ์ ท้าทายในแง่ไหนบ้าง

            “เคเป็นตัวละครมีมาด เป็นเด็กช่างก็จริง แต่ลึกๆ ก็มีความคิดเป็นของตัวเองว่าอยากจะทำอะไร เพราะเขาโตมาในครอบครัวที่พ่อเป็นตำรวจ ที่บ้านเข้มงวด ชีวิตจึงมีสองด้าน เหมือนคนกำลังลอกคราบครับ ใจนึง อยากมีครอบครัว อยากมีงานทำ แต่อีกใจก็รักเพื่อน พร้อมเป็นสายซัพพอร์ตให้กับรก (รก บุรณพนธ์) ผมว่าความยากของการแสดงละครตัวนี้คือ พอเราเห็นเพื่อนๆ ในกองถ่ายอินมาก ถ่ายฉากบู๊ก็พร้อมซัดกันเต็มที่ ใจนึงเราคืออยากซัดกับเขาบ้าง (หัวเราะ) แต่บทของเค มันมีพื้นที่ในตัวเองพอสมควร ถ้าพร้อมซัดเกินไปก็คงไม่ได้ เรื่องนี้แหละที่ยากสุด”

 การรับบทนี้ ทำให้เข้าใจมุมมองการใช้ความรุนแรงของวัยรุ่นมากขึ้นขนาดไหน

            “มากนะ เพราะสมัยเด็ก ผมก็เคยผ่านช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อมาเหมือนกัน เมื่อก่อนเราไม่มีคำว่า ‘รับผิดชอบ’ อยู่ในหัวเลย ผิดถูกไม่สน ผมว่าเรื่องฮอร์โมนด้วยส่วนหนึ่ง เด็กด้วยส่วนนึง เรายังมองโลกไม่กว้าง อย่างสมัยวัยรุ่นผมชอบเคิร์ต โคเบนมาก เห็นศิลปินเล่นยา ทำตัวไม่สนโลก เราก็รู้สึกว่ามันเท่ เราก็อยากเลียนแบบทำตัวมีปัญหาเหมือนเขา ทั้งๆ ที่เราก็เติบโตมาในครอบครัวที่พ่อแม่รักและดูแลเป็นอย่างดี ชีวิตไม่ได้มีปัญหาเลย แต่ดันไปทำตัวมีปัญหามันเลยผิดธรรมชาติ ซึ่งผมว่ามองว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาของวัยรุ่นที่กำลังค้นหาตัวเองน่ะแหละ เรามองโลก และเกลียดโลกง่าย แต่พอโตขึ้น ถึงจุดนึงก็ต้องรู้ว่า ไม่สามารถทำตัวแบบนี้ได้ตลอดไป เราต้องรู้จักความรัก ต้องรู้จักการให้ รู้จักครอบครัว และรู้ว่าความรับผิดชอบคืออะไร ”

อะไรที่ทำให้โตขึ้น

            “ผมคิดว่าตัวเองโชคดีที่ชอบเรียนรู้ ผมชอบอ่านหนังสือปรัชญา จิตวิทยา เช่น คาร์ล ยุง ชอบอ่านเรื่องศาสนา กระทั่งช่วงนึงที่ค้นพบว่า จริงๆ แล้ว มนุษย์ต้องการความรักนะเว้ย คือมนุษย์เจอเรื่องแย่ๆ มาเหมือนกันหมด แต่จะมานั่งเกลียดกันตลอดเวลามันไม่ได้อะไรขึ้นมา เพราะจะไม่ก้าวข้ามสักที ผมเห็นตัวอย่างจากคนที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่และประสบความสำเร็จ เขาก้าวข้ามเรื่องยากๆ มาด้วยความรัก ก้าวข้ามด้วยการให้ ซึ่งการให้มันคือสิ่งที่ยากที่สุดอย่างนึงเหมือนกัน”

เบนคิดว่าสิ่งที่ 4 kings 2 พยายามบอกสังคมมากที่สุดคือเรื่องอะไร

          “กล้าหยิบเอาความรุนแรงซึ่งเป็นปมในสังคมมาเล่า ผมรู้สึกว่าความรุนแรงมันมีอยู่เสมอมา เราก็ต้องกล้าพูดถึงมันด้วย ไม่ใช่มองว่า ไม่ดี เป็นเรื่องอันตราย กลัวเด็กจะทำตาม แล้วก็ทิ้งขว้างมันไป การดู 4 kings ไม่ต่างจากเราดูสารคดีสงครามโลก หรือสารคดียากูซ่า เราดูเพื่อเรียนรู้ประวัติศาสตร์ครับ อย่างเวลาเราดูสารคดีสงคราม ก็ไม่ใช่ว่าจะรู้สึกฮึกเหิม อยากให้มีสงครามเกิดขึ้นใช่มั้ย? หนังก็เหมือนกัน ผมว่าถ้าสังคมสามารถกล้ายอมรับกับสิ่งที่เคยเกิดขึ้นจริง สังคมจะขยับไปอีกขั้น

             “อีกอย่างผมคิดว่ามนุษย์ทุกคนอยากให้สังคมไปในทิศทางที่สวยงาม แต่สำหรับผม มนุษย์ไม่ใช่สิ่งเพอร์เฟค เราไม่สามารถโลกสวยตลอดเวลาได้ ต้องมีการพัฒนาไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นก้าวแรกของการพัฒนา คือต้องยอมรับถึงสิ่งที่เกิดขึ้นจริงก่อน ต้องรู้จักด้านที่ไม่ดี เราถึงจะดีขึ้น”

ถ้าให้โหวตฉากที่ประทับใจที่สุดในเรื่องคือฉากไหน

            “ผมชอบเพลงอยู่แล้วครับ แล้วภาคนี้พี่ป๊อด โมเดิร์นด็อก มาร้องเพลงในหนังด้วย ซึ่งผมชอบเพลง บุษบามากๆ โห…ฉากที่พี่ป๊อดมาร้องเพลงน่าจะเป็นซีนที่ผมประทับใจที่สุดตั้งแต่เคยแสดงมาทั้งชีวิต มันเป็นซีนที่ยิ่งใหญ่ นักแสดงเยอะมาก แล้วทีมงานเซ็ตบรรยากาศทุกอย่างเหมือนย้อนกลับไปยุคนั้น ทุกคนแต่งตัวแบบคนสมัยก่อน มันเหมือนได้ย้อนเวลาจริงๆ ยังรู้สึกขนลุกเลย อยากให้ทุกคนได้ดูซีนนี้มากๆ ครับ”

ถ้าอยากสวมบทบาทออกมาให้สมจริง เบนคิดว่านักแสดงต้องเป็นแบบไหน

            “ตามที่ผมรู้สึกและเข้าใจนะ คือนักแสดงต้องรู้ถึงเลเยอร์ต่างๆ ในความเป็นมนุษย์ รู้ว่าตัวเองอยู่ในสถานการณ์ไหนแล้วมีความรู้สึกอย่างไร ที่สำคัญคือต้องรู้ว่าใส่หน้ากากเมื่อไหร่และถอดออกเมื่อไหร่ ผมว่าเรื่องนี้สำคัญก่อนจะเข้าคาแรคเตอร์

“นอกจากนี้นักแสดงต้องติดดิน เขาถึงจะแสดงเป็นมนุษย์ได้ ที่สำคัญคือวินัยและความพร้อม เช่น การท่องบท ซึ่งมันก็มีการท่องหลายระดับ คือแค่จำได้มันไม่พอ  แต่มันต้องมีเรื่องอารมณ์ ความรู้สึก ต้องจำได้ชนิดที่ว่า เราไม่ต้องคิดถึงมันเลย ไม่คิดว่ามันเป็นไดอะล็อก ขณะเดียวกันการจะแสดงได้ดี มันขึ้นกับหลายปัจจัย ไม่ใช่เราแค่คนเดียว มันขึ้นกับบรรยากาศหน้างานวันนั้นด้วย แต่ที่สำคัญที่สุดคือตัวเราต้องพร้อมมาก่อน”

ถ้าต้องแสดงในบทที่ขัดแย้งกับตัวเองมาก หรือไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวละครทำ จะทำยังไง

            “ถ้ารับมาเล่นแล้วก็ต้องไปให้สุดทาง เพราะอาจจะเจออะไรที่ไม่ได้คิดไว้ก็ได้”

หากไม่รับงานแสดง เบนชอบทำอะไร

“พักครับ อยู่บ้าน ผมแยกชีวิตหน้ากล้องกับชีวิตส่วนตัวอย่างชัดเจน ค่อนข้างมีโลกส่วนตัว ผมชอบวิถีชีวิตนักแสดงชาวอังกฤษกับออสเตรเลียนะ คงเพราะผมเป็นลูกครึ่งอังกฤษด้วยมั้ง คือคนอังกฤษมีความโลกส่วนตัวเยอะ  ชีวิตส่วนตัวไม่ออกหน้ากล้องเลย แต่ถ้าต้องทำงานเขาจะชัดเจนและตั้งใจมาก ผมชอบชีวิตแบบนี้เลย เพราะคิดว่าการมีโลกส่วนตัวสำคัญ เราจะได้มีเวลารู้จักและเข้าใจตัวเองมากขึ้น ขณะที่คนออสเตรเลียติดดินมาก อย่างที่ผมบอกไป นักแสดงต้องติดดิน เพื่อที่จะแสดงเป็นมนุษย์ได้”

“ส่วนเวลาว่างของผมตอนนี้คือทำเพลงครับ ผมเริ่มทุกอย่างจากศูนย์ แนวเพลงก็เปลี่ยนเรื่อยๆ แต่ตอนนี้ก็จะมีความเป็นไซเคเดลิกร็อก ทำคอลแลปร่วมกับวงอื่นๆ นอกจากี้สิ่งที่ผมฝึกตัวเองอยู่ก็คือการเขียน เพราะช่วงหลังสังเกตว่า ผมชอบคิดตลอด ชอบตั้งคำถามกับอะไรเยอะ ซึ่งมันเป็นดาบสองคม บางทีคิดมากเกินไป ชอบคิดไปก่อน คิดเยอะ จนเพื่อนเคยทักว่า ทำไมหน้าเหนื่อยจังวะ ทั้งๆ ที่ผมก็นอนมาเต็มอิ่ม คงเป็นเพราะในหัวมีอะไรตลอดเวลา ทุกวันนี้บำบัดด้วยการเขียนสิ่งที่คิด คือบางช่วงก็ขี้เกียจมาก อยากนอน อยากหาอะไรอย่างอื่นทำ แต่พอฝืนแลก ยอมนั่งเขียนมันก็คุ้ม เหมือนได้ระบายความคิดออกไป”

ถ้าให้เบน เพิ่มอะไรสักสิ่งในตัวเอง อยากเพิ่มอะไร

          “ความ Extrovert ครับ เพราะทำงานเจอคนเยอะ พยายามหาเวอร์ชั่นของตัวเองเวลาอยู่หน้ากล้องสัมภาษณ์แล้วยังเป็นตัวเราได้เต็มที่ เป็นสิ่งที่ยังต้องปรับต่อไปครับ”

  • ช่างภาพ : Vorason Dvi-vardhana
  • สไตล์ : Minim
  • สไตล์เอดิเตอร์ A.Y.Styled
  • เรื่อง : Fai
  • อาร์ตไดเร็คเตอร์ : Voravat
  • เสื้อผ้า  : Regen Original

Praew Recommend

keyboard_arrow_up