โอม-ภวัต

เปิดใจหนุ่มน้อยแต่พลังเต็มร้อย “โอม-ภวัต” เคยแสบซนตัวพ่อ วันนี้เปลี่ยนไปเพราะได้เรียนรู้

Alternative Textaccount_circle
โอม-ภวัต
โอม-ภวัต

“เด็กบ้าพลัง” เป็นคำที่ “โอม-ภวัต จิตต์สว่างดี” นักแสดงดาวรุ่งวัย 18 ปีใช้นิยามตัวเอง ยืนยันได้จากความสดใสร่าเริงแบบเต็มแม็กซ์ ซึ่งชาวแพรวสามารถสัมผัสตัวตนของเขาผ่านบทสัมภาษณ์ที่จะได้อ่านกันต่อไปนี้

โอม-ภวัต

วัยเด็กของโอมแสบซนขนาดไหน

แสบสุดคงเป็นช่วงเรียน ม.ปลายที่อัสสัมชัญ ซึ่งเป็นโรงเรียนชายล้วน เวลาเล่นหรือแกล้งเพื่อนจะเต็มที่มากแบบไม่ต้องอายกันเลย ตอนนั้นผมมีวีรกรรมหลายอย่างครับ เช่น ไม่อาบน้ำไปโรงเรียน คิดเองว่าอยู่กับเพื่อนผู้ชายด้วยกันไม่ต้องตัวหอมก็ได้ (หัวเราะ) หรือแอบถ่ายรูปเพื่อนตอนเขาเข้าห้องน้ำ คือพอเพื่อนคนหนึ่งลุกออกจากห้องเรียนปุ๊บ ก็จะมีเพื่อนกลุ่มหนึ่งทำหน้าที่ส่งสัญญาณ ส่วนผมเป็นหน่วยปฏิบัติการวิ่งตามไปที่ห้องน้ำเพื่อตามไปแอบถ่าย (หัวเราะ)

แต่ไม่ใช่ว่าผมเป็นฝ่ายแกล้งเพื่อนอย่างเดียวนะ ทุกคนมีสิทธิ์โดนแกล้งหมดเลย ผมจึงระวังตัวมาก ต้องเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อยตั้งแต่ที่บ้าน หรือถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็จะแอบเข้าห้องน้ำของครู คือยอมโดนครูตีดีกว่าโดนเพื่อนๆ เอาคืน (หัวเราะ)

พอเข้าวงการแล้ว ความแสบลดลงหรือเปล่า

ใช่ครับ พอโตขึ้นก็แสบน้อยลง (ยิ้ม) ผมเข้าวงการตอนอายุ 17 ปี ชีวิตเปลี่ยนไปมาก แบบพลิกเป็นอีกคนเลยนะ ภายในระยะเวลาแค่ 2-3 ปีที่เริ่มทำงาน มีทั้งเรื่องดีและไม่ดีที่ทำให้ผมได้เรียนรู้อะไรเยอะ จนรู้สึกว่าตัวเองโตขึ้นเป็น 10 ปีเลย โดยเฉพาะการมีเป้าหมายชีวิตที่ชัดเจนขึ้น มีแรงบันดาลใจ มีสิ่งต่างๆ ที่อยากทำ มองโลกในแง่ดีขึ้น และเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นในเรื่องการทำงาน แต่ในมุมที่เป็นเด็กก็ยังมีอยู่นะครับ (ยิ้ม)

แน่นอนว่าพอทำงาน ชีวิตวัยรุ่นอาจจะหายไปบ้าง เพราะต้องรับผิดชอบมากขึ้น มีวินัย ดูแลตัวเอง อย่างเมื่อก่อนเลิกเรียน ผมก็ไปเที่ยวกับเพื่อน แต่ตอนนี้ต้องเข้าฟิตเนส ออกกำลังกาย จนช่วงหลังเพื่อนไม่ชวนแล้ว เพราะผมไม่เคยว่างเลย ถามว่าน้อยใจไหม ก็มีบ้างนะครับ แต่ก็เข้าใจว่าตอนนี้เป็นโอกาสที่ดีในการทำงาน ต้องยอมอดเที่ยวไปก่อน ซึ่งเพื่อนๆ ก็ทักว่าผมเปลี่ยนไปนะ รูปร่างดีขึ้น ความคิดโตขึ้น มีความรับผิดชอบมากขึ้นกว่าเพื่อนวัยเดียวกัน รวมถึงครอบครัวก็ไว้ใจผมมากขึ้นด้วยครับ จากตอนแรก 4 ทุ่มผมต้องถึงบ้านแล้ว ตอนนี้คุณพ่อคุณแม่เริ่มปล่อย เพราะเห็นว่าผมดูแลตัวเองได้ ท่านจึงคอยดูอยู่ห่างๆ

โอม-ภวัต

ตอนเห็นผลงานตัวเองครั้งแรกที่เป็นซีรี่ส์แนววาย เขินไหม

ถ้าให้ผมดูพร้อมคนอื่นก็คงเขินนะครับ (ยิ้ม) แต่ถ้าดู คนเดียว ผมจะวิเคราะห์การแสดงของตัวเองเพื่อนำมาปรับปรุงพัฒนา อย่างบางฉากพูดเร็วเกินไปหรือดูว่อกแว่กเกินไป

ส่วนครอบครัวไม่ได้ว่าอะไรครับที่ผมเล่นซีรี่ส์แนวนี้ ท่านกังวลเรื่องการทำงานในวงการบันเทิงมากกว่า คงกลัวว่าผมจะเหลวไหล ตอนแรกที่ผมบอกคุณแม่ว่าขอลองทำงานนี้ได้ไหม ท่านบอกว่าเรื่องเดียวพอนะ แต่พอผลงานออกไป กระแสตอบรับดี บวกกับผมดูโอเคขึ้นในหลายๆ ด้านอย่างที่บอก ท่านจึงเปิดใจ มากขึ้น ตอนนี้ก็สนับสนุนเต็มที่เลยครับ (ยิ้ม) คอยถามตลอดว่าวันนี้มีงานที่ไหน แม่ไปส่งมั้ย หรือกลับมาเหนื่อยๆ หิวข้าวหรือเปล่า ท่านดีใจที่เห็นลูกก้าวไปข้างหน้าทั้งเรื่องงาน เรียน และดูแลครอบครัวด้วย ส่วนเพื่อนๆ ก็มีแซว ฮาๆ ขำๆ บ้างนิดหน่อย ผมว่าเดี๋ยวนี้สังคมเปิดกว้าง และเขารู้ว่าจริงๆ เราเป็นยังไง

ดังเร็วขนาดนี้ มีโมเมนต์หลงตัวเองบ้างไหม

มีครับ ตอนเล่นซีรี่ส์เรื่องแรกกระแสค่อนข้างเร็วมาก ผมยังเด็ก ปรับตัวไม่ทัน จำได้ว่าตอนได้เงินค่าตัวงานแรก ผมเอาไปซื้อรองเท้าหมดเลยนะ ราคาประมาณ 4 หมื่นบาท ไม่ได้คิดว่าควรนำไปให้คุณพ่อคุณแม่ก่อนหรือควรจะเก็บเอาไว้เรียน และการที่ จู่ๆ ก็มีหน้ามีตาในสังคม มีคนมาชื่นชอบ ติดตาม เหมือนได้รับการสปอยล์ ก็ทำให้หลงตัวเองไปเหมือนกันครับ ซึ่งเป็นเรื่องน่ากลัวมากนะ โชคดีว่าผมยังไม่ถลำลึกไปไกล

จุดที่ทำให้ผมดึงตัวเองกลับมาได้ คือหลังจากเล่น Make It Right the Series 2 กระแสของผมค่อยๆ เบาลง บวกกับผมรู้สึกว่าเพื่อนๆ ก็ไม่เฮฮากับเราเหมือนแต่ก่อน จึงเริ่มคิดว่าเกิดอะไรขึ้น เราทำอะไรผิด ตอนนั้นเป็นช่วงที่แย่และทรมานมากครับ ผมนั่งคิดทั้งคืนเลยนะว่าเพราะอะไร คนอื่นพูดถึงเราว่าอย่างไร อาจเพราะผมเป็นคนตรงๆ พูดดัง พูดเร็ว พูดแรง เพื่อนๆ รอบตัวจึงไม่มีใครกล้าพูดเตือนผม ถึงพูด ผมก็คงต่อต้านและเถียงตลอด สุดท้ายเมื่อผมย้อนมองตัวเอง เปิดใจยอมรับข้อผิดพลาดต่างๆ และยิ่งเมื่อเข้ามาอยู่สังกัด GMMTV ได้เจอคนเก่งมากมาย ผมจึงเข้าใจสิ่งต่างๆ มากขึ้น เก็บข้อผิดพลาดในอดีตมาใช้พัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น

โอม-ภวัต

เคยคิดไหมว่าจากเด็กซนๆ วันหนึ่งจะมีแฟนคลับคอยตามให้กำลังใจมากมาย

ไม่เลยครับ (ส่ายหน้า) ไม่เคยคิดว่าจะมีคนคอยเป็นกำลังใจ ซื้อของ ซื้อขนมมาให้ ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีใครให้ความรักผมมากขนาดนี้ ยกเว้นคุณพ่อคุณแม่ ทุกอย่างที่แฟนๆ ทำให้ ผมเซอร์ไพร้ส์มากนะ เพราะตั้งแต่ผมเข้าเวิร์คชอปซีรี่ส์ช่วงแรก ยังไม่เป็นที่รู้จักเลย แต่ก็มีแฟนๆ มานั่งดู มาเชียร์ ซึ่งตอนนั้นผมไม่รู้เลยว่าเขาคือใคร ทำไมเขาถึงให้ความรักกับเราขนาดนี้ ผู้จัดการจึงช่วยสอนผมว่า แฟนๆ คือคนที่รัก สนับสนุน และคอยเป็นกำลังใจให้เรา ฉะนั้นเราควรตั้งใจทำงานให้ดี ให้เขาภูมิใจที่รักเรา (ยิ้ม)

เวลามีกระแสดราม่า รับมืออย่างไร

มีคนรักก็ต้องมีคนไม่รักเป็นธรรมดาครับ ตอนแรกที่เจอดราม่า ผมนอยด์นะ งง ทำไมคนอื่นต้องว่าเราด้วย แต่สักพักก็เข้าใจว่าเราทุกคนมีความคิดของตัวเอง มีสิทธิ์ในการแสดงออก เขาอาจใช้คำแรงๆ ไปบ้าง ซึ่งเราทำอะไรไม่ได้ ไปแก้ไขคนอื่นไม่ได้ ฉะนั้นก็ต้องแก้ที่ตัวเอง ตอนนี้ผมดีใจกับทุกคอมเมนต์ ทั้งที่ดีและติชม บ่น ด่า (หัวเราะ) ถ้าดีก็ถือว่าเป็นกำลังใจ เป็นพลัง ส่วนคำติ แม้จะไม่ถูกใจเรา แต่อย่างน้อยเราก็ได้รู้ข้อผิดพลาดของตัวเอง อย่างมีคนบอกว่าโอมเล่นเป็นหินเลย แทนที่ผมจะเถียงว่าเล่นดีที่สุดแล้ว นั่นไม่ใช่ทางแก้ เราต้องกลับไปดูว่าเล่นแข็งเป็นหินจริงหรือเปล่า ครั้งต่อไปต้องพยายามปรับปรุงให้ดีขึ้น ทำการบ้านให้มากขึ้น ตีบทให้ละเอียด และถ้า คนเดิมที่เคยว่ามาบอกเราใหม่ว่า เฮ้ย! เรื่องนี้เล่นดีขึ้นกว่าเดิมนะ นี่แหละผมจะดีใจมากๆ และผมก็เชื่อว่าคนที่ว่าก็คงดีใจเหมือนกันที่การติของเขาทำให้ผมพัฒนาขึ้น ฉะนั้นทุกคอมเมนต์คือพลังให้ผมขับเคลื่อนไปข้างหน้าต่อไปครับ

โอม-ภวัต

เคยเจอเรื่องหนักจนถึงขั้นเสียน้ำตาหรือยัง

มีครับ หลักๆ คือความเครียด ความกดดัน อย่าง ตอนที่ถ่ายซีรี่ส์ เขามาเชงเม้งข้างๆ หลุมผมครับ กับพี่สิงโต เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกท้อ เพราะก่อนหน้านี้ยังเด็ก ไม่ค่อยรู้เรื่อง ให้ทำอะไรก็ทำหมด แต่พอมาเรื่องนี้ผมโตขึ้น ผ่านจุดที่เคยแย่มา รู้ว่าต้องพัฒนาตัวเองอย่างไร และมีความคาดหวังกับตัวเองพอสมควร แต่ความที่ผมยังไม่แข็งแรงพอ พอต้องมาทำโปรเจ็กต์ใหญ่ เจอผู้กำกับ นักแสดงเก่งๆ เจอแรงกดดันต่างๆ จึงทำให้เครียดและกดดันตัวเองไปอีก

แต่ผมก็ปลุกตัวเองขึ้นมาได้ด้วยการมองข้อผิดพลาด ในอดีตว่าเราผ่านมาได้อย่างไร ซึ่งปกติเวลามีเรื่องอะไรผมจะเก็บไว้คนเดียว แต่ตอนนั้นผมคุยกับตัวเองทุกคืนจนนอนน้อย รู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว ต้องขอคำปรึกษาจากใครสักคน จึงส่งข้อความไปคุยกับพี่สิงโต ซึ่งพี่เขาให้คำแนะนำและกำลังใจที่ดีมากๆ ผมจำคำพูดได้ไม่หมด แต่จำได้ว่าทุกอย่างที่เขาพูดทำให้ผมดีขึ้นจริงๆ

มีใครเป็นไอดอลในการแสดงบ้าง

ทอม ครูซ, เดอะร็อค และเจสัน สเตธัม ผมชอบดูหนัง แนวแอ๊คชั่นครับ ซึ่ง 3 คนนี้เป็นนักแสดงที่เก่งมากๆ ทั้งแอ๊คชั่นต่อสู้ที่โหดดุเดือด ดราม่า คอมเมดี้ ครบทุกบทบาทเลย รวมถึงเป็นไอดอลในเรื่องรูปร่างด้วย ผมจึงพยายามดูแลร่างกายให้แข็งแรง รวมถึงทัศนคติ ความคิด เป้าหมายในการทำงาน และในอนาคตผมอยากลองเล่นบทบาทใหม่ๆ หรือสไตล์แอ๊คชั่นที่ผมชอบ


 

ติดตามอ่านบทสัมภาษณ์ฉบับเต็มได้ที่ นิตยสารแพรว ฉบับ 944

Praew Recommend

keyboard_arrow_up