ชาคริต แย้มนาม

เปิดหมดเปลือก “ชาคริต แย้มนาม” ถอดเขี้ยวเล็บเกลี้ยง แฮ็ปปี้กับชีวิตแฟมิลี่แมน

Alternative Textaccount_circle
ชาคริต แย้มนาม
ชาคริต แย้มนาม

“ผมเชื่อว่าเวลาและตัวตนของเราจะพิสูจน์ทุกอย่างเอง เพราะบางเรื่องเมื่อเกิดขึ้นและถูกตัดสินไปแล้ว ต่อให้มาแก้ทีหลังก็กลายเป็นสิ่งที่ติดตัวเราไปแล้วอยู่ดี” เป็นคำพูดของ ชาคริต แย้มนาม นักแสดง นักธุรกิจ นักชิม นักสร้างสรรค์อาหาร ที่เปิดใจกับ แพรว ก่อนนำไปสู่เรื่องราวแมนๆ ตามแบบฉบับของเขา

ชาคริต แย้มนาม

เรื่องพีคของ “ชาคริต”

“ช่วงเรียนไฮสกูล ผมคบคนนั้นทีคนนี้ที พอเบื่อก็เลิก ให้เหตุผลกับตัวเองว่า เพราะเรายังไม่ได้เลือกใครก็มีสิทธิ์ทำแบบนั้นได้ แต่ลึกๆ ในใจเวลาที่ผมทำ อะไรแบบนั้น จะเห็นภาพของแม่ที่เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวเหนื่อยยากเลี้ยงดูเรามา ทำให้รู้สึกผิดกับตัวเอง

“หลังจากนั้นผมเปลี่ยนเป็นมีแฟนทีละคน ส่วนจะเลิกช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับตอนที่คบและประคองกันไป บางช่วงเลิกไป 2-3 ปี โดยที่ผมไม่มีใครเลยก็มี ตอนนั้นคิดว่าแฟนไม่ใช่ปัจจัยสำคัญ ผมชอบดื่มสังสรรค์ เฮฮากับเพื่อนสนิทที่คบมาตั้งแต่เด็กมากกว่า”

ไม่ล้อเล่นกับความรัก

“เพื่อนสนิทจะรู้ว่าผมอยากแต่งงานมีครอบครัวมาตลอด พอโตขึ้นจึงตั้งใจและซีเรียสกับการมีความรัก จนอาจไม่ได้คิดถึงความพร้อมไม่พร้อม หรือไม่ได้คิดว่าอีกฝ่ายเขาอินกับเราขนาดนั้นด้วยไหม จนบางครั้งนำไปสู่การทะเลาะมีปากเสียง ไม่เข้าใจ หรือกลายเป็นความรักที่เครียดเกินไป เพราะเราจริงจัง คาดหวัง จนกลายเป็นการบั่นทอนบางอย่างที่ยังไม่ถึงเวลา แต่นั่นเพราะผมไม่เคยเอาความรักมาล้อเล่น”

ชาคริต แย้มนาม

รักนี้ที่รอคอย

“ผมรู้จักกับแอน (ภัททิรา รุ่งโรจน์) เพราะของกินมั้ง (หัวเราะ) จากการทำงานด้วยกัน แอนชอบมากองถ่ายพร้อมกับของกินอร่อย ๆ ให้กับทุกคน ซึ่งถูกใจ นักกินอย่างผมมาก พองานจบต่างคนต่างแยกย้าย แต่เพราะเช็คใบเดียว ทำให้เราได้กลับมาคุยกัน เพราะผมโทร.ไปถามแอนว่า ‘เช็คออกยัง’ เขาหัวเราะขำ บอกว่ากำลังทำให้ แล้ว ก็ได้คุยกันต่อว่าเป็นอย่างไร ทำอะไรอยู่ ส่วนใหญ่จะคุย กันขำ ๆ กวน ๆ กัดกันบ้าง หลังจากนั้นเป็นการโทร.คุย มาเรื่อย ๆ ไม่มีการจีบ เหมือนเป็นเพื่อนที่เข้าใจชีวิตกัน มากกว่า เพราะเขาอายุน้อยกว่าผมสองปี

“แรก ๆ ที่คุย ต่างคนต่างรู้ว่าชอบกัน แต่พยายาม ปฏิเสธความรู้สึกทั้งคู่ เพราะผมเองเพิ่งเจอเรื่องใหญ่มา และน่าจะถูกเพ่งเล็งอยู่ ทำให้รู้ว่าผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ไม่เบาแน่ ตอนนั้นข่าวดีสำหรับผมคือการไม่มีข่าว — ‘Good News is No News’ เหมือนจะเป็นเรื่องยากที่จะ ทำให้คนมองว่าเราก็มีชีวิตปกติ

“ดังนั้นถ้าจะเริ่มต้นใหม่ ก็อยากรักษาให้ดีที่สุด จึงไม่ได้บอกหรือป่าวประกาศว่ามีแฟน เพราะอยากรักษา ความเป็นส่วนตัวของชีวิตเขาให้มากที่สุด กลัวเหลือเกินว่า พอเป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวผม ซึ่งชีวิตเป็นเหมือนระเบิดเวลา ไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าดีก็ดีไป ถ้าโดนข่าวอีก ใครเขาจะทนอยู่กับเรา ผม ไม่อยากให้เขาและครอบครัวช็อกจนกว่าจะถึงเวลา ผมบอกเขาว่าเป็นแฟนผม ยากนะ ชีวิตจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ซึ่งก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ แค่ข้ามคืนเท่านั้น ชีวิตเขาเปลี่ยนจนครอบครัวงงว่าเป็นชาวบ้านทำสวนอยู่เมืองจันท์ ทำไมถึงมี คนมาสนใจ

“โชคดีที่ครอบครัวเขาเปิดรับและมองผมแบบที่เป็นตัวตนจริง ๆ ไม่ได้ ฟังจากข่าวหรือคนอื่นซึ่งอาจมีอิทธิพลทำให้เขวได้ แรก ๆ ยังเป็นห่วงว่าเขา จะเปิดใจรับไหม เพราะเราบริสุทธิ์ใจเต็มที่ ต่อให้พ่อเขาดุแค่ไหน เราต้องทำให้ ถูกต้อง แต่กลายเป็นว่าผู้ใหญ่เอ็นดูและช่วยเหลือผมมาตลอด”

ชาคริต แย้มนาม

อัพเดตชีวิตพ่อลูกอ่อน

“เมื่อก่อนความสุขของผมคืองาน ทำงานปีละกว่า 300 วัน ทำงานถึง ตีสองตีสาม กลับบ้านมาสลบ วันไหนว่างก็ไปหาแม่หรือไปเที่ยว ไม่ค่อยได้ วางแผนอนาคตว่าจะใช้ชีวิตให้มีความสุขอย่างไร คิดแต่ว่าถ้าอีกหน่อยหมดวัย จะแสดงเป็นพระเอกก็รับบทพ่อได้ ไม่ซีเรียส

“จนกระทั่งมีครอบครัว มีลูก (น้องโพธิ์) ทำให้คิดว่าต้องให้สิ่งที่ดีที่สุดกับ ลูก เป็นสามีและหัวหน้าครอบครัวที่ดี จากที่เคยคิดว่าแสดงบทพ่อก็ได้ คงไม่ใช่ ความมั่นคงในชีวิตให้ลูกและภรรยา จึงเริ่มโฟกัสกับการทำธุรกิจที่จะสร้างความ มั่นคงให้พวกเขา ต้องแบ่งเวลางานบันเทิง การทำธุรกิจ และชีวิตครอบครัว ให้สมดุล ทุกวันนี้พอเลิกงานแล้วอยากรีบกลับบ้าน ถ่ายละครกลับถึงบ้าน สี่ห้าทุ่ม ตอนเช้าโพธิ์จะเดินมากระซิบข้างหูเรียก ‘Daddy’ จับหน้าจับตา พอเรา ลืมตาตื่นเห็นเขายิ้มหวานให้แค่นี้ชื่นใจแล้ว

“ผมว่าพ่อแม่ 99 เปอร์เซ็นต์มีความหลงลูกหมดแหละ ของผมไม่รู้ จะเรียกว่าพ่ออวดลูกไหม แต่เวลาอยู่ในกองถ่ายหรือพอใครถามถึงลูก ผมจะ เปิดคลิปให้ดู (ยิ้ม)

“วันไหนว่างจะพาลูกไปว่ายน้ำ ทำกิจกรรมต่าง ๆ หรือถ้าว่างมากกว่าสองวัน จะพาลูก – ภรรยากลับสวนที่จันทบุรี เพราะผมก็มีที่ดินอยู่ที่อำเภอโป่งน้ำร้อน แต่ไม่เคยทำอะไร จนได้ภรรยาเป็นคนจันทบุรี เหมือนเบื้องบนมาดลให้ได้กลับสู่ ธรรมชาติที่เคยเป็นความสุขของเรา เมื่อก่อนอาหนิง (นิรุตติ์ ศิริจรรยา) เคย ชวนไปทำสวนที่จันท์ แต่เรายังตะบี้ตะบันทำงานอยู่ พอตอนนี้ครอบครัวสมบูรณ์ ทำให้อยากพาลูกกลับไปสู่วิถีชีวิตที่ครอบครัวเราเป็น ให้ลูกได้รู้จักบ้านเกิดของแม่ ได้สัมผัสธรรมชาติที่มีคุณค่า เพราะบ้านภรรยาก็ทำสวน ตอนนี้ผมเริ่มปลูกทุเรียน มังคุด ฯลฯ อนาคตอาจทำเป็น รีสอร์ตเล็ก ๆ ให้คนมาเที่ยวพักผ่อนแล้วได้เก็บผลไม้กินด้วย

“ผมโตมากับครอบครัวที่พ่อแม่อยู่คนละที่ แม่ จึงเป็นซิงเกิ้ลมัมดูแลลูกโดยพยายามเติมเต็มให้ทุกอย่าง แต่ความเป็นเด็กย่อมหนีไม่พ้นที่จะคิดว่าทำไมเราจึงไม่มี พ่อแม่อยู่ครบ เห็นความเหนื่อยยากลำบาก ความอดทน ของแม่ ทำให้ผมบอกตัวเองมาตลอดว่า ถ้ามีครอบครัว เราอยากดูแลให้เต็มที่และทำให้ดีที่สุด ประสบการณ์ชีวิต ที่ผ่านมาบางครั้งเราไม่สามารถเลือกได้ อาจเคยพบ คนที่เหมือนใช่ แต่ก็ไม่ใช่ แล้วก็ผ่านไปเป็นประสบการณ์ วันนี้ผมไม่รู้หรอกว่าวันหน้าจะเป็นอย่างไร แต่ถ้าต้องการ ให้ปลายทางสมบูรณ์ เราต้องเริ่มทำตั้งแต่วันนี้”

ชาคริต แย้มนาม

ชาคริตในวันที่ถอดเขี้ยวเล็บเป็น “แฟมิลี่แมน”

“ต้องขอบคุณที่มีคนเห็นว่าเราถอดเขี้ยวเล็บ เปลี่ยนมาเป็นแฟมิลี่แมน ซึ่งผมคงต้องยอมรับโดยดีว่า ‘ใช่…ถอด แล้ว’ (เสียงอ่อย) ไม่รู้จะพูดอะไรดีไปกว่านี้ ทั้งที่นี่คือตัวตน ที่แท้จริงของผม ซึ่งรอวันมีครอบครัวแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก เมื่อก่อนผมค่อนข้างเก็บตัว ถ่ายละครเสร็จกลับบ้าน หรือไม่ ก็เจอเพื่อนที่คบมาตั้งแต่เด็ก ไม่ค่อยได้สังสรรค์กับเพื่อน นักแสดงหรือออกงานสังคม ซึ่งยิ่งเรามีความเป็นส่วนตัว เท่าไหร่ คนยิ่งอยากรู้จักตัวตนที่แท้จริงเรามากเท่านั้น กว่า คนจะเข้าใจแบบวันนี้ผมก็เจอข่าวเยอะมาก จนเหมือนเป็น แพ็คเกจคู่กับการเป็นนักแสดงไปแล้ว

“ผมไม่เคยคิดว่าต้องแก้ข่าว เราเป็นคนตรง ๆ แบบนี้ คิดว่า ‘เวลา’ และ ‘ตัวตน’ ของเราจะเป็นสิ่งที่พิสูจน์เอง แต่อาจใช้เวลาหน่อย ยังเคยนั่งคุยขำ ๆ กับพี่ สื่อมวลชนที่เคยไม่เข้าใจกัน แต่ทุกวันนี้สนิทกันว่า ‘ก็พวกพี่ตั้งฉายาให้ผมเอง แล้วจะให้ผมไปแก้อะไรตรงไหน…วะ’ (หัวเราะ) เพราะบางเรื่องเกิดขึ้นและถูกตัดสิน ไปแล้ว ต่อให้มาแก้ทีหลังก็กลายเป็นสิ่งติดตัวเราอยู่ดี ซึ่งนักแสดงทุกคนที่ตก เป็นข่าวล้วนทุกข์ใจและรู้สึกกดดันตัวเองนะ อย่างนักแสดงต่างประเทศบางคน ถึงขั้นฆ่าตัวตายไปก็มี ส่วนหนึ่งก็มาจากการที่สังคมอาจจะไม่ได้คิดว่าบางสิ่งบางอย่าง ไม่ใช่เรื่องเล่น แต่มีผลกระทบกับชีวิตคนจริง ๆ ผมโชคดีที่อดทนผ่านเหตุการณ์ ต่าง ๆ เหล่านั้นมาได้ ต้องขอบคุณทุกคนที่เปิดใจ เข้าใจในเวอร์ชั่นที่เราเป็น”

ไม่ Perfect! แต่ขอทำหน้าที่ลูก + สามีและเป็นคุณพ่อให้ดีที่สุด

“ทุกวันนี้ภรรยาดูแลผมดีมาก ตื่นเช้ามามีอาหาร วิตามิน เตรียมให้ตลอด พร้อมกับดูแลลูกด้วย ไม่เคยบกพร่องในหน้าที่ภรรยาและแม่ ที่สำคัญสุดคือ เขาช่วยทำหน้าที่อีกครึ่งหนึ่งของผมในฐานะการเป็นลูกด้วย เนื่องจากคุณแม่ผม ป่วยด้วยโรคเส้นเลือดในสมองตีบเข้าปีที่สี่แล้ว

“ช่วงแรกที่ท่านป่วย ผมคิดว่าการจะมีชีวิตคู่กับใครคงยาก และผมเพิ่งผ่าน ชีวิตที่ไม่สมหวังมา เห็นสัจธรรมในชีวิตมากขึ้น ทำให้ไม่กล้าคิดหรือหวังว่าจะพบ คนที่เข้าใจ เพราะคุณแม่คือทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับผม พอท่านเป็นแบบนี้ เราได้แต่ หวังว่าอาการจะดีขึ้น แม่เคยบอกผมตั้งแต่เด็กว่าถ้าแม่เป็นแบบนี้ให้ถอดปลั๊กเลย เพราะท่านเคยเป็นเวิร์คกิ้งวูแมน ถ้าต้องป่วยด้วยอาการแบบนี้แล้วรับไม่ได้ ไม่อยากมีชีวิตอยู่ สองปีแรกของการรักษาจากเดินได้กลายเป็นเดินไม่ได้ พูด ไม่ได้ ไม่ยอมกินอาหาร ไม่ยอมอาบน้ำ นอนติดเตียง เพราะเขาตั้งใจทำตัวเอง แบบนั้น คือไม่อยากเป็นภาระลูก ส่วนผมรู้สึกบั่นทอนตัวเองมาก เพราะยิ่งเรา ทำงานหนักเพื่อหาเงินมารักษาแม่ ก็ยิ่งโกรธตัวเองที่ไม่มีเวลาดูแลท่าน

“แต่พอเริ่มรู้จักแอน คบกันได้พักหนึ่ง เขาเข้ามาช่วยดูแลโดยที่เราไม่กล้า คิดอะไรทั้งนั้น ไม่คิดที่จะทดสอบเขาด้วยว่าจะทำได้นานแค่ไหน หรือคิดเข้าข้าง ตัวเองว่าเราโชคดีจังเลย ผมคิดแต่ว่าต้องทำให้ดีที่สุด เขายังพูดกับผมเล่น ๆ ว่า ‘ถ้าเรามีตัวเล็ก หม่ามี้อาจดีขึ้นก็ได้นะ’ ผมยังบอกว่าจะบ้าเหรอ มีลูกไม่ใช่ เรื่องเล่นนะ ถ้าจะมีลูกก็เพราะเรารักกันและพร้อมที่จะมี ไม่ใช่มีลูกเพื่อรักษาแม่ เท่านั้นแหละ…‘พี่โพธิ์’ มาเลย พอเราเป็นครอบครัวแล้ว ช่วงไหนผมทำงาน แอน จะพาหลานไปพบคุณย่า ทำให้พัฒนาการท่านดีขึ้น มีกำลังใจที่จะมีชีวิตอยู่ วันไหนผมว่างก็ไปพบท่านเพื่อเติมเต็มความรู้สึก หรือต่อให้วันไหนที่ผมติด งานแสดง แอนต้องทำธุรกิจที่ผมเซตขึ้นมา คุณยายจะช่วยพาหลานไปหาคุณย่า เรียกว่าทุกคนในครอบครัวมีบทบาทเข้ามาช่วยเติมเต็มในชีวิต ทำให้รู้สึกว่า ผมโชคดีที่มีครอบครัวสนับสนุน

“ยิ่งแอนและครอบครัวเขาเป็นอย่างนี้ เรายิ่งต้องทำให้ทุกคนมีความสุขที่สุด เดินและสู้ไปด้วยกัน ทุกวันนี้บางวันผมตื่นมาแล้วมีความเศร้ารออยู่หลายอย่าง ทั้งเรื่องคุณแม่ป่วย เรื่องค่าใช้จ่ายที่บางครั้งมีผลกระทบกับความเป็นอยู่ในครอบครัว แต่สิ่งเดียวที่ผมคิดคือ ทำอย่างไรที่จะพยุงกันไปให้ได้ และมีกำลังใจเดินหน้าต่อ บางครั้งทำงานอยู่ มีวิดีโอคอลมาจากลูก เรียก ‘แดดดี้’ แค่นี้เราแฮ็ปปี้แล้ว หรือ บางทีทำงานแล้วจิตกำลังดิ่ง มีรูปลูกอยู่กับคุณย่าส่งมาทำให้เรามีกำลังใจ ซึ่ง ตอนนี้อาการคุณแม่ดีขึ้น เหมือนเป็นปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นกับครอบครัวเรา ฉะนั้น แทนที่จะทุกข์หรือเศร้ากับชีวิต กลับกลายเป็นผมเห็นสัจธรรมว่า นี่แหละคือ การร่วมทุกข์ร่วมสุข การเป็นครอบครัวสมบูรณ์ที่เดินไปด้วยกัน”

ชาคริต แย้มนาม

ไปให้สุดแล้วหยุดที่ “เธอ”

“ชีวิตที่ผ่านมาผมจริงจังกับความรักและพยายามทำให้ดีที่สุดทุกครั้ง แต่ กับแอนคือความเรียบง่ายไม่ซับซ้อน เขาเปิดใจและยอมรับความเป็นผม ผมเอง ก็ยอมรับได้ในความเป็นเขาโดยไม่มีข้อแม้ใด ๆ คติประจำใจผมตั้งแต่สมัยวัยรุ่น คือ เวลาคนเราดีใส่กัน ใคร ๆ ก็ชอบทั้งนั้นแหละ แต่เวลาที่เป็นเราในเวอร์ชั่นแย่ ที่สุด ซึ่งเป็นสิ่งที่เราไม่ได้เจตนาให้เกิด เขาจะเข้าใจและให้อภัยได้ไหม ซึ่งแอน มีให้ผม ทำให้ผมรู้สึกว่า ถ้าไม่มีเขาเหมือนเราอยู่ไม่ได้ ไปไม่เป็น ทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้จะเริ่มตรงไหน เหมือนชีวิตหายใจแล้วโหวง ๆ บวกกับสองปีที่ใช้ชีวิต ร่วมกันมา เราสองคนไม่ได้มีแต่ความสุขอย่างเดียว แต่ยังได้ร่วมทุกข์ คอย ช่วยเหลือให้กำลังใจกันทุกอย่างด้วย

“ทำให้ผมรู้ว่าชีวิตคู่ไม่ใช่แค่การเป็นคู่กันแล้วจะอยู่ด้วยกันได้ตลอด หรือ โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป ต้องมีทะเลาะ มีขึ้นมีลง หรืออาจถึงจุดแตกหัก อยู่ที่ว่าความรักหรือความเป็นคู่ของเราแข็งแรงพอที่จะปรับให้อยู่ด้วยกันได้ไหม ประสบการณ์ชีวิตผมที่ผ่านมาไม่สามารถรักษาตรงนั้นไว้ได้ด้วยเหตุผลหลายอย่าง แต่กับแอน…ผมค่อนข้างแน่ใจตั้งแต่แรกว่าอยากดูแลเขาให้ดีที่สุด ช่วยกันคิด วางแผนชีวิต เริ่มสร้างจากศูนย์ นับหนึ่งไปด้วยกัน

“เมื่อเรามีลูกจึงกลายเป็นความเหนื่อยที่มีคุณค่า เป็นวันที่เราสามคนจับมือ เดินไปด้วยกันอย่างภาคภูมิใจ”


 

ที่มา : นิตยสารแพรว ฉบับ 954

ภาพ : @shahkrit

Praew Recommend

keyboard_arrow_up