เรียนจบไฟแนนซ์ เคยคิดจะเป็นนักบิน สุดท้ายมาลงเอยที่การเป็นดีเจและพิธีกร “แบม – ปีติภัทร คูตระกูล” ชายหนุ่มที่เพิ่งเข้าวัยเบญจเพส ตอนนี้เขากำลังสะสมประสบการณ์ตัวเองให้เติบโตเป็นพิธีกรระดับแถวหน้าของเมืองไทยตามรอยไอดอลของเขาให้ได้
วันนี้เขาก้าวมาในสเต็ปที่คนเริ่มรู้จักเขามากขึ้นในฐานะพิธีกรรายการแข่งขันทำอาหาร เขาเป็นใคร มาจากไหน ทำไมหลายคนถึงหลงเสน่ห์มากขึ้นเรื่อยๆ Exclusive Talk วันนี้จะเปิดเรื่องราวของหนุ่มคนนี้แบบเต็มๆ

แบมเรียนจบด้านไหนมา
แบม : ผมจบ MBA สาขาไฟแนนซ์ เป็นภาคอินเตอร์ ที่คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยครับผม
เรียนด้านนั้นมา แสดงว่าไม่ได้ตั้งใจจะเข้าวงการบันเทิงตั้งแต่แรกน่ะสิ
แบม : สำหรับผม การอยู่ในที่ที่เดียวมันไม่ใช่ผมเลย การนั่งออฟฟิศไม่ใช่เลย และอาจจะเพราะผมเองได้มีโอกาสสัมผัสชีวิตการทำงานด้านนี้มาจากที่ Travel Channel เป็นรายการท่องเที่ยว ซึ่งผมได้ไปเป็นพิธีกรที่แรกเลย เป็นช่องเคเบิลทีวี ตอนอยู่ปีสองเองครับ
แค่งานนั้นก็ทำให้เบนเข็มตัวเองมาด้านพิธีกรเลยหรอ
แบม : ตอนแรกไม่รู้ใจตัวเองเลยว่าเราชอบด้านนี้ พ่อแม่ก็แนะนำเราให้ไปอีกแนวทางหนึ่ง เพราะพ่อจบบัญชี แม่จบอักษรฯ แม่เลยไม่อยากให้ลูกโลเล อยากให้คิดเร็วและเป็นระบบ ยิ่งเป็นผู้ชายด้วย ถ้าเราทำธุรกิจ เราก็ควรจะไปด้านนี้ เลยตัดสินใจว่าถ้างั้นบัญชีละกัน กลางๆ ดี และไปต่อยอดอย่างอื่นได้
จริงๆ ผมเคยได้ทุนนักบินด้วย ก่อนมาเป็นดีเจ เป็นสายการบินแห่งชาติในไทยนี่แหละ ตอนแรกดีใจมากเลยที่ได้ แต่พอถึงทางแยกที่เราต้องเลือกว่าจะเดินทางไหน ผมทิ้งไม่ลงจริงๆ คือผมชอบการเจอคน การคุย ชอบมาก สนุกกับการแลกเปลี่ยนความคิด
พ่อแม่ผมก็เป็นคนที่รุ่นใหม่มาก แล้วแต่ผมทุกอย่าง แต่แค่ต้องทำให้ดี ทำที่เรามีความสุข และเขาก็บอกผมว่านักบินไม่เหมาะหรอก นักบินมีการสอบทุก 6 เดือน ต้องสอบใหม่เพื่อเทสต์สมองตลอดเวลา ผมก็ถามตัวเองว่าคุณไหวหรือเปล่า ต้องอ่านหนังสือตลอดชีวิต คือมีอยู่ 3 อาชีพครับที่ต้องยกย่อง น่าชื่นชมมากเลย ก็คือ นักบิน หมอ นักกฎหมาย ต้องอ่านหนังสือตลอดชีวิต ผมว่าก็ไม่ใช่ผมเท่าไหร่
ตอนเด็กๆ แบมดื้อไหม
แบม : ผมสนิทกับพ่อแม่มาก มีพี่สาวคนนึงก็สนิทกันมาก เรียนด้วยกัน แต่ผมไม่ใช่คนเรียนเก่งครับ ผมรู้ตัวว่าเรียนหมอไม่ได้ สมองมีแค่นี้จริงๆ (หัวเราะ) ถามว่าดื้อไหมเหรอ…ผมว่าผมเป็นเด็กที่อยู่ในโอวาทตลอด ผมเป็นเด็กน่ารัก (หัวเราะ) จริงๆ ต้องให้คุณแม่บอกครับ แต่ผมก็มีเกเรบ้างแหละ นิดๆ หน่อยๆ
ย้อนกลับมาที่เรื่องงานต่อ เห็นว่าตอนนี้มาเป็นดีเจด้วย
แบม : ใช่ครับ ผมเป็นดีเจอยู่ที่คลื่น Get 102.5 จัดคู่กับโก้ – วศิน ตอนนี้ก็ 4 ปีแล้วครับ แต่คนอาจจะไม่ค่อยรู้ เพราะคุ้นหน้าผมจริงๆ ก็คือตอนที่มาเป็นพิธีกรในรายการ Top Chef Thailand
มาร่วมงานกับรายการนี้ได้ยังไง
แบม : คืออย่างที่รู้กันว่าทุกคนมาเห็นผมจริงๆ ก็คือทางช่อง one จุดเริ่มต้นคือพี่ต๊ะ – นารากร เคยเป็น บรรณาธิการข่าวยู่ที่นั่น ตอนนั้นพี่ต๊ะกำลังหานักข่าวรุ่นใหม่ แล้วไปเห็นผมในไอจี ให้ลูกน้องเขาติดต่อมาหาผม เรียกผมไปคุย ก็มีคุยกันว่า…เออ สนใจอยากทำข่าวไหม คือผมก็อยากเปิดรับโอกาส เพราะเขาอาจจะเห็นศักยภาพในตัวเรา ทั้งที่ในใจเราก็คิดว่ายากเหมือนกันนะกับงานด้านนี้ แต่อยากลองดู ผมลองทำไป 3 – 4 เทป จนเทปสุดท้าย พี่ต๊ะก็ผลักดันให้พี่บอยลองดูเรา เลยมีโอกาสได้มาคุยกับพี่บอยว่าเราชอบอะไร ถนัดด้านไหน
เจอพี่บอยครั้งแรก เป็นยังไงบ้าง
แบม : เกร็งเลย (หัวเราะ) ตื่นเต้นมาก ก็ไม่ค่อยเป็นตัวของตัวเองเท่าไหร่ครับ แต่พี่บอยคงเห็นอะไรในตัวเรา ก็ดีใจที่เขาเห็น เลยได้มาทำรายการ “เรื่องของเรื่อง” ก่อน ตอนนั้นทำคู่กับพี่แฟรงค์อยู่ 7 เดือน ก็ได้มาทำรายการ Top Chef Thailand ต่อเลย
ทำรายการอาหาร เป็นคนชอบกินหรือชอบทำหรือเปล่า
แบม : จริงๆ คือผมเคยทำรายการครัวอินดี้ด้วย เป็นช่วงท้ายๆ แล้ว บวกกับเราถนัดกับเรื่องกินเที่ยวที่เคยทำในรายการ Travel Channel ก็เลยเอามาปรับใช้เข้ากันได้
ฟีดแบ็กยังไม่ได้ดีมากในช่วงแรกๆ ที่ออกอากาศ ก่อนมาทำคาดหวังหรือกลัวอะไรไหม
แบม : เรื่องเรตติ้งรายการผมไม่ได้คิดอะไรมาก จะมีก็เรื่องมีคนบอกว่าพิธีกรคนนี้คือใคร ทำไมไม่เอาคนที่รู้จักมาเป็นพิธีกร แต่เรื่องจุดสนใจผมว่าไปที่กรรมการซะเยอะมากกว่า เพราะดุซะเหลือเกิน (หัวเราะ) แต่เราก็ดีใจที่มีคนบอกว่าเราพูดชัด เพราะจริงๆ ตรงนี้มันคือสิ่งที่พิธีกรที่ดีควรจะเป็น บทบาทของพิธีกรในรายการนี้คือ เราเป็นเหมือนสะพานระหว่างคนดูทางบ้านได้เรียนรู้เรื่องเกี่ยวกับอาหารและศัพท์เฉพาะของเชฟ เราก็ถามอย่างคนไม่รู้นี่แหละครับ ก็จะเป็นบทบาทที่ผมได้รับตรงนี้
“ผมทำการบ้านเยอะมาก ช่วงแรกก็มีปรับตัวบ้าง คือเราจะท่องสคริปต์อย่างเดียวไม่ได้ แต่เราต้องใส่ความจริงใจลงไปในทุกคำพูดด้วย”
แบมเป็นคนที่ต้องเป๊ะตลอดเวลาไหม
แบม : ผมเหรอ…ถ้าเรื่องงานคงต้องเป๊ะ เราต้องทำงานแบบมืออาชีพ แต่ผมไม่ได้เครียดนะ เพราะทุกวันนี้ผมมองว่างานที่ผมทำมันเป็นงานที่สนุก แต่ถ้าหมายถึงไลฟ์สไตล์ของผม ผมเป็นคนสบายๆ แต่งตัวง่ายๆ เสื้อคอกลม กางเกงขายาวหรือกางเกงขาสั้น แค่นั้นเอง
ถ้าไม่ทำงาน วันว่างแบมอยู่กับอะไรได้นานที่สุด
แบม : ผมเป็นคนชอบถ่ายรูปมาก ตอนนี้เลยมีของเล่นใหม่เป็นโดรน ได้ลองถ่ายภาพมุมสูง เห็นอะไรใหม่ๆ ผมว่าสนุกดี ผมเองก็เป็นคนที่ค่อนข้างจะอัพเดตเทคโนโลยีตลอด รู้สึกสนุกกับอะไรใหม่ๆ ดีใจที่ได้เกิดในยุคนี้ครับ ได้เล่นเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่อยู่ในมือเราเลย
ถ้าพูดถึงแบม – ปีติภัทร ผู้ชายคนนี้เป็นคนแบบไหน
แบม : อืม…ตอนนี้ผมพอใจในชีวิตตัวเองมาก ผมเป็นคนที่แฮ็ปปี้กับทุกชั่วขณะชีวิต สนุกกับทุกอย่างที่ทำ และแฮ็ปปี้กับครอบครัวมาก พ่อแม่อบอุ่นมาก ท่านไม่เคยสอนอะไรจุกจิก แต่ท่านทำให้เห็นถึงเรื่องของการบาลานซ์ชีวิตให้ได้ดี ผมเองเป็นคนที่ค่อนข้างจัดระเบียบตัวเองได้ แต่มีพ่อแม่ช่วยตบๆ ด้วยบ้าง อย่างเรื่องงานท่านก็มีแนะนำว่าทำโปรไฟล์ ทำพอร์ตของตัวเองสิ จะได้เอาไปเสนอได้สะดวกว่าเราเคยผ่านงานอะไรมาบ้าง
ตอนนี้มีสังกัดอยู่ชัดเจนหรือยัง
แบม : ยังเป็นฟรีแลนซ์อยู่ ทำทั้งดีเจและรับงานพิธีกรด้วย ทั้งรายการและอีเว้นต์ ส่วนละครยังไม่มีครับ คือผมเองมองว่าเราก็ไม่ได้สูงมาก แค่ 173 เซนติเมตร หน้าตาก็ไม่ได้หล่อมาก แต่ผมว่าโชคดีที่เราอยู่ถูกยุค เพราะหน้าตี๋ๆ แบบนี้ (ชี้หน้าตัวเอง) กลายเป็นดีซะงั้น (หัวเราะ)
ความกล้าแสดงออกมีมาตั้งแต่เด็กเลยหรือเปล่า
แบม : จริงๆ ผมเคยมีปมนะ ผมเคยพูดติดอ่างมาก่อนนะครับ เด็กชายปีติภัทรตอนเด็กๆ จะพรีเซ้นต์งานคือแย่มาก แต่เป็นคนทะเล้น กล้าพูดกล้าทำ แต่ติดอ่างเป็นปมเลย มันเป็นเรื่องที่แปลกมาก ใจเราก็ยังอยากเป็นพิธีกร แต่ก็ค่อยๆกล้าขึ้นเรื่อยๆ ความกลัว ความประหม่าน้อยลง จนเราควบคุมความรู้สึกนี้ได้
มีอยู่งานหนึ่ง ผมพูดติดอ่างบนเวที เป็นงานใหญ่ที่พารากอนเลยนะ พูดไม่ออกไป 8 วินาที แต่ทุกอย่างเป็นประสบการณ์ครับ ไม่มีคำว่าเฟล มันมีไว้เพื่อเรียนรู้ คือผมจะคิดไว้ก่อนเลยว่าวันนี้เราจะมาเรียนรู้อะไรดี ไม่ใช่ว่าอยากจะทำพลาด แต่เราต้องเปลี่ยนวิธีคิดและมองข้อผิดพลาดให้เป็นประสบการณ์มากกว่า ผมให้ความสำคัญกับทัศนคติมากๆ ทุกอย่างมันเริ่มมาจากความคิดในหัว ก็ต้องเอามาเป็นผลของการกระทำ ออกมาเป็นผลลัพธ์ บางคนอาจจะหยุดทำก็ได้ถ้าพลาดแล้ว แต่ผมไม่ใช่แบบนั้น สู้ต่อไม่ได้ก็ต้องได้
ทราบมาว่าชอบคุณพีเคมาก
แบม : ใช่ครับ…เป็นไอดอลผมเลย อยากเป็นแบบพี่เขา เพราะภาพของการเป็นพิธีกรสองภาษาเขาชัดมาก และเป็นดีเจที่อยู่ในยุครุ่งเรืองด้วย เราเองก็อยากจะสร้างมุมนี้ให้คนเห็นบ้าง
แบมเองก็พูดได้หลายภาษาเหมือนกัน
แบม : พูดได้ 2 ภาษาครับ อังกฤษกับไทย ส่วนจีนพูดแบบขำๆ มากกว่า แต่เราไม่อายที่จะพูด พอจะสื่อสารได้ครับ
เปลี่ยนเรื่องแบบทันควันเลยดีกว่า…มีแฟนหรือยัง
แบม : (หัวเราะ) มีแล้วครับ เป็นนักแสดงอยู่ช่อง 7 คบมาสองปีครึ่งแล้วครับ
มีแฟนไม่กลัวเรตติ้งตกเหรอ
แบม : ผมไม่กล้าปิดบังครับ ปิดบังแล้วโดน (หัวเราะ) ไม่กลัวหรอกครับ ไม่เห็นต้องปิดบังอะไรเลย ผมไม่ใช่พระเอกนะ ไม่มีใครมองผมแบบนั้นหรอก
นายปีติภัทรคือผู้ชายเนี้ยบแบบเพอร์เฟ็กชั่นนิสต์หรือเปล่า
แบม : (คิดนาน)…มีคนเคยพูดคำนี้กับผม และผมไม่ชอบ อาจจะเป็นเพราะแม่เคยสอนว่ามันเป็นคำในแง่ลบ แต่วันนี้ที่ได้ยิน ผมดีใจที่พี่ถาม เพราะมันแสดงว่าผมก็พอจะมีอะไรที่ทำให้คนนั้นเขารู้สึกได้ว่าเราเป็นแบบนั้น และถ้าในอนาคตยังมีคนพูดแบบนี้กับผมอยู่ ผมจะตอบว่าใช่แล้วกัน และผมว่ามันดีด้วย ทัศนคติผมค่อนข้างเปลี่ยน เพราะถ้าจะประสบความสำเร็จ มันก็ต้องมีทัศนคติในระดับนั้นด้วย มันถึงจะไปถึง
ความสำเร็จที่กำลังตั้งเป้าไว้ในตอนนี้คืออะไร
แบม : ผมอยากเป็นพิธีกรแถวหน้าของประเทศ แต่เป้าใหญ่กว่านั้นคือแถวหน้าของโลก เพราะผมพูดได้สองภาษาอยู่แล้ว ก็ต้องหมั่นฝึก และเราก็ตั้งเป้าหมายไปให้สุดไว้ก่อน ก็เพิ่งคิดไว้ พอมันมีเป้าแล้ว ก็จะเริ่มรู้ว่าเราต้องพัฒนาอะไรเพิ่มเติมเพื่อให้ไปถึงจุดนั้น
สงสัยพี่พีเคจะเจอคู่แข่งตัวจริงซะแล้วนะงานนี้…
เรื่อง : SRIPLOI
ภาพ : วาระ สุทธิวรรณ
สถานที่ : โรงแรม SO Sofitel Bangkok สาทร