แน็ก-ชาลี

จบม. 6 สอบขับเครื่องบิน ตอบคำถามแบบ “ชาลี” ไม่ชอบเรียน แต่อย่าเลียนแบบผม!

Alternative Textaccount_circle
แน็ก-ชาลี
แน็ก-ชาลี

ท้ายๆ ปีแบบนี้แวดวงภาพยนตร์ไทยคึกคักเป็นพิเศษ เนื่องจากมีหนังลงโรงฉายหลายเรื่อง ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ “Who…ปิดป่าหลอน” ผลงานล่าสุดของนักแสดงหนุ่มมาดติสท์ แน็ก-ชาลี ไตรรัตน์ หรือที่รู้จักกันดีในนาม ไอ้เจี๊ยบ แฟนฉัน ซึ่งเจ้าตัวขอพรีเซนต์เลยว่านี่คือผลงานอีกหนึ่งเรื่องของเขาที่น่าติดตามมากๆ

โดยเมื่อไม่นานมานี้ “แพรวดอทคอม” ได้มีโอกาสสัมภาษณ์แน็กในหลายแง่มุม ซึ่งที่น่าสนใจเป็นพิเศษก็แนวคิดเรื่องการเรียนที่แตกต่าง แม้ประโยคเริ่มแรกจะค่อนข้างน่าตกใจ เรื่องการไม่เรียนต่อ แต่หนุ่มคนนี้ก็ไม่หยุดที่จะเรียนรู้ แม้จะไม่ใช่ทางตรงเหมือนคนอื่นๆ ก็ตาม

แน็ก-ชาลี

หนุ่มหัวใจศิลปิน ทำเองฟังเองนักเลงพอ

ภาพความเป็นนักแสดงของแน็กค่อนข้างชัดเจนตั้งแต่สมัยเด็กๆ แต่หนุ่มคนนี้ก็มีอีกหนึ่งความฝันที่อยากจะทำให้สำเร็จนั่นคือการเป็นศิลปิน แต่ไม่ว่าจะเป็นนักร้องที่มีต้นสังกัดหรือไม่มีต้นสังกัด เขาก็ยังไม่สามารถแจ้งเกิดบนเส้นทางนี้ได้ ยิ่งไปกว่านั้นเพลงที่เขาทำให้มนุษย์ฟังกลับไม่เป็นที่รู้จักมากเท่ากับเพลง “สกูบี้-ดู” ที่ใช้การหอนมากกว่าการร้องเสียอีก

“จริง ๆ ผมอยากประสบความสำเร็จด้านดนตรี อยากทำเพลงให้มีคนฟัง ให้ดูเอ็มวีของเราเยอะ ๆ นั่นแหละสิ่งที่ผมต้องการ” (แต่ตอนนี้ก็มีคนดูเยอะแล้วนะอย่างเพลงสกูบี้-ดู?) “ไม่เยอะ น้อยมากสำหรับผม ตอนนี้เหมือนว่าได้เพราะเป็นกระแส แต่ลึก ๆ เราอยากประสบความสำเร็จเหมือนคนอื่น” (ทำไมไม่มองหาต้นสังกัด เพราะนอกจากจะมีคนช่วยดูแลเรื่องการทำเพลงแล้ว ยังมีพีอาร์คอยสนับสนุนด้วย?) “หลายคนอาจมองว่าการอยู่ค่ายหรือมีต้นสังกัดเป็นสิ่งที่ดี และผมเองก็เคยอยู่แบบมีต้นสังกัดมาก่อน แต่มันไม่มีผล ผมว่าการทำเพลงมันอยู่ที่ดวง แต่ก่อนผมไม่เชื่อว่าเพลงมันต้องมาควบคู่กับดวง แต่พอได้ทำก็รู้แล้วว่ามันคือเรื่องจริง มันอยู่ที่ดวงคนช่วงจังหวะนั้นจริงๆ คุณทำให้ตายถ้าเพลงจะไม่ดังมันก็ไม่ดัง  อยู่ที่ไหนมันก็ไม่ดังเพราะไม่มีคนฟัง (ทุกวันนี้ยังแต่งเพลงเองไหม และมีกี่เพลงแล้ว?) “ผมมีเพลงที่แต่งไว้เยอะ ทั้งที่ทำแล้วฟังเองและมีที่เล่นด้วย อยู่ที่ว่าจังหวะไหนอยากปล่อยก็ปล่อย”

Love Me Love My Animals

อีกมุมหนึ่งของแน็กที่นอกเหนือจากงานแสดงและงานเพลงแล้ว เขาเป็นคนที่รักสัตว์ ซึ่งน้องสัตว์ที่หนุ่มคนนี้เลี้ยงดูปูเสื่อก็มีหลายประเภทไม่ว่าจะเป็น ตัวเงินตัวทอง ตุ๊กแก แมลงสาบ จิ้งจก งูเห่า นกเอี้ยง ฯลฯ ซึ่งหลายคนก็อยากรู้ว่าหากให้เลือกระหว่างสัตว์เลี้ยงกับผู้หญิง แน็กจะเลือกอะไรกันแน่

(หากให้เลือกระหว่างสัตว์เลี้ยงกับผู้หญิง แน็กจะเลือกอะไร?) “เลือกยากมากนะครับ มันเลือกไม่ได้ (หัวเราะ) แต่อันที่จริงชีวิตผมก็เคยเจอมาแล้ว ถ้าผู้หญิงที่ไม่ชอบสัตว์เลี้ยงของเราก็คงให้เขาแค่เป็นเพื่อน ไม่จำเป็นต้องพาไปที่บ้าน  ไม่จำเป็นต้องไปเจอสัตว์เลี้ยง เราเข้าใจเพราะเรื่องนี้เราไม่สามารถบังคับใครได้ บางคนเกลียดหมา ผู้หญิงบางคนเกลียดแมว มันมีเยอะมาก ถ้าเราอยากคบใครจริงจังเราก็ต้องเลือกคนที่ว่าเขารักในสัตว์เลี้ยงของแน็กจริง ๆ ก็ค่อยคบกันเป็นแฟน แต่ถ้าใครไม่รักสัตว์ รังเกียจสัตว์ก็คบเขาเป็นเพื่อนที่ดี”

 แน็ก-ชาลี

ความพยายามในการเล่าเรื่องที่แตกต่าง และแคปชั่นยาวอย่างกับทางรถไฟ

(ใครเป็นคนคิดวิธีการเล่าเรื่องในการทำโฆษณาหรือโพสต์ต่าง ๆ ?) “ต้องบอกว่ามันคิดไม่ได้หรอก ถ้ามันเป็นคนอื่นคิด มันก็คงไม่ออกมาเป็นแบบนี้ สำหรับไอเดียแน่นอนว่าต้องเป็นผมเอง ซึ่งไม่ได้มีหลักการอะไรทั้งนั้น ผมถ่ายทอดความเรียลของชีวิตผมกับหลาน “น้องอาเธอร์” เราแค่ใช้ความเป็นธรรมชาติของเรารีวิวออกมาแค่นั้นเอง มันก็แปลกมากเหมือนกันที่ผมสามารถเขียนแคปชั่นยาว ๆ ได้ เพราะตั้งแต่เด็กผมไม่ชอบอ่านหรือเขียนหนังสือ แต่จุดเริ่มต้นงานเขียนยาวที่เห็น ก็มาจากการที่ผมประกาศหาของ ตอนแรกๆ ผมเขียนไม่ยาวเท่าไหร่ แต่มีคนอ่านเยอะ หลังจากนั้นพอเห็นว่าคนชอบอ่านเราก็เลยพิมพ์ยาวขึ้น บอกตามตรงว่าแต่ละแคปชั่นมันไม่ง่ายสำหรับผมเลย เพราะผมอ่านหนังสือยังแทบไม่ออก พิมพ์ก็ไม่เก่ง พิมพ์ผิด แต่เพราะสารที่เราจะสื่อออกไปให้กับคนอื่นๆ เลยต้องมาคอยดูตัวสะกดว่าถูกต้องหรือเปล่า เพราะมีคนอ่านเยอะจึงต้องใส่ใจกับทุกอย่าง (อย่างนั้นเรามีวิธีอย่างไรหรือมีใครคอยช่วยเหลือบ้างไหม?) “ผมชินกับการพูดเยอะ เพื่อน ๆ ชอบการเล่าเรื่องของผม ผมก็แค่เปลี่ยนวิธีการจากเล่าเป็นการเขียน แต่ก็มีปัญหาตรงที่ผมสะกดคำไม่ถูก แต่การที่ผมพิมพ์ถูกเพราะผมเปิดโทรศัพท์สองเครื่องคอยเช็คคำถูกคำผิด ผมไม่ฉลาดเลยด้านตัวอักษรเลย”

แน็ก-ชาลี

นิยามความเป็นตัวเองที่คิดว่าเป็นแน็ก

(อยากให้นิยามความเป็นตัวแน็กสักหน่อย?) ผมเป็นคนสบาย ๆ เป็นคนอะไรก็ได้ เป็นคนไม่ได้ค่อยสนใจอะไรมากมาย (ชีวิตแน็กเคยกลัวหรือกังวลเรื่องอะไรบ้างไหม?) “จริง ๆ ก็มีเยอะ พอเรายิ่งโตเรายิ่งรักพ่อ-แม่มากขึ้น และจะกังวลว่าเขาจะอยู่กับเราอีกนานแค่ไหน เราอยากให้เขามีสุขภาพดี นั่นแหละคือสิ่งที่เราหวัง แน็กอยากอยู่กับเขานาน ๆ อยากมีเงินดูแลให้เขาสบาย”

เปิดเหตุผลที่แน็กไม่ยอมรับเล่นละคร ไม่ใช่เพราะติสท์

(เห็นว่าแน็กมีปัญหาสุขภาพพอสมควรเลยทีเดียว?) “ครับ คือตอนนี้ผมไม่สามารถคุยและมองหน้าคนได้ ถ้าทำอย่างนั้นผมจะปวดหัวมากจนผมทำงานไม่ได้เลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่ต้องทำงานแบบโดนไฟเยอะ ๆ  ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเพราะอะไร แต่ก็มีคิดว่าน่าจะมีผลมาจากแสงแฟลชที่เราเจอมาตั้งแต่เล็ก ๆ เราต้องเพ่งและมองไฟตลอดเวลา คนอื่นอาจจะโชคดีไม่เป็น แต่สำหรับผมสายตาเราสายตาสั้นและเอียงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ทำให้มีอาการปวดหัวมากแบบเหมือนมีอะไรมาทุบหัวตลอดเวลา บางครั้งก็ไข้ขึ้นเลย มันแย่มากสำหรับเรา ต้องกินยาแก้ปวดแรงๆ ตลอดเวลา ไม่อย่างนั้นเราอยู่ไม่ได้  ซึ่งมันมีผลกระทบต่อชีวิตเรามากเหมือนกัน อย่างแต่ก่อนเราชอบเล่นกีฬาที่ใช้ความเร็วเยอะ พอเป็นแบบนี้มันต้องตัดทิ้งหมด เราต้องตัดหลายสิ่งที่ในชีวิตเราทำได้หมด หลังจากที่แพ้ไฟจากกล้องและสปอร์ตไลท์ ยิ่งเราอยู่ตรงนี้ก็ใช้ชีวิตลำบาก ผมก็เลยเลือกที่จะไม่เล่นละคร เพราะละครมันโดนไฟแบบตรงๆ มาก ส่วนหนังและอีเวนต์ผมยังรับอยู่ เพราะอย่างอีเวนต์ครึ่งชั่วโมงจบแล้ว เราไม่ต้องเจอแสงนาน ๆ ”

 แน็ก-ชาลี

“ผมเรียนไม่จบดีกว่า เพราะถ้าผมเรียนจบ ผมคงต้องมีชีวิตเหมือนคนปกติ”

(ถ้าสมัครงานในตอนนี้แน็กใช้วุฒิอะไร?) ” ถ้าเทียบก็ประมาณ ม.6 ครับ” (คิดว่าอุปสรรคในการเรียนของแน็กที่ผ่านมาคืออะไร?) “ไม่ชอบ (ตอบทันควัน) สำหรับผม ร่างกายผมไม่ได้รับเรื่องการเรียน แต่ผมชอบทำอย่างอื่น” (มีสักวิชาที่ชอบบ้างไหม?) “วิชาที่ชอบไม่มีเลยครับ ถ้าพอเป็นคำว่าเรียนหนังสือต้องเขียนหนังสือเมื่อไหร่ มันไม่ได้กับชีวิตผมจริงๆ” (มันกระทบกับชีวิตเราบ้างไหม?) “ผมเฉยๆ เพราะผมไม่เหมือนคนอื่น ผมมีพี่น้อง 6 คน เขาจบการศึกษาดีๆทั้งนั้น มีผมแค่คนเดียว แต่ผมก็รู้สึกภูมิใจกับสิ่งที่ผมเป็น ถ้าให้เลือกผมก็คิดว่าเลือกให้ผมเรียนไม่จบดีกว่า เพราะถ้าผมเรียนจบ ผมคงต้องมีชีวิตเหมือนคนปกติ  ผมได้ทำอะไรได้หลายอย่างมากกว่าคนอื่นเยอะมาก ผมมีความสุขกับการใช้ชีวิตที่ผมไม่ได้เรียน และได้ไปเจออะไรอย่างอื่นเยอะมาก 4 ปีที่คนอื่นเรียน ผมก็ไปทำมาหมดทุกอย่างบนโลกที่ผมอยากทำ”

 แน็ก-ชาลี

“สตีฟ จอบส์” ไม่ได้มีหลายคน “แน็ก-ชาลี” ก็เช่นกัน ไม่ใช่ทุกคนจะสามารถเป็นแบบพวกเขาได้

(เคยได้ยินไหมที่เด็กๆ หลายคนใช้ข้ออ้างเรื่องไม่เรียน โดยยกตัวอย่างคนดังที่เรียนไม่จบเช่น “สตีฟ จอบส์”, “มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก” ฯลฯ แน็กเองในฐานะคนดังที่มีเด็กๆ ติดตามเป็นจำนวนมาก มีความเห็นในเรื่องนี้อย่างไรบ้าง?) “สิ่งหนึ่งที่ผมจะสอนเด็กทุกคนตลอด และเวลาสัมภาษณ์ถ้าไปย้อนดูผมจะพูดตลอดว่า ห้ามเอาผมเป็นตัวอย่างในเรื่องของการเรียน เด็กๆ ทุกคนอย่าเอาแน็กเป็นตัวอย่าง เพราะมันคือสิ่งไม่ดี และผมก็ไม่สนับสนุนคนที่มองว่าไม่จำเป็นต้องเรียน ผมเป็นคนที่เรียนไม่จบ แต่ผมก็ไม่สนับสนุน ผมจะมองแค่ว่าใครเรียนไม่จบและประสบความสำเร็จเรายอมรับแค่นั้น แต่ห้ามคิดว่ายุคนี้ไม่ต้องเรียนแล้ว เพราะถ้าคุณไม่เรียนคุณลำบากกว่าหลายคนเยอะมาก เพราะถ้าคุณเรียนไม่จบไม่มีวุฒิการศึกษา จะไปสมัครงานก็ยากกว่าคนอื่นแล้ว จะทำอะไรมันก็ยาก ทำไมผมพูดได้ คือตัวผมไม่แคร์อยู่แล้ว เพราะผมทำได้หลายอย่าง ผมมีอาชีพที่ผมรัก ผมเลยไม่เครียด แต่สำหรับคนอื่นอยากให้เรียนดีกว่า” (ถึงจะไม่ได้เรียนในตำรา แต่สกิลและประสบการณ์นอกตำราของแน็กเยอะมากๆ เลยใช่ไหม?) “หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าผมทำได้หลายอย่าง รวมถึงได้ใบอนุญาตขับเครื่องบิน (ขับเครื่องบินเล็ก) ผมค่อนข้างมีความทะเยอทะยานในการหาประสบการณ์ ในขณะที่คนอื่นเรียนหนังสือ ผมก็ไปขับเครื่องบิน ผมไปเรียนหลายอย่าง ผมเลยรู้สึกว่าผมเป็นเด็กที่ไม่เหมือนคนอื่น”


เรื่อง : นนทพร สุทธิพิบูลย์

ภาพ : เอกชัย​ สายสุวรรณ

 

Praew Recommend

keyboard_arrow_up