เปิดชีวิตรักสาวเก่ง ‘กุ๊ก กฤติกา’ ก่อนคัมแบ็คคนข่าว ในเรื่องเล่าเช้านี้

เพิ่งจะได้เห็นการกลับมาสู่การเป็นนักเล่าข่าวในช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ได้ไม่นานเมื่อช่วงปีที่แล้ว ในเวลานี้ ‘กุ๊ก กฤติกา’ ก็ได้รับมอบหมายให้มาทำหน้าที่พิธีกรในรายการเรื่องเล่าเช้านี้อีกครั้ง ซึ่งหากใครที่ติดตามมาโดยตลอด ก็คงเป็นที่ทราบดีอยู่แล้วว่า การคืนจอในรายการเรื่องเล่าเช้านี้ของสาวกุ๊กไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นการกลับมาทำงานหลังจากที่เธอได้ออกไปใช้ชีวิตคู่ดูแลลูกและครอบครัวนั่นเอง

4
ย้อนกลับไปเมื่อปี พ.ศ. 2554 สาวเก่งนักเล่าข่าวแห่งรายการเรื่องเล่าเช้านี้ ‘กุ๊ก กฤติกา’ ได้เข้าพิธีวิวาห์กับนักธุรกิจหนุ่ม ‘วรวิน ขอไพบูลย์’ ซึ่งหลังจากที่แต่งงานไปแล้ว สาวกุ๊กก็ต้องอำลาการเป็นนักข่าวเพื่อทำหน้าที่แม่บ้านแทนชีวิตรักของสาวกุ๊กจะหวานขนาดไหน วันนี้แพรวขอย้อนเวลาหยิบบทสัมภาษณ์ที่เคยได้คุยกับสาวกกุ๊กเมื่อครั้งที่แต่งงงานใหม่ๆ มาให้ชมกันอีกครั้ง ขอบอกเลยว่าคู่นี้เขาดูแลกันและกันดีมากๆ

การโคจรมาเจอกันของหนุ่มโรงงานและผู้ประกาศสาว
กุ๊กเล่าไปยิ้มไปเมื่อเราขอให้เล่าถึงวันแรกพบ “การมาเจอกันของ เราสองคนเป็นเรื่องที่แปลกมากคือ กุ๊กมีโอกาสได้คุยกับพี่หนึ่ง (วีรวัฒน์ ขอไพบูลย์) พี่ชายคนโตของพี่หนุ่มในงานอีเวนต์ที่กุ๊กเป็นพิธีกร จู่ๆ เขาถามขึ้นมาว่าพี่ชายคนหนึ่ง หน้าตาดี แต่นิสัยแย่ กุ๊กสนใจไหม (หัวเราะ) กุ๊กขำจึงตอบกลับไปแบบไม่ได้คิดอะไรว่า โค้งสุดท้ายแบบนี้แล้ว ขอนิสัยดีไว้ก่อนเถอะค่ะ หน้าตาไม่เกี่ยงแล้ว หลังจากนั้นอีกสักสองสามเดือนก็ได้เจอพี่หนุ่มในงานเลี้ยงของ 3K แบตเตอรี่”

แม่สื่อ (ตัวจริง)
“คุณแม่และพี่ชายผมประทับใจกุ๊กก่อน แล้วเขาก็รู้ว่าผมชอบผู้หญิงประมาณนี้ จึงจัดการวางแผนเชิญกุ๊กมากินข้าวที่บ้าน” หนุ่มเป็นฝ่ายตอบบ้าง “ตอนกินข้าวก็นั่งติดกัน ผมจึงคอยตักอาหารให้ ซึ่งกุ๊กกินทุกอย่างหมดเรียบ ผมประทับใจมากว่าผู้หญิงคนนี้กินเก่งจัง (หัวเราะ) มารู้ทีหลังว่า เขากินหมดด้วยความเกรงใจ ผมเริ่มรู้สึกชอบกุ๊กตั้งแต่วันนั้นด้วยความที่เธอไม่มีมาดเลย แต่งตัวสบายๆ หน้าก็ไม่ค่อยแต่ง ผมรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้เป็นธรรมชาติดี พอเขาลากลับ ผมก็เดินไปส่งที่รถ
พอเดินกลับเข้ามาในบ้าน ทุกคนรุมถามว่าขอเบอร์โทร.ไว้หรือเปล่า ผมตอบงงๆ ว่า ต้องขอด้วยหรือ คุณแม่หันมาบอกว่า ไม่เป็นไร แม่มี (หัวเราะ) จากนั้นคุณแม่ก็ฝากให้ผมนำของไปให้กุ๊ก ตอบแทนกระเช้าผลไม้ที่เขาเอามาให้ เรียกว่าช่วยเปิดทางเต็มที่”

2
เดทแรกกับคำถามโดนใจ
“ตอนที่พี่หนุ่มโทร.มาบอกว่า คุณแม่ฝากของมาให้ตอบแทนกระเช้าผลไม้ของกุ๊ก ก็รู้สึกแปลกๆ อยู่บ้าง แต่พอเขาบอกว่าขอเลี้ยงข้าวแล้วพาไปกินข้าวที่ชั้นบนของตึกสเตททาวเวอร์ซึ่งบรรยากาศโรแมนติกมาก กุ๊กเริ่มรู้สึกว่าไม่ธรรมดา จึงตัดสินใจถามเขาว่า ขอโทษนะคะที่ต้องถามตรงๆ แต่พี่หนุ่มกำลังจีบกุ๊กหรือเปล่าคะ คือกุ๊กยังไม่แน่ใจว่าอยากมีแฟนหรือเปล่าเพราะเพิ่งเลิกกับแฟนมา และอีกข้อคือ ถึงแม้จะมีคนรู้จักบ้าง แต่ชีวิตประจำวันของกุ๊กธรรมดามาก กุ๊กไม่คิดว่าตัวเองจะเหมาะสมกับพี่หนุ่มเลย”
หนุ่มหันมาบอกทีมงานว่า “ช็อกมาก ผมไม่เคยเจอใครถามตรงๆแบบนี้ คิดในใจว่าคำตอบมีสองอย่างคือ จีบหรือไม่จีบ ถ้าตอบว่าจีบแล้วเขาไม่ตกลง ผมก็แย่ แต่ถ้าตอบว่าไม่จีบ แล้วมาบอกว่าจีบทีหลังก็ไม่ได้อีก ที่สุดจึงตอบไปว่า ผมสนใจ อยากให้เราได้ศึกษากัน ถ้ารู้จักแล้วดีก็คงเป็นไปเองตามธรรมชาติ แต่หลังจากนั้นสักเดือนกว่าๆ ก็ขอคบอย่างเป็นทางการเลย (หัวเราะ) บอกว่าเราคุยกันมาระยะหนึ่งแล้ว และพี่คิดว่าเราเข้ากันได้ดี อยากจะขอคบกับกุ๊กเป็นแฟน อยากขอโอกาสดูแลกุ๊ก และจะพยายามอย่างที่สุดที่จะไม่ทำให้กุ๊กเสียใจ”

มัลดีฟส์ที่รัก (เกือบผิดแผน)
“ปกติกุ๊กเป็นคนไม่ค่อยเชื่อคำสัญญานะคะ” กุ๊กยิ้มเขิน “แต่กับคนนี้มองย้อนกลับไปตลอดเวลาที่คบกันมา กุ๊กหาเหตุผลที่จะปฏิเสธเขาไม่ได้เลย หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ชวนไปเที่ยวมัลดีฟส์ แต่พอไปถึงสองวันแรกบรรยากาศมาคุมาก ถึงขั้นทำให้กุ๊กรู้สึกว่า เราอาจจะรู้จักกันไม่ดีพอหรือเปล่า เพราะพี่หนุ่มเปลี่ยนไป เขาหอบหนังสือการ์ตูนมาด้วย 20 กว่าเล่ม นอนอ่านแต่การ์ตูน ดูไม่มีความสุข แข็งๆ เกร็งๆตลอดเวลา มารู้ทีหลังว่า เขาอดทนอ่านการ์ตูนรออยู่สองวันเพื่อจะขอกุ๊กแต่งงานในวันที่ 13 เมษา วันสงกรานต์ เพราะจะได้จำวันนี้ได้ตลอดไป” หนุ่มขออธิบายเอง “ผมตื่นเต้นมือเย็นเท้าเย็นอยู่ตลอดสองวันถามตัวเองว่าแน่ใจนะ จนในที่สุดรวบรวมความกล้า ตอนนั้นกุ๊กนอนอ่านหนังสืออยู่ที่ศาลาริมทะเล ตอนเดินออกไปหาเขาผมพยายามคลี่สคริปต์ที่เขียนใส่กระดาษไว้ออกมาอ่าน แต่ปรากฏว่าด้วยความตื่นเต้นมาก จำไม่ได้ตัดสินใจว่าไม่เอาละ ไปมั่วเอาข้างหน้าแล้วกัน”
กุ๊กช่วยเล่า “ตอนนั้นกุ๊กนอนอ่านหนังสือด้วยความเซ็ง พอพี่หนุ่มเดินมาหาแล้วถามว่า‘ที่รักจะดูแลพี่ไปได้จนตลอดชีวิตไหม’ กุ๊กตอบแบบประชดไปว่า พี่หนุ่มทั้งขี้โมโห ขี้งอนขี้น้อยใจ ขี้รำคาญสารพัด ทำไมกุ๊กจะดูแลไม่ได้แต่พี่หนุ่มกลับหยิบแหวนออกมาสวมให้แล้วบอกว่า แต่งงานกันนะ ตอนนั้นกุ๊กอึ้งไปเลยเหมือนสมองถูกกระชากปลั๊กออก จนพี่หนุ่มถามต่อว่า ปกติผู้ชายขอผู้หญิงแต่งงานนี่ ผู้หญิงต้องพูดอะไรบ้างว่า โอเค ไม่โอเค แต่กุ๊กเงียบนี่พี่หนุ่มไม่รู้จะแปลว่าอะไร กุ๊กจึงถามกลับว่าแล้วพี่หนุ่มจะดูแลกุ๊กไปได้ตลอดชีวิตไหม” หนุ่มยิ้มกว้าง “คนอ่านรู้แน่ๆ ว่า ผมตอบว่าอย่างไร”

3
ข้าวก็ใหม่ปลาก็มัน
กุ๊กมองหน้าสามีแล้วยิ้ม “จากที่เราไม่เคยมีใครมาใช้ชีวิตตอนเช้าด้วยนอกจากคุณพ่อพอมีพี่หนุ่มก็มีเพื่อนพาไปใส่บาตร กินโจ๊ก ให้อาหารปลา เวลาว่างก็ชวนไปเที่ยว ชวนไปพัทยาไปเช้าเย็นกลับบ้าง”หนุ่มยิ้มตอบ “ผมกับกุ๊กชอบอยู่บ้านเหมือนกัน มีความฝันเหมือนกันคือมีบ้านสักหลังหนึ่ง ไม่ต้องใหญ่โตมาก ตื่นเช้ามาผมจะทำทำกับข้าวดูทีวีอยู่ด้วยกันสองคนสบาย เงียบๆ เราไม่ชอบเดินห้าง ช่วงคบกันใหม่ๆ ผมพยายามพาเขาไปกินข้าว ไปโน่นไปนี่บ้าง แต่พอนานเข้าก็รู้ว่าจริงๆ แล้วกุ๊กเป็นคนชอบอยู่บ้านเหมือนผมเพราะฉะนั้นช่วงนี้วันเสาร์ – อาทิตย์พอผมชวนว่าไปดูหนังกันไหม กุ๊กจะตอบว่า ขออยู่บ้าน ซึ่งผมก็แฮ็ปปี้ปรับเพื่อเราสองคน
“ผมใจร้อน ขี้รำคาญ เจ้าระเบียบ” หนุ่มสารภาพก่อน “สมมุติประชุมอยู่แล้วมีคนคุยกันผมจะหยุดเลย แล้วถามเขาว่ามีอะไรจะแชร์กับที่ประชุมไหม ดุจนแม่บ้านที่บ้านกลัวกันหมดแต่พอกุ๊กมาอยู่ด้วย ทำให้ได้คุยกันบ้าง เขาก็จะกล้าเข้ามาหาผมมากขึ้น” กุ๊กหัวเราะ “พี่หนุ่มหน้าดุ ทำให้คนที่เข้ามาใกล้เขาจะพยายามเรียบร้อยขึ้นมาทันที ส่วนกุ๊กเหมือนการ์ตูน โก๊ะๆ แล้วเรารู้ว่าจริงๆ เขาใจดีเพียงแต่เล่นกับคนอื่นไม่เป็น พี่หนุ่มนิสัยผู้ชายมาก แสดงออกน้อยทั้งที่เขาอยากเทคแคร์ดูแล แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร กุ๊กได้เห็นเขาในมุมที่คนอื่นไม่ค่อยได้เห็น เวลาอยู่ด้วยกันกุ๊กจึงเหมือนดึงด้านที่น่ารักของเขาออกมาได้ ทำให้บรรยากาศดูดีขึ้น ค่อยๆ ให้เขาปรับใช้กับคนรอบข้างเขาเองก็ดูมีความสุขมากขึ้น กุ๊กได้เห็นชัดเจนว่า ที่เขาเคยพูดว่าจะพยายามปรับตัว ทำทุกอย่างเพื่อให้เราสบายใจนั้น เขาทำจริงๆ จนตอนนี้นอกจากเพื่อนสนิทกุ๊กที่คบกันมาเป็นสิบปีแล้ว พี่หนุ่มเป็นคนเดียวที่จับอาการได้เวลากุ๊กไม่ชอบอะไร ซึ่งคนอื่นจับไม่ได้”
หนุ่มปิดท้าย “จริงๆ แล้วกุ๊กดุนะ แต่ไม่เคยโวยวายเสียงดัง เวลาโมโหจะนิ่งๆ ความที่ผมเป็นห่วงความรู้สึกเขามาก แค่เสียงเปลี่ยนนิดหนึ่งผมก็จะจับได้ แล้วจะถามทันทีว่ากุ๊กไม่สบายใจอะไรหรือเปล่า ไม่ใช้วิธีการเดาใจ เพราะฉะนั้นเราสองคนจึงไม่เคยทะเลาะกัน“ผมรู้สึกว่าครอบครัวคือการอยู่ด้วยกันเป็นทีม ทุกคนที่อยู่ในทีมควรจะมีความสุข แล้วชีวิตเราก็จะมีความสุข”

 

เรียบเรียง : sriploi
ที่มา : คอลัมน์ Live Stories นิตยสาร แพรว ปีที่ 32 ฉบับที่ 755 (10 ก.พ. 54)

Praew Recommend

keyboard_arrow_up