บอกเลยว่าเพราะเสน่ห์จากรอยยิ้มหวานๆ และความน่ารักเป็นกันเอง ทำให้แฟนๆ ตกหลุมรัก “สิงโต-ปราชญา เรืองโรจน์” นักแสดงหนุ่มที่โด่งดังมาจาก SOTUS The Series และไม่ใช่ตกหลุมรักกันแบบธรรมดาๆ แต่ต้องเรียว่าถอนตัวไม่ขึ้นกันเลยทีเดียว จนตอนนี้อินสตาแกรมของหนุ่มสิงโตมียอดฟอลโลเวอร์กว่า 1.2 ล้านคนไปแล้ว ถ้าอยากรู้ว่าเพราะอะไร อยากให้ลองไปทำความรู้จักกับหนุ่มคนนี้ให้มากขึ้นกันค่ะ
วัยเด็กของสิงโตเป็นอย่างไร
ผมค่อนข้างมีพื้นที่ส่วนตัวสูงมากครับ อาจเพราะเป็นลูกคนเดียว เวลาคุณพ่อคุณแม่ไปทำงาน ผมเลิกเรียนกลับมาก็ต้องอยู่คนเดียวก่อน ทำให้ชอบทำกิจกรรมคนเดียว ตั้งแต่อ่านหนังสือ ฟังเพลง เล่นเกม หรือหยิบกล้องออกไปถ่ายรูปตามที่ต่างๆ ทั้งหมดนี้ผมทำโดยไม่ได้รู้สึกเหงานะ กลับสบายใจด้วยซ้ำ
พูดถึงเรื่องเรียน เล่าให้ฟังเรื่องการย้ายคณะที่เหมือนนับหนึ่งใหม่หน่อย
ตอนแรกผมเรียนคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร ์ ซึ่งเป็นคณะเดียวกับคริส เรียนจนถึงปี 4 เพื่อนๆ เตรียมรับปริญญากันแล้วด้วยนะ แต่ผมตัดสินใจบอกคุณพ่อว่า ที่เรียนอยู่ไม่ใช่สิ่งที่ชอบจริงๆ ขอไปเรียนใหม่ในสาขาที่ชอบคือ คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ แล้วทำเกรดให้ดีเลยดีกว่า ซึ่งคุณพ่อก็โอเค ที่ผ่านมาท่านก็ไม่เคยห้ามผมทำอะไร ท่านสนับสนุนให้ทำอะไรก็ได้ที่ตัวเองมีความสุข ผมชอบแบบไหนก็เลือกแบบนั้น เพราะจริงๆ แล้วผมอ่อนเลขมาก แต่เลือกเศรษฐศาสตร์ เพราะคุณแม่อยากให้ทำงานเกี่ยวกับตลาดหลักทรัพย์เหมือนญาติๆ ซึ่งตอนนั้นผมก็รู้สึกว่าน่าสนใจ บวกกับตอนเรียนมัธยม เศรษฐศาสตร์พื้นฐานเราก็พอทำได้ แต่พอระดับมหาวิทยาลัย เรียนไปถึงเศรษฐศาสตร์มหภาค จุลภาค ลงลึกบัญชี โอ้โฮ…มึนเลยครับ เคยนั่งทำบัญชีงบดุลเป็นชั่วโมง จบด้วยคำว่าไม่ดุล (หัวเราะ) ต้องทำใหม่ ถึงขั้นน้ำตาไหลเลยนะ (ทำหน้าเศร้า) แต่ที่เรียนมาถึงปี 4 ได้ เพราะตั้งใจไว้ว่าอยากเป็นพี่ว้าก ซึ่งพอขึ้นปี 3 ก็ได้เป็นสมใจ (หัวเราะ)
เรื่องงานในวงการบันเทิง คุณพ่อว่าอย่างไรบ้าง
คุณพ่อพูดเหมือนเดิมเป๊ะว่า ถ้าทำแล้วมีความสุขก็ทำไปเลย ครั้งหนึ่งท่านเคยบอกว่า พ่อไม่ได้อยู่กับลูกไปตลอด ชีวิตเป็นของลูก อะไรที่ทำแล้วมีความสุขก็ทำไปเลย ขอให้ไม่เป็นสิ่งที่เลวร้ายก็พอ แต่ตัวผมเองกว่าที่จะตกลงเล่นซีรี่ส์ ก็ถามจากคนรอบตัวเยอะเหมือนกันครับ ทั้งคุณพ่อ ทั้งเพื่อน
แต่เล่นเรื่องแรกก็แจ้งเกิดเลย
ดีใจมากๆ ครับ ประสบความสำเร็จกว่าที่คิดไว้มากๆ ก่อนหน้านี้ผมมีงานถ่ายแบบบ้างนิดๆ หน่อยๆ จากนั้นทีมงานของ SOTUS The Series เห็นรูปผมจากในทวิตเตอร์ จึงติดต่อมาให้ลองไปแคสติ้ง ตอนแรกไม่คิดเลยครับว่าจะได้ เพราะมีคนมาแคสต์เป็นพัน แล้วแต่ละคนดูดี มีความสามารถ ดูเพอร์เฟ็กต์กันทั้งนั้น ผมยังบอกพี่ผู้จัดการเลยว่าเรากลับไหม แต่สุดท้ายเขาไม่ได้เลือกจากคนที่หล่อที่สุดหรือเก่งที่สุด แต่เลือกจากคนที่คาแร็คเตอร์ตรงกับบท ซึ่งโชคดีที่ผมได้เป็นคนนั้น (รับบทเป็น ก้องภพ คู่กับคริส-พีรวัส) จากนั้นก็ทำให้มีแฟนคลับติดตามเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ยอมรับว่าช่วงแรกกังวล เพราะผมมองตัวเองเป็นคนเรียบๆ ธรรมดา ไม่มีอะไรโดดเด่น แต่ทำไมแฟนๆ ถึงชอบเราขนาดนี้
ล่าสุดวันเกิดที่ผ่านมา แฟนๆ ซื้อป้ายบิลบอร์ดอวยพรวันเกิดให้เลยนะ
ผมได้รับอะไรดีๆ จากแฟนๆ เยอะครับ (ยิ้ม) แน่นอนว่าผมดีใจมาก แต่ก็ต้องบอกว่าเก็บเงินไว้บ้างนะครับ ผมเกรงใจ บางครั้งไม่ต้องทุ่มเทขนาดนี้ก็ได้ หรือถ้าอยากซัพพอร์ตผม ก็ขอให้เป็นอะไรที่ไม่ลำบากตัวเอง ขอให้อยู่ในความสุขของตัวเองเท่านั้นพอ แต่แฟนๆ ก็จะบอกว่าไม่ได้ลำบาก…เขาอยากทำจริงๆ แล้วก็ปิดท้ายว่า สิงอย่าพูดแบบนี้อีกนะ…ไม่เอาไม่พูด
พอเข้าวงการ…ชีวิตเปลี่ยนขนาดไหน
มาก-ก-กครับ (ลากเสียงยาว) ต้องเรียกว่าพลิกเลยดีกว่า สำหรับในเรื่องของการทำงานนะครับ แต่ชีวิตประจำวันยังเหมือนเดิม ผมไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นซูเปอร์สตาร์ ผมนั่งรถเมล์ เดินไปไหนมาไหนคนเดียว หรือไปเที่ยวกับเพื่อนๆ ได้ ซึ่งถ้าถึงขั้นเป็นซูเปอร์สตาร์จริงๆ ไปไหนมาไหนทุกคนต้องรู้จัก เป็นที่จับตามอง แต่ทุกวันนี้ผมยังใช้ชีวิตปกติครับ
พอทำงานอาจมีบางวันที่เหนื่อย แต่ผมมีความสุขที่ตัวเองสามารถทำให้คนอื่นยิ้มได้ มีโอกาสได้เป็นแรงบันดาลใจให้ใครหลายๆ คนและทำให้เขามีความสุข ซึ่งตรงนี้ก็คือความสุขของผมเหมือนกัน แต่ในเรื่องของการพักผ่อน บางครั้งแค่ได้อยู่คนเดียวสักพัก ก็เป็นการชาร์จพลังแบบหนึ่งแล้วครับ ถ้ามีเวลาว่างอาจจะแค่ 1-2 ชั่วโมง ผมจะเลือกนอน แต่ถ้าว่างทั้งวัน เดี๋ยวขอคิดอีกทีว่าอยากทำอะไร (หัวเราะ) ตอนนี้วันจันทร์ถึงพฤหัสบดีเป็นเวลาเรียน แต่ถ้ามีงานก็ต้องเป็นช่วงเย็น ส่วนศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ รับงานเต็มที่ ช่วงนี้ผมได้นอนน้อยมาก ทั้งทำงาน ทั้งเรียน การบ้านเยอะด้วยครับ (ทำหน้าเศร้า) จึงเริ่มรู้สึกว่าการนอนเป็นสิ่งสำคัญนะ บางครั้งเหนื่อยๆ ก็จะบ่นในทวิตเตอร์บ้าง แต่เป็นแบบขำๆ คือไม่ได้รู้สึกท้อจริงจัง ยังแฮ็ปปี้ทั้งเรื่องงานและเรื่องเรียน แค่บ่นไปอย่างนั้นเองครับ (หัวเราะ)
มีวิธีรับมือกับกระแสดราม่าในโลกออนไลน์อย่างไร
ลอยตัว (หัวเราะ) ต้องดูก่อนว่าดราม่านั้นเราเป็นคนทำให้เกิดขึ้นหรือเปล่า ถ้าใช่ เราสามารถปรับตัว แก้ไขอย่างไรได้บ้าง แต่ถ้าเรื่องนั้นไม่ใช่ความผิดของเรา ก็ไม่จำเป็นต้องร้อนตัวครับ วางตัวอยู่เฉยๆ เดี๋ยวเรื่องก็จบไปเอง
ยอมรับว่าช่วงแรกเครียด เพราะไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้มาก่อน ผมไม่รู้ว่าผมทำอะไร เพราะยังไม่ได้ทำอะไรเลย บวกกับค่อนข้างคิดเยอะด้วยกว่าจะพูดหรือทำอะไรแต่ละอย่าง จนบางครั้งมันช้าไปหมด แต่ผมมั่นใจว่าสิ่งที่ทำได้ผ่านการไตร่ตรองแล้ว ทุกคำที่พูดหรือทุกครั้งที่เงียบ ผมรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ผ่านการคิดมาแล้ว ซึ่งดูเหมือนว่าผมใจเย็น แต่จริงๆ ใจร้อนเหมือนกันนะครับ เพียงแต่บางอย่างผมรู้สึกว่าตัวเองรอบคอบ วางกรอบไว้ดีแล้ว ยังมีเรื่องที่คิดไม่ถึงหลุดกรอบไปได้อีก
ฉะนั้นตอนนี้จึงไม่คิดมากแล้วครับ ลอยตัวไป (หัวเราะ) อะไรปล่อยได้ก็ปล่อย แต่บางเรื่องที่กระทบคนอื่น ผมก็ปล่อยไม่ได้ อย่างเพื่อนผู้หญิงของผมที่มหาวิทยาลัยที่คอยช่วยตามงานให้ แต่มีคนกลุ่มหนึ่งนำรูปเขาไปว่าในโซเชียล ซึ่งพอหนักขึ้น ผมก็ต้องออกมาพูดเหมือนกันว่าแบบนี้ไม่ควรทำนะ
ไอดอลของสิงโต
ในด้านการแสดง ผมชอบพี่ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์ กับพี่เต๋อ-ฉันทวิชช์ พี่เขามีคาแร็คเตอร์ที่ชัดเจน มีความสามารถด้านการแสดงสูงมาก และลอยตัวเหนือดราม่าของจริง (ยิ้ม) จนเหมือนไม่มีอะไรทำเขาได้ ฝ่ายหญิงผมชอบพี่นุ่น-ศิรพันธ์ กับพี่นก-สินจัย ครับ ฝีมือสุดยอด ยิ่งเวลาแสดง ยิ่งรู้สึกว่ามีเสน่ห์มากๆ
ถ้าให้คะแนนตัวเองเรื่องการแสดง เต็ม 10 ให้เท่าไร
ไม่ค่อยกล้าให้คะแนนตัวเองเลย สัก 7 แล้วกันครับ (ยิ้มเขิน) แม้จะยังไม่เก่ง แต่ก็พยายามพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ
ติดตามอ่านบทสัมภาษณ์ฉบับเต็มได้ที่ นิตยสารแพรว ฉบับ 944