รักเป็นพิษ! มรสุมชีวิต ครั้งใหญ่ที่ร้ายยิ่งกว่ามะเร็งของ เนตรทราย สัตยพานิช

ฝ่ากระแส มรสุมชีวิต ของผู้หญิงสุดแกร่ง เนตรทราย สัตยพานิช

หากใครกำลังเผชิญกับวิกฤติและ มรสุมชีวิต ที่ถาโถมเข้ามาจนรู้สึกท้อ แพรวดอทคอมอยากให้คุณอ่านเรื่องของ เนตรทราย สัตยพานิช แม่บ้านสายสตรองที่สร้างครอบครัวอย่างมีความสุขมากว่า 20 ปี แต่เมื่อ 2 ปีที่แล้ว กลับต้องพบกับมรสุมครั้งใหญ่ในชีวิตซัดกระหน่ำจนทุกอย่างพังทลาย เธอต้องเริ่มต้นชีวิตใหม่ในวัย 52 ปี

“หากไม่เจอวิกฤติก็คงไม่ซาบซึ้งว่ากำลังใจมีค่ามากเพียงใด ไม่เช่นนั้นดิฉันก็คงยังยิ้มไม่ได้เหมือนวันนี้” คุณอุ้ม-เนตรทราย เปิดใจพร้อมรอยยิ้ม ก่อนเล่าถึงเงามืดของมรสุมว่า…

เมื่อต้นปี 2559 ดิฉันรู้สึกว่าตัวเองเหนื่อยง่ายมาก ขับรถมาส่งลูกที่โรงเรียนยังไม่มีแรงขับกลับ ต้องจอดนอนพัก ตอนแรกคิดว่าอาจเพราะนอนดึกหรืออายุมากขึ้น ไม่เคยมีความคิดเรื่องโรคร้ายอยู่ในสมอง เพราะตรวจสุขภาพทุกปี กระทั่งเดือนกุมภาพันธ์ไปเที่ยว ฮ่องกงกับเพื่อน อาบน้ำแล้วคลำเจอก้อนแข็งเป็นไตบริเวณใต้รักแร้ ด้านหน้าอกซ้าย กลับมาก็ไปพบหมอตรวจตามกระบวนต่างๆ ผลออกมาว่าเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองระยะที่ 3 ที่เต้านมและต่อมน้ำเหลือง ช็อกนะ เพราะคิดเสมอว่าตัวเองแข็งแรง แอคทีฟ ทำกิจกรรมตลอดเวลา หมอบอกให้ทำคีโมก่อน 4 เข็ม แล้วค่อยผ่าตัด

รักเป็นพิษ มรสุมชีวิต ครั้งใหญ่ ที่ร้ายยิ่งกว่ามะเร็งของ เนตรทราย สัตยพานิช
มรสุมชีวิต
คุณอุ้ม-เนตรทราย สัตยพานิช

จากนั้นจึงกลับมารับคีโมอีก 4 เข็ม แล้วฉายแสงอีก 37 ครั้ง ฟังแผนการรักษานี่ก็กลัว แต่ก็ปลอบใจตัวเองว่าไม่เป็นไร สู้ๆ ดิฉันให้คีโมเข็มแรกก็กลับมาพักฟื้นต่อที่บ้าน แต่กลายเป็นถูกย้ายลงมาจากห้องนอนไปอยู่ที่เรือนหลังเล็ก ด้วยเหตุผลที่ว่าจะดีต่อคนป่วยมากกว่า ดิฉันก็ตามใจ ย้ายก็ย้าย จากนั้นเริ่มมีทั้งข้อความปริศนา ทั้งรูปถ่ายของคนใกล้ตัวดิฉันกับใครอีกคนเข้ามาที่โทรศัพท์ดิฉัน ใช้ถ้อยคำบอกกล่าวเรื่องที่ไม่ค่อยสุภาพนัก สภาพดิฉันขณะนั้นแพ้คีโม นอนซม อาเจียนจนไม่มีเรี่ยวแรง เวียนศีรษะ ผมร่วง เจ็บทั้งตัว เจ็บทั้งใจ

ทุกครั้งที่ดิฉันเข้าโรงพยาบาลเพื่อรับคีโม จะมีแต่เพื่อนๆ ที่ผลัดเปลี่ยนกันมาอยู่ด้วย ดิฉันนอนมองขวดยา ใจเริ่มตระหนักและรับรู้ เรื่องราวที่เกิดขึ้น ทั้งชีวิตดิฉันเชื่อเสมอว่า ครอบครัวคือสิ่งสำคัญที่สุด เหนือสิ่งอื่นใดการทะเลาะเบาะแว้งหรือไม่เข้าใจสามารถเกิดขึ้นได้ แต่ไม่น่าจะเป็นตอนนี้ ทำให้ความหวัง ความศรัทธา กำลังใจค่อยๆ หมดลง ไม่เคยคิดเลยว่าความรักความผูกพันตลอด 20 กว่าปีที่สร้างมาด้วยกัน วันนี้ไม่เหลือค่า ไม่เหลือความเอื้ออาทรต่อกันเลยสักนิด

พอรับคีโมครบเข็มที่ 4 ดิฉันเข้ารับการผ่าตัดเนื้อร้ายบริเวณต่อมน้ำเหลืองกับเต้านมส่วนหนึ่งออก ขณะอยู่ที่โรงพยาบาล ลูกมาเยี่ยม แล้วเล่าว่า มีการบอกล่าวเด็กๆ ว่าจะแยกทางกัน ดิฉันออกจากโรงพยาบาลอย่างคนสิ้นหวัง ใจแตกเป็นเสี่ยง หัวโล้น ไม่มีคิ้ว เต้านมซ้าย เหลือเสี้ยวเดียว ที่ตัวยังมีสายเดรนเลือดติดอยู่ ดิฉันต้องรับคีโมต่ออีก 4 ครั้งในสภาพที่ร่างกายร่วงโรยลงเรื่อยๆ จนถึงวันเริ่มต้นฉายแสง ทุกอย่างก็ดำเนินมาถึงจุดสิ้นสุด ดิฉันขับรถไปเอง ส่งลูกที่โรงเรียนก่อน แล้วเลยไปโรงพยาบาล ตอนนอนอยู่ในห้องรังสี ดิฉันคิดและตัดสินใจว่าไม่มีประโยชน์ที่จะฝืนอีกต่อไป มีแต่น้ำตา กินไม่ได้ นอนไม่หลับ เม็ดเลือดขาวต่ำ หมอต้องให้ยานอนหลับ ดิฉันพูดกับตัวเอง นี่เรากำลังจะตาย แต่ไม่ได้ตายเพราะมะเร็งแล้วนะ

เมื่อถึงวันที่ทุกอย่างมาถึงจุดสิ้นสุด ดิฉันเก็บของใส่รถแล้วขับออกมาจากบ้านพร้อมกับลูกสาวคนโตที่กำลังอยู่ในช่วงวัยรุ่น เขาเป็น เด็กพิเศษ มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ที่เรียกว่า Learning Disability สมัยยังเด็ก ลูกไม่สามารถเรียบเรียงเรื่องราวได้ อธิบายไม่ได้ พูดไม่ชัด เขาต้องเรียนพิเศษเพื่อกระตุ้นการเรียนรู้ในส่วนที่บกพร่อง จึงสามารถเรียนรวมกับเด็กปกติได้ ช่วงที่เกิดเรื่อง ลูกนอนจับมือดิฉันทุกคืน ไปโรงเรียนก็จะเตรียมชุดนักเรียนใส่กระเป๋าเผื่อไว้ ขณะที่ลูกสาวคนเล็กกลัวจะเป็นภาระกับดิฉัน เขาจึงยังไม่มาเต็มตัว อยู่บ้านวันอังคารจนถึงเช้าวันศุกร์ และมาอยู่กับแม่ตอนเย็นวันศุกร์ แล้วกลับบ้านวันจันทร์

ณ ตอนนั้นยอมรับว่ามืดแปดด้าน เพราะตลอดเวลากว่า 20 ปี เราคิดว่าบ้านหลังนี้คือเรือนตาย แล้วเมื่อก้าวพ้นจากประตูบ้าน ดิฉัน กลายเป็นคนตกงานทันที เพราะเราทำธุรกิจของครอบครัวด้วยกัน ดิฉันกลายเป็นหม้าย ป่วยหนัก และตกงาน ไร้บ้าน ขาดทุนทรัพย์ ทุกอย่างถาโถมเข้ามาจนไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนก่อน นับว่าดิฉันโชคดีเหลือเกินที่มีเพื่อนๆ น่ารัก ทุกคนหยิบยื่นความช่วยเหลือต่างๆ นานา คนหนึ่งพาไปดูบ้าน ทำความสะอาดพร้อมเข้าอยู่ได้เลย แต่ดิฉันปฏิเสธ ดิฉันขายเครื่องประดับติดตัว พร้อมนำเงินชดเชยที่บริษัทประกันชีวิตจ่ายให้ ไปเช่าอพาร์ตเมนต์อยู่กับลูก เรียกว่าจุดเริ่มต้นสร้างชีวิตใหม่มีเพียงกระเป๋าเสื้อผ้า หนังสือเรียน กับของใช้ติดตัวมาไม่มาก ช่วง 3-4 วันแรกในอพาร์ตเมนต์มีเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญ ซักผ้าเสร็จก็ไม่รู้จะตากผ้าที่ไหน ดิฉันปลดไม้แขวนเสื้อที่เขามีให้ในตู้เสื้อผ้าแขวนเสื้อ ตากรอบห้องเลย แล้วจึงขับรถไปซื้อราวตากผ้า หม้อหุงข้าว เครื่องใช้ที่จำเป็น

มรสุมชีวิต

ตอนเช้าดิฉันจะขับรถไปส่งลูกที่โรงเรียนแล้วไปฉายแสง จากนั้นนอนพักในรถ แวะตลาดซื้อกับข้าวถุงแล้วไปรับลูกกลับห้อง คิดว่า ในยามที่เงินทองมีจำกัด เราไม่ต้องขับรถดีๆ ที่มีอยู่ก็ได้ แม้จะรักมาก แต่ไม่ต้องมีก็ได้ จึงบอกขายรถ หนึ่งเดือนต่อมาลูกสาวคนเล็กย้ายมาอยู่ด้วย ซึ่งเขาปรับตัวได้ดีมาก แม้ทั้งสองคนจะเติบโตตอนที่ครอบครัวมีฐานะแล้ว มีรถรับ-ส่ง มีพี่เลี้ยง

แต่เมื่อมาอยู่อพาร์ตเมนต์ 3 คนแม่ลูก ต้องกินข้าวแกงถุง กินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ซักผ้าด้วยเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญ ใช้ชีวิตเหมือนนักศึกษามากกว่าจะเป็นผู้หญิงวัย 52 ที่เป็นมะเร็งอยู่กับลูกสาววัย 17 กับ 15 ดิฉันบอกลูกทุกเรื่องว่าวันนี้แม่ไปทำอะไรกับใคร เพราะระลึกอยู่เสมอว่าทุกครั้งที่หันหลังออกไปจากบ้าน เราไม่รู้หรอกว่าจะได้กลับมาหาลูกหรือเปล่า ดิฉันโชคดีที่มีลูกเป็นหลักธง เขาเข้มแข็งกว่าที่คิด เรามีความสุขในห้องเล็กๆ กินข้าวพร้อมกัน นอนเบียดกัน ฟังเขาคุยเล่าโน่นนี่ มีหลายครั้งที่กลับมาถึงห้องเห็นลูกสาวคนโตหุงข้าว นำผ้าลงไปซักให้ ส่วนคนเล็กทำกับข้าว ดิฉันเห็นลูกแล้วน้ำตาซึม เพราะฉะนั้นดิฉันจะยอมแพ้ไม่ได้ หากเราล้ม ลูกสองคนจะอยู่อย่างไร

มรสุมชีวิต

ดิฉันจึงเริ่มหางานทำ เคยจะไปขายของที่ตลาดนัด แต่ได้งานเขียนแผนธุรกิจและศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการที่ระยองก่อน เป็นจ๊อบ 6 เดือน โดยมีออฟฟิศอยู่กรุงเทพฯ ไปประชุมที่ไซต์งานเดือนละอย่างมาก 2 ครั้ง ตอนนั้นยังฉายแสงอยู่ ผิวไหม้ดำ ผมก็ไม่มี ขับรถทางไกลก็ไม่ไหว ก็ได้เพื่อนๆ ที่สลับกันขับรถไปทำงาน

ชีวิตทุกข์ที่สุดตอนอายุ 52 ทั้งเป็นมะเร็ง แม่หม้าย ทั้งโกรธ เสียใจ ตื่นก็ร้องไห้ ไม่กิน ไม่นอน ถามตัวเองซ้ำๆ ว่าทำไมจึงเป็นได้ขนาดนี้ จำได้เลย ไปทำงานที่คอนโดลูกค้า อยู่ชั้น 28 ความคิดแว่บหนึ่งผ่านเข้ามา กระโดดเลย ทุกอย่างจะได้จบ

หลายเดือนต่อมาดิฉันขายรถได้ เพื่อนเห็นไม่มีรถก็นำรถลูกชายมาจอดไว้ให้ใช้พร้อมกุญแจ บอกเรื่องเงินไม่ต้องพูดถึง แล้วเพื่อนอีกเช่นกันที่หางานให้ทำ เป็นงานบริหารจัดการก่อสร้างและตกแต่งคอนโดเก่า ดิฉันไปทำงานทั้งที่จิตใจยังเจ็บปวดเหลือเกิน ชีวิตทุกข์ที่สุดตอนอายุ 52 ทั้งเป็นมะเร็ง แม่หม้าย ทั้งโกรธ เสียใจ ตื่นก็ร้องไห้ ไม่กิน ไม่นอน ถามตัวเองซ้ำๆ ว่าทำไมจึงเป็นได้ขนาดนี้ จำได้เลย ไปทำงานที่คอนโดลูกค้าอยู่ชั้น 28 ดิฉันเปิดประตูออกไปที่ระเบียง กำลังมองวิวเพลินๆ ไม่รู้ทำไมความคิดแว่บหนึ่งผ่านเข้ามา ‘กระโดดเลย ทุกอย่างจะได้จบ’ ขาข้างหนึ่งก้าวห้อยออกไปแล้ว บังเอิญเหลือเกินเสียงโทรศัพท์ดัง ลูกสาวคนเล็กโทร.มาว่า ‘เย็นนี้ซ้อมบาส แม่มารับค่ำหน่อยนะ’ เท่านั้นละ สติ ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีกลับคืน ดิฉันเข่าอ่อน ทรุดลงไปกองอยู่ที่ประตู

มรสุมชีวิต

หลังผ่าตัด หมอได้นำชิ้นเนื้อไปตรวจจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม เป็นวันฉายแสงวันสุดท้าย หมอบอกว่าจากผลการตรวจชิ้นเนื้อพบว่า ดิฉันเป็นมะเร็งเต้านมชนิด HER2 Negative ไม่ตอบสนองกับยาต้านฮอร์โมน เพราะฉะนั้นกระบวนการรักษาแค่หยุดการลุกลามชั่วขณะ ยังต้องติดตามและเฝ้าระวัง ทุกเดือนต้องตรวจเลือด ทำแมมโมแกรม อัลตราซาวด์ หากโชคร้ายมะเร็งจะกลับมาอีก ยอมรับว่าใจแป้วอยู่เหมือนกัน แต่เมื่อชีวิตผ่านเรื่องราวมาตั้งมากมาย ก็ทำใจได้ว่าต้องรักตัวเอง อยู่กับวันนี้ วินาทีนี้ ทำทุกอย่างให้ดีที่สุด ทุกเช้าดิฉันจะบอกตัวเองว่า วันนี้ต้องดีกว่าเมื่อวาน เศร้าได้ แต่ต้องไม่จมอยู่ในทุกข์ แม้ไม่ร่ำรวย แต่ก็มีความสุขกับชีวิต ดิฉันบอกลูกว่า แม่สัญญา เราจะพาชีวิตดีๆ ของเรากลับคืนมา

“นับตั้งแต่วันแรกที่ออกจากบ้านจนถึงวันนี้ 2 ปีแล้ว ดิฉันมีงานทำต่อเนื่อง มีโอกาสรับงานใหญ่ขึ้น ทั้งออกแบบตกแต่งอพาร์ตเมนต์เก่า สร้างโรงเรียน ออกแบบอาคารสำนักงาน ปัจจุบันดิฉันมีบริษัทรับออกแบบ ก่อสร้างเป็นของตัวเอง

“ส่วนมะเร็ง ดิฉันบอกเขาเสมอว่า เราอยู่เป็นเพื่อนกัน อย่าเหิมเกริมเด็ดขาด”

 


เรื่องและภาพ: นิตยสารแพรว

Praew Recommend

keyboard_arrow_up