คุณพลอย – สมิตดา หงสกุล Co-founder, Marketing Director ร้านวัวนู้ด เคยถูกไฟลวกอาการ สาหัส ต้องรักษาตัวอยู่โรงพยาบาลนานกว่า 6 เดือน ช่วงเวลานั้นเธอต้องผ่านความยากลำบากทั้งจาก การรักษาและสภาพจิตใจที่ย่ำแย่
“วันน้ันพลอยใส่เดรสยาวไปปาร์ตี้กับเพื่อนที่ร้านอาหารแห่งหน่ึง ระหว่างเดินเข้าร้านไม่ได้สังเกตว่ามีแก้วใบเล็ก ๆ จุดเทียนตั้งไว้ชิดกับกำแพง มารู้ตัวก็ตอนที่ชายกระโปรงติดไฟเข้าแล้ว โชคร้ายที่เนื้อผ้ามีส่วนผสมของพลาสติกเยอะ ไฟจึงติดเร็วมาก คนรอบข้างก็ตกใจ
ตะโกนว่ามีคนโดนไฟไหม้ วินาทีนั้นคือพลอยสติหลุดรีบวิ่งเข้าห้องน้ำ เพราะคิดอย่างเดียวว่าไฟไหม้ต้องดับด้วยน้ำ ซึ่งขณะนั้นไฟลามขึ้นมา ตามตัวแล้ว พอไปถึงห้องน้ำไม่มีสายฉีดชำระ ส่วนตรงอ่างล้างหน้าเป็น ระบบอัตโนมัติ ต้องใช้มือรอง น้ำจึงจะไหล ซึ่งก็ออกมาน้อยมาก
ตัวพลอยแสบร้อนจนร้องกรี๊ดเสียงดัง พอดีกับที่คนในร้านตามมาใช้ถัง น้ำแข็งสาดที่ตัวพลอย 2 ถัง ไฟจึงดับ ต้องขอบคุณเขามากๆมาคิด ได้ทีหลังว่าถ้าเรามีสติ จริง ๆ แค่ถอดเสื้อออกหรือกลิ้งกับพื้น ไฟก็จะดับเองได้
ระหว่างทางไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด พลอยให้เพื่อนโทรบอก ครอบครัวและแฟน ความที่ปวดแสบปวดร้อนมาก พอถึงห้องฉุกเฉินจึงร้องขอยาสลบ คือทำอย่างไรก็ได้ที่จะไม่ต้องรู้สึกเจ็บมารู้ทีหลังว่า อาการพลอยคือโดนไฟลวก 40 เปอร์เซ็นต์ ไล่ตั้งแต่ข้อเท้าขึ้นมา จนถึงสะโพก แขน หลัง รวมทั้งผมด้วย
เบื้องต้นคุณหมอพันแผลไว้ให้ ครอบครัวปรึกษากันว่าจะย้ายพลอยไปรักษาที่โรงพยาบาลจุฬาฯ แผนก Burn Unit (ศนูยไ์ฟไหมน้ำ้รอ้นลวก) เพราะมีคุณหมอที่เชียวชาญด้านนี้โดยเฉพาะ
พลอยต้องอยู่ในห้องปลอดเชื้อ มีกระจกกั้น และห้ามเยี่ยม เพราะแผลไฟไหม้ติดเชื้อง่ายมาก วิธีการรักษาระยะแรกคือ ต้องรีบล้างแผลและทำให้แผลปิดเร็วที่สุด โดยใช้แผ่นแปะฆ่าเชื้อโรคติดลงบนแผล จากนั้นก็พันปิดแผลไว้ซึ่งจะเจ็บมาก คุณหมอจึงต้องใช้ยาสลบช่วย พอรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาจะแสบมากค่ะ แล้วต้องทำอย่างนี้ทุกสัปดาห์ ชีวิตต้องปรับตัวใหม่ทุกอย่าง ส่วนใหญ่นอนนิ่ง ๆ บนเตียง ขยับแทบไม่ได้
ส่วนอาหารคุณหมอให้กินไข่ต้มเฉพาะไข่ขาววันละ 9 ฟองเพื่อช่วยให้แผลปิดตัวได้ดียิ่งขึ้น อาหารทั่วไปกินได้ แต่มีข้อแม้ว่าต้อง ปรุงสุก ห้ามกินซีฟู้ดหรือของดิบเพราะเสี่ยงติดเชื้อ ทางบ้านสามารถทำอาหารมาให้กินได้ แต่ต้องทำตามกฎของหมอ ตอนนั้นพี่สาวกับ น้องสาวก็น่ารักมาก พยายามสรรหาเมนูไข่ขาวมาให้พลอยกินตลอด
“ส่วนเรื่องยาต้องกินหลายอย่าง ที่พอจำได้คือวิตามินและ แมกนีเซียม เพราะสูญเสียไปเยอะ ที่สำคัญคือ ยาแก้ปวดและมอร์ฟีน
ซึ่งจะอย่ใูนการดูแลของคุณหมอว่าควรให้ยาแก้ปวดประเภทใด ปริมาณ แค่ไหน
นอกจากนี้พลอยยังต้องกินยานอนหลับร่วมด้วย เพราะหลังจากเกิดเหตุการณ์ใหม่ๆ นอนไม่หลับเลยค่ะ เป็นผลจากความเครียด ต้องปรึกษาจิตแพทย์
ช่วงแรกๆ ฝันร้ายถึงเหตุการณ์บ่อย หรือบางครั้ง ได้กลิ่นผมไหม้ บวกกับที่ครอบครัวเข้าเยี่ยมไม่ได้ จึงเหงาและคิดถึงทุกคนมาก ทำได้แค่โทรศัพท์กับเห็นหน้ากันผ่านกระจกใจอยากจะกลับบ้านมาก แต่ไม่รู้ว่าจะได้กลับเมื่อไหร่ คุณหมอบอกว่าต้องดู สภาพของแผลไปเรื่อยๆ ว่าฟื้นฟูได้ขนาดไหน ช่วงนั้นเครียด ร้องไห้ หนักมาก
สองเดือนผ่านไปคุณหมอเปลี่ยนวิธีล้างแผลโดยไม่ใช้ยาสลบ เพราะถึงจุดหนึ่งถ้าร่างกายโดนยาสลบเยอะเกินไปจะไม่ดี ใช้วิธีฉีดยา Ketamine ซึ่งยาตัวนี้ทำให้มีอาการเบลอ รวมทั้งให้มอร์ฟีนและยาชา ผ่านสายน้ำเกลือ
จากนั้นก็ล้างทำความสะอาดแผลเหมือนเดิม แม้จะมียาช่วย แต่ก็ยังเจ็บมาก ๆ อยู่ดี ยิ่งพอหายชา รู้สึกตัวเต็มที่จะแสบมากๆ เป็นอย่างนี้ทุกสัปดาห์ ตอนนั้นพลอยและครอบครัวคุยกับคุณหมอถึงวิธีการรักษาให้แผลปิดได้ดียิ่งขึ้น คุณหมอแนะนำให้ทำสกินกราฟต์ (Skin Graft) หรือการผ่าตัดปลูกผิวหนัง โดยไถผิวหนังจากบริเวณที่มีเนื้อเยอะๆ เช่น น่องหรือหนังศีรษะ ซึ่งเป็นส่วนที่ ผิวหนังยืดขยายได้กว้างมาแปะบนแผล ถ้าไม่ทำวิธีนี้แผลจะไม่สามารถปิดได้ เพราะแผลมีขนาดใหญ่ โดยเฉพาะบริเวณสะโพกและขา
พลอยว่าที่ยากที่สุดคือวันที่ต้องโดนโกนผม ตอนนั้นมีสติทุกอย่าง แต่ใจไม่แข็งพอ แม้หมอจะบอกว่าข้อดีของการใช้หนังศีรษะ คือไม่มีแผลเป็น แต่เราเป็นผู้หญิงที่ไว้ผมยาวมาตลอด จู่ ๆ ต้องหัวโล้นก็ใจเสียนะคะ กลัวผมจะไม่งอก แม้คุณหมอจะยืนยันว่า
อย่างไรก็งอก เพราะจะไถหนังศีรษะเพียง 2 ครั้งเท่านั้น (ถ้าไถ 3 รอบ อาจจะทำให้ผมไม่ขึ้น) แต่พลอยก็กลัวอยู่ดี สุดท้ายคือต้องตัดใจ ซึ่งถึงเวลาจริงก็หัวโล้นอยู่ไม่กี่เดือนค่ะ และพอผมขึ้นก็ปิดรอยแผลเป็นหมด ส่วนที่น่องใช้เวลาฟื้นฟูผิวหนังที่โดนไถไปประมาณ 4 เดือน แต่มีแผลเป็นรูปสี่เหลี่ยมจาง ๆ ให้เห็น
ช่วงที่รักษาตัวพลอยต้องฝึกเดินด้วย สาเหตุเพราะเรานอนนิ่งๆ มาตลอด แม้จะทำกายภาพยกแขนขาบ้าง แต่พอไม่ได้เดินนานก็เหมือนจะลืมวิธีการเดินไป ประกอบกับพลอยชอบฝันว่าตัวเองเดินไม่ได้ มันทำให้กลัวไปอีกว่าจะเป็นเหมือนในฝัน กลัวว่าตัวเองจพิการ เพราะเห็นเพื่อนที่นอนเตียงข้างๆ โดนตัดขา ตัดแขน ก็กลัวจะโดนด้วย อีกอย่างคือถ้าเดินได้ก็กลัวเดินไม่ปกติ
เพราะฉะนั้น พอแผลเริ่มดีขึ้นจึงฝึกลุกขึ้นนั่ง ซึ่งต้องทำแบบค่อยเป็นค่อยไป เพราะเจ็บแผลมากที่ยากที่สุดคือตอนฝึกเดินค่ะ พลอยไม่กล้าลงน้ำหนักเพราะกลัวเจ็บแผล แล้วพอกล้าเดินแบบยอมลงน้ำหนักได้แค่สองก้าวก็เป็นลมเพราะเจ็บ แต่วันต่อๆ มาก็ฝืนลุกขึ้นมาฝึกเรื่อยๆ
คุณหมอให้พลอยถือวอล์คเกอร์เดินในห้อง ตอนนั้นคุณตาก็มาให้กำลังใจให้ฝึกเดินไปหาท่าน (ยิ้ม) ฝึกอยู่นานมาเดิน คล่องขึ้นก็คือช่วงที่เกือบออกจากโรงพยาบาลแล้ว ซึ่งพลอยอยู่โรงพยาบาล ทั้งหมด 6 เดือนครึ่ง ต้องลาออกจากงานที่ทำกราฟิกดีไซเนอร์
ตอนที่ออกมาอยู่ที่บ้านแผลส่วนใหญ่ดีขึ้นมาก มีบางส่วนที่ยังปิดไม่สนิท เป็นรอยแดงๆ ต้องกลับมาเช็ดแผลต่อ โดยเฉพาะตรงสะโพกกับหลัง ที่ยากคือ พลอยต้องใส่ชุดรัดแผลที่เรียกว่า Pressure Garment ด้วย เป็นชุดยางยืด แขนขายาว เหมือนชุดในหนัง Star Trek เพื่อรัดแผลไม่ให้นูน ก่อนใส่ต้องทาวาสลีนให้ผิวชุ่มชื้นและต้องใส่ 23 ชั่วโมงติดต่อกัน ถอดแค่ตอนอาบน้ำเท่านั้น
พลอยต้องใส่ชุดนั้นทุกวันนาน 3 ปี ทั้งอึดอัดและเหนียวเหนอะหนะ จึงต้องทำความสะอาดร่างกายให้ดี เวลาอาบน้ำต้องใช้สบู่ฆ่าเชื้อโรค จากนั้นก็มียาฆ่าเชื้อเป็นแผ่นกระดาษแปะลงไปบนแผลแล้วค่อยพันผ้า โดยคุณแม่กับน้องสาวช่วยดูแล ถึงเวลานัดก็ไปเช็กร่างกายที่โรงพยาบาลตลอด
นอกจากนี้พลอยให้นักกายภาพมาช่วยนำออกกำลังกายที่บ้านด้วยเพราะ สุดท้ายแล้วแผลจากการโดนไฟไหม้ส่วนใหญ่จะกลายเป็นพังผืดและต้องโดนผ่าตัด แต่ใจไม่อยากโดนผ่าอะไรอีก จึงต้องขยับตัวบ่อยๆ รวมทั้งจ้างครูสอน โยคะมาสอนด้วย เน้นท่ายืดตัวง่ายๆ เพื่อไม่ให้แผลติดกัน ซึ่งกว่าแผลจะ ปิดสนิทจริง ๆ คือ 3 – 4 เดือนหลังจากกลับมาอยู่ที่บ้าน
ที่ต้องดูแลมากกว่าร่างกายคือสภาพจิตใจ พลอยกลับมาอยู่บ้านร้องไห้ บ่อยกว่าตอนอยู่โรงพยาบาลอีก เหมือนเรากลับมาอยู่ในชีวิตจริงแบบว่างเปล่า ไม่มีงานทำ ไม่มีจุดหมาย จะกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิมไม่ได้คือแต่ก่อนพลอย ชอบปาร์ตี้ เล่นกีฬา กินข้าวกับเพื่อ แต่ช่วงพักฝื้นต้องเก็บตัวอยู่บ้าน
อีกเรื่องที่กลัวมากคือแผลเป็น 3 ปีผ่านไปแม้จะครบกำหนดถอดชุดรัดแผลแล้วก็ยัง ไม่กล้าใส่เสื้อที่เปิดผิว ต้องใส่เสื้อแขนยาว เพราะไม่อยากให้ใครเห็นแผลเป็น ซึ่งไม่ใช่ตัวเองและไม่มีความสุขเลย ช่วงแรกพลอยพยายามไปทำเลเซอร์ลบรอยแผลเป็น แต่มันไม่มีทางหายสนิทแน่นอน ใช้ชีวิตไม่มั่นใจอย่างนั้นอยู่ 2 ปี จนถึงจุดเหนื่อย คุยกับตัวเองว่าควรพอได้แล้ว
ความมั่นใจกลับมาอีกครั้งหลังจากที่พลอยเปลี่ยนทัศนคติค่ะ พลอยเสิร์ช อ่านเรื่องของคนที่โดนไฟไหม้ว่าเขาฟื้นตัวเองอย่างไร จึงรู้ว่าทุกอย่างอยู่ที่การ ยอมรับตัวเองว่าอะไรที่ผ่านไปแล้ว กลับไปแก้ไขไม่ได้
สุดท้ายต้องยอมรับว่า เราไม่สามารถกลับไปมีผิวอย่างแต่ก่อนได้ จุดนั้นแหละที่ทำให้เริ่มอยู่กับความจริง และมั่นใจที่จะใส่สายเดี่ยว กระโปรงสั้น มันทำให้พลอยมีความสุขกับตัวเอง อีกครั้ง เพราะเราห้ามคนอื่นมองหรือพูดถึงเราไม่ได้อยู่แล้ว
พลอยเคยไปกินข้าว แล้วได้ยินคนพูดว่า หน้าตาก็ดี แต่ทำไมข้างหลังเละอย่างนี้ ก็รู้สึกแย่นะ แต่คิดอีกทีเราคงเจอคนอย่างนี้อยู่เรื่อยๆ หงุดหงิดไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น
อีกเรื่องที่ทำให้พลอยมีความสุขกับชีวิตมากขึ้นคือ ได้ค้นพบความชอบของตัวเองด้วย ความที่ชอบทำอาหาร ตอนอยู่บ้านว่างๆ ก็เริ่มทำคุกกี้ขายทางออนไลน์ ทำได้สักพักน้องสาวก็เรียนจบพอดี พลอยอยากทำงานที่ใกล้ชิดครอบครัว จึงตัดสินใจชวนน้องเปิดร้านอาหารวัวนู้ดด้วยกัน
ที่มา : นิตยสารแพรว ฉบับ 953
เรื่อง : ปาจรีย์
ภาพ : วรสันต์