อดีตหนุ่มหน้าใสสุดฮ็อตในยุค 90 เต๊ะ-ศตวรรษ เศรษฐกร เผยปัจจุบันต้องเผชิญกับโรคซึมเศร้า รับเคยคิดลาโลกมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง แต่สามารถผ่านพ้นไปได้เพราะจะทำอะไรก็คิดถึงหน้าพ่อแม่เสมอ
ความกดดัน,ภาวะโดดเดี่ยวทางสังคม,ความเครียด ฯลฯ มีแนวโน้มทำให้มีจำนวนผู้ป่วยโรคซึมเศร้าเพิ่มมากขึ้น โดยตลอด 1-2 ปีที่ผ่านมา ก็มีข่าวการฆ่าตัวตายจากสาเหตุนี้ไม่น้อย แม่จะไม่ใช่โรคร้ายแรงแต่ก็นำไปสู่การฆ่าตัวตายได้ โดยเฉพาะในคนดังที่เป็นที่จับตามองของสาธารณชนเป็นโรคนี้จำนวนไม่น้อย และหนึ่งในนั้นคือ อดีตหนุ่มหน้าใสสุดฮ็อตในยุค 90 เต๊ะ-ศตวรรษ เศรษฐกร สมาชิก Teen 8 Grade A และเขายังเป็นนักแสดงไทยคนแรกๆ ที่ไปโด่งดังที่แดนมังกร ความหล่อของเขาทำให้ได้รับการชื่นชมจากแฟนๆ ทั้งสองประเทศจนได้รับฉายาว่า หลินจื้ออิง เมืองไทย
ปัจจุบันเขาหันไปโฟกัสด้านเบื้องหลังในการเป็นผู้จัด และเมื่อไม่นานมานี้ “เต๊ะ” ได้ออกงาน MONO GROUP: UNIVERSE OF ENTERTAINMENT 2019 เปิดจักรวาลแห่งความบันเทิง ณ โมโน ทเวนตี้ไนน์ สตูดิโอ “เต๊ะ” พร้อมให้สัมภาษณ์อัพเดทชีวิตให้ฟัง โดยนักแสดงหนุ่มบอกว่า ตอนนี้เขาโสดแล้ว แต่ยังไม่คิดอยากมีใคร เพราะอารมณ์แปรปรวนจากการเป็นโรคซึมเศร้า ดังนั้นจึงไม่อยากให้ใครมาเห็นเขาในสภาพนี้
ก่อนหน้านี้มีข่าวว่า “เต๊ะ” เลิกกับภรรยาชาวไต้หวันแล้ว?
“จริงๆ ผมหย่าไปแล้ว และเคยมีแฟน แต่ว่าตอนนี้ผมโสดครับ โสดมาสักพักใหญ่ๆ แล้ว แต่ถามว่าผมได้เปิดใจให้ใครไหม จริงๆ ก็มีคนที่แอบชอบอยู่เหมือนกัน ซึ่งเขาไม่รู้ตัวหรอก เป็นสาวไทยนี่แหละ แต่เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมเป็นใคร ขอแค่ดูอยู่ห่างๆ และแอบปลื้มก็พอ เพราะผมเองมีงานที่รัดตัวอยู่เหมือนกัน แถมยังไม่พร้อมที่จะกลับไปเจอปัญหาเดิมๆ คือถ้าหากเราไม่ได้ทำงานในสภาวะปกติเหมือนคนทั่วไป หรือการทำงานเบื้องหลัง ที่ถึงแม้เสร็จงานหน้ากองแล้วก็ยังนอนไม่ได้ มันเลยเป็นอะไรที่ยากครับที่จะสามารถหาคนมาเป็นคู่ชีวิตเราได้ ซึ่งจริงๆ ผมแอบถอดใจแล้วด้วย อายุก็เพิ่มขึ้นทุกวัน ดังนั้นถ้ามันยังนิ่งๆ แบบนี้ก็คงต้องปล่อยไป”
ที่ไม่อยากสานต่อเพราะเข็ดกับความรัก?
“ผมไม่เข็ดกับความรักนะครับ ทุกวันนี้ที่บ้านของผมก็ยังเรียกร้องให้ผมกลับไปคืนดีกับภรรยาเก่า เพราะทั้งสองบ้านเราสนิทกันมาก ซึ่งจริงๆ เดี๋ยวสิ้นเดือนนี้ผมต้องบินกลับไปเจอเขา เนื่องจากเรามีธุรกิจที่เกี่ยวข้องกันในช่วงที่ใช้ชีวิตคู่ คือทุกวันนี้เราก็ยังติดต่อกันอยู่ แต่ถามว่าเรายังทักกันทุกวันนี้ ก็ยังทักกันอยู่นะ แต่ยังคงเป็นในสถานะเพื่อนกัน ผมเคยแอบถามเขาอยู่เหมือนกันว่าจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมไหม แต่เขาบอกว่าเป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว เราเลยตัดสินใจว่าคุยกันแบบนี้ดีกว่า”
มีสเปกสาวไหม?
“ตอนนี้ไม่มีสเปกแล้วครับ (หัวเราะ) ขอแค่เขาเข้าใจงานของเรา และมีสิ่งหนึ่งที่รู้สึกว่ามันเพิ่มเข้ามาในชีวิตนั่นก็คือ ผมค่อนข้างมีความรู้สึกแปรปรวนเกี่ยวกับอารมณ์เยอะอยู่เหมือนกัน ซึ่งผมต้องขออนุญาตเท้าความนิดหนึ่งว่าจริงๆ แล้ว ผมเป็นผู้ป่วยโรคซึมเศร้า ที่รักษาตัวเองมานานกว่า 4 ปีแล้ว แต่โรคซึมเศร้าไม่ได้เป็นโรคที่น่ากลัวนะครับ เพราะถ้าหากเรารู้ตัว เราก็จะได้รับคำปรึกษาเร็ว แต่พอผมต้องมาทำงานเบื้องหลัง ความกดดันก็สูงขึ้น ซึ่งบางทีผมกลับบ้านมา ผมก็จะมีอาการซึมเศร้า ดังนั้นถ้าหากมีใครมาอยู่กับผมและต้องเจอผมในสภาพแบบนั้น ผมก็ไม่เอาดีกว่า”
อาการโรคซึมเศร้าที่แย่ที่สุด?
“ตอนนี้ผมก็ยังคงมีอาการโรคซึมเศร้าอยู่ และก็มีกลุ่มเพื่อนๆ ที่เป็นกันหลายคน ซึ่งมันก็จะเป็นกลุ่มเล็กๆ ที่คอยช่วยกันให้คำแนะนำกัน เนื่องจากคนอื่นๆ จะไม่เข้าใจว่าโรคซึมเศร้าคืออะไรเคยแย่ที่สุดคือเป็นช่วงที่รู้สึกไม่อยากอยู่บนโลกแล้ว ผมเคยผ่านช่วงเวลาแบบนี้มาหลายรอบเหมือนกัน ยอมรับว่ามันมีโมเม้นต์ที่จะเกิดอะไรไม่ดี”
“แต่สุดท้ายก็เห็นหน้าพ่อกับแม่ตลอด และอย่างที่บอกพอผมมีกลุ่มเพื่อนๆ ที่ป่วยโรคนี้เหมือนกัน เราก็จะได้คุยกันเตือนกันว่าถ้าหากผ่านวันนี้ไปได้ มันก็จะดีเอง ตอนนี้ยังต้องทานยาเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ เว้นเสียแต่ว่าไปเจออะไรที่มันกระทบกับความรู้สึกเราแรงๆ ก็จะต้องดูแลกันอีกที ซึ่งมันก็เป็นหนึ่งที่ทำให้ผมรู้สึกว่าถ้าผมมีแฟนมันอาจจะไม่โอเค เพราะถ้าหากเราแย่ เราก็อาจจะทำให้คนที่อยู่ใกล้ๆ รู้สึกแย่ตามไปด้วย แต่อย่างที่บอกโรคซึมเศร้าไม่ได้เป็นโรคที่น่ากลัว และตัวผมเองก็ไม่ได้มีภาวะคิดมากอะไร นอกจากแค่คิดฟุ้งซ่านปกติเกี่ยวกับเรื่องงาน มันก็มีสิทธิ์หายได้”