ฝ่าลมหนาวที่ DACHSTEIN @AUSTRIA (ตอนที่ 2)

ถ้าเอ่ยชื่อ ดัคชไตน์ (Dachstein) ขึ้นมาลอยๆ คงมีน้อยคนที่จะรู้จัก แต่ถ้าพูดต่อว่า นี่คือชื่อของเทือกเขาสูงใหญ่ซึ่งยืนตระหง่านอยู่ทางด้านหลังของเมืองมรดกโลก แหล่งท่องเที่ยวชื่อดังของเมืองที่ตั้งอยู่ริมทะเลสาบชื่อเดียวกันว่า ฮัลล์สตัทท์ (Hallstatt) ละก็ คงร้องอ๋อ…

หลังจากเก็บกระเป๋า เดินทาง พักผ่อนที่โรงแรมแถวริมทะเลสาบฮัลล์สตัทท์ที่เมืองโอเบอร์โทรนไปเมื่อตอนที่ 1 เช้าต่อมาก็มุ่งหน้าสู่ Ramsau am Dachstein

หลังอาหารเช้าและการพักผ่อนอย่างเต็มอิ่ม เราไปเที่ยวต่อ โดยใช้เส้นทางเดิมเมื่อวานนี้ขับย้อนกลับมาผ่านเมืองฮัลล์สตัทท์เรื่อยไป จนถึงถนนหมายเลข B166 ซึ่งเป็นทางแยกไปเมืองอีเบนิมพอนเกา (Eben im Pongau) ถนนหมายเลข B166 นี้เป็นถนนสายสั้นๆ ยาวเพียง 48 กิโลเมตร แต่เป็นทางคดเคี้ยวบนเขา (จุดสูงสุดบนเส้นทางนี้สูงถึง 957 เมตร) ถ้าท่านขับรถไปควรระวังมากๆ เรามาจนถึงทางแยก ซึ่งสาย B166 มาบรรจบกับสาย B99 เราเลี้ยวซ้ายไปยังจุดหมายปลายทางที่เมืองรัมเซา อัม ดัคชไตน์ (Ramsau am Dachstein) ซึ่งจะแยกซ้ายไปบนถนนสาย L711 (Ramsauer Strasse) อีกที

DACHSTEIN
ถนนบนเขาไปเมืองรัมเซา อัม ดัคชไตน์
DACHSTEIN
สถานีเคเบิลคาร์ เปิดให้บริการตลอดปี

ขับตามป้ายบอกทางขนาดใหญ่ ซึ่งมีติดอยู่ข้างทางไปพักใหญ่ เราจึงเจอถนนทางแยกเข้าสู่สถานีเคเบิลคาร์ขึ้นยอดเขา (มีป้ายใหญ่ติดอยู่ข้างทาง) ถนนทางเข้านั้นมีไม้กั้นปิดไว้ (ถนนสายนี้ชื่อเดียวกับยอดเขาคือ Dachstein Strasse) ขับรถเข้าไปกดปุ่มรับบัตรตรงไม้กั้นทางเข้าได้เลย ไม้จะยกเปิดออกให้รถเข้าได้ ขับต่อไปอีกไม่กี่กิโลเมตรถนนก็ไปสุดตรงสถานีเคเบิลคาร์ (เมื่อดูจากแผนที่จะเห็นว่าอยู่ตำแหน่งเดียวกันกับสถานีเคเบิลคาร์ขึ้นแท่นไฟว์ฟิงเกอร์ส เพียงแต่อยู่คนละด้านของภูเขา) ผมจอดรถตรงลานกว้างแล้วไปซื้อตั๋ว ผมเลือกซื้อตั๋วชนิดรวมกระเช้าและสะพานแขวนให้ทุกคนในคณะ

บนยอดเขาแห่งนี้ยังมีปราสาทน้ำแข็ง (Ice Palace) ถ้าต้องการไปชมก็ซื้อตั๋วราคา 10 ยูโรเพิ่มได้ แต่ผมคิดว่าค่าตั๋วแพงไปหน่อย โดยเฉพาะปราสาทน้ำแข็งนี้สร้างโดยมือมนุษย์ ขนาดไม่ใหญ่นัก

DACHSTEIN
บนดาดฟ้าของกระเช้าจะเปิดให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปยืนด้านบนได้เฉพาะในฤดูร้อน

ตัวเคเบิลคาร์ขนาดใหญ่สีเหลืองสดใสสองตัวที่ให้บริการนั้น แต่ละตัวมีสองชั้น ชั้นบนเปิดโล่งเป็นดาดฟ้าให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปยืนชมวิวรับลมหนาวกับประสบการณ์ความเสียว จากการที่สามารถมองเห็นทุกอย่างได้อย่างใกล้ชิดสุดๆ (เคเบิลคาร์สีเหลืองสองตัวนี้เพิ่งเปิดให้บริการเมื่อปี ค.ศ. 2013 ชั้นบนของกระเช้าจะเปิดให้ขึ้นได้เฉพาะในฤดูร้อน) เมื่อขึ้นไปจนถึงสถานีด้านบนเขาซึ่งตั้งอยู่บนความสูงถึง 2,700 เมตรแล้ว นักท่องเที่ยวต่างพากันแยกย้ายไปทำกิจกรรมที่มีอยู่หลากหลาย

DACHSTEIN
เดินตามนักเล่นกีฬาร่มร่อนกลุ่มหนึ่งที่ขึ้นกระเช้ามาพร้อมกัน

บรรดานักกีฬาสกีหรือสโนว์บอร์ด ซึ่งขึ้นเคเบิลมาพร้อมกันกับเรา พากันเดินเลยไปขึ้นเคเบิลคาร์ตัวเล็กแบบนั่งห้อยขาเพื่อขึ้นต่อไปยังเนินเล่นสกี ส่วนพวกเราขอเริ่มกันก่อนที่สกายวอล์ค คือแท่นแพลตฟอร์มขนาดใหญ่ กว้าง 3 เมตร ยาว 17 เมตร สร้างยื่นออกไปในอากาศเหนือหุบเหวเบื้องล่าง เพียงแค่นั้นผู้สร้างคงยังคิดว่าเสียวไม่พอสำหรับคนเป็นโรคกลัวความสูง จึงทำตรงพื้นด้านหน้าเป็นช่องกระจกใสเอาไว้ให้คนได้ไปยืน เดิน หรือนั่งมองลงไปยังเหวเบื้องล่างเห็นอยู่ลึกลงไปไกลลิบๆ

DACHSTEINนอกจากประสบการณ์เสียวจากความสูงแล้วตรงนี้ยังเป็นช่องที่มีลมพัดแรงจัด เราทุกคนต่างพากันหนาวสั่นไปกับลมหนาวที่พัดมาปะทะจนหน้าชา ทนยืนอยู่ได้ไม่นานนัก ในวันที่ฟ้าใสอากาศดีนั้น นักท่องเที่ยวสามารถมองเห็นไปได้ไกลถึงยอดเขาไตรกลาฟ (Triglav) ซึ่งอยู่ในประเทศสโลวีเนียเลยทีเดียว นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ต่างก็มาเริ่มต้นกันที่นี่เหมือนพวกเรา เพราะสกายวอล์คอยู่ติดกับตัวสถานีเลย

เดินไปสู่บันไดแห่งความว่างเปล่า

เราพากันเดินออกไปทางด้านหลังสถานี ลงเนินเดินไปบนหิมะตามป้ายบอกทาง ไปสะพานแขวนดัคชไตน์ (The Dachstein Suspension Bridge) เจ้าของสถิติสูงที่สุดในออสเตรีย และบันไดสู่ความว่างเปล่า (Stairway to Nothingness) ทั้งสองจุดนี้สร้างเสร็จและเปิดใช้งานพร้อมกันเมื่อสองปีที่ผ่านมานี้เช่นกัน (กรกฎาคม 2013) สะพานแขวนที่เราเห็นอยู่เบื้องหน้าทอดยาวข้ามหุบเขา มีความยาว 100 เมตร ราวสะพานสูง 1.30 เมตร สูงระดับหน้าอกของผู้ชาย กว้างพอให้คนเดินสวนกันได้ดูปลอดภัยและแข็งแรงดี เวลาเดินสะพานจะสั่นไหวนิดหน่อยพอให้ตื่นเต้นเล็กน้อย หากแต่ภาพของเหวลึกใต้เท้าเราที่ดิ่งลิ่วลงไปนั่นต่างหากที่ทำให้หวาดเสียวตื่นเต้นได้มากกว่า

DACHSTEIN
สะพานแขวนยาว 100 เมตรทอดข้ามหุบเขาสูง

ต่อจากสะพานแขวนก็ไปถึงบันไดสู่ความว่างเปล่า ซึ่งเป็นบันไดยาวสิบกว่าขั้น สร้างยื่นลอยออกไปอยู่กลางอากาศ เท่านี้ผู้สร้างรู้สึกว่ายังไม่หวาดเสียวพอ ยังทำบันไดสามขั้นสุดท้ายและพื้นล่างสุดเป็นกระจกใสด้วย

ผมถามความรู้สึกของคณะเราซึ่งลงไปยืนตรงจุดนั้น ทุกคนตอบว่า สัมผัสได้แต่ความหวาดเสียวมากกว่าความสวยงามของทัศนียภาพที่อยู่เบื้องหน้าและเบื้องล่างเสียอีก พวกเราเดินเที่ยวกันท่ามกลางลมหนาวที่พัดแรงจัดมากจนหน้าและหูชากันถ้วนทั่ว แล้วก็ได้เวลาเดินกลับไปสถานี ในขากลับนี้สะดวกมากเพราะมีทางเลื่อนอยู่ในอุโมงค์กันลม ซึ่งมีไว้บริการพานักสกีและพวกเราเลื่อนขึ้นเนินสูงกลับขึ้นไปแบบไม่เหนื่อย และไม่ต้องกลัวลื่นด้วย

DACHSTEINโรงแรมที่พักของเราคืนนี้อยู่ที่เมืองชลัดมิง (Schladming) ตรงปากทางแยกเข้ามาสถานีเคเบิลคาร์นั่นเอง ตั้งอยู่บนเนินเขาสูงวิวสวยดีทีเดียว ชื่ออัลไพน์คลับ อพาร์ตเมนต์ (Alpine Club Apartment Alpineweg 142, 8971 Schladming Austria) ปกติในฤดูหนา

นักท่องเที่ยวที่มาเล่นสกีจะพักที่อพาร์ตเมนต์นี้กันแบบนานเป็นสัปดาห์ขึ้นไป ในช่วงนั้นห้องจึงเต็มเสมอ แต่เราโชคดีไปในช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง จึงมีห้องว่าง เราจึงได้พักในอพาร์ตเมนต์ขนาดใหญ่ มีห้องรับแขก ห้องครัว และห้องนอนแยกต่างหาก กว้างขวางเหลือเฟือสำหรับการพักยูนิตละ 2 คน แต่จ่ายราคาเท่ากับห้องคู่โรงแรมทั่วไป

สำหรับโรงแรมที่พักในเมืองโอเบอร์โทรน ริมทะเลสาบฮัลล์สตัทท์นั้นมีอยู่สองแห่งที่ผมใช้พักเป็นประจำเมื่อมาเที่ยว แล้วแต่ว่าโรงแรมไหนจะมีห้องว่าง คือ โรงแรมซีโฮเต็ล (Seehotel Am Hallstãttersee Seestra e 152, 4831 Obertraun Austria) ตั้งอยู่ห่างทะเลสาบเพียง 50 เมตร กับโรงแรมเฮา อัม ซี (Hotel Haus Am See Seestra e 169, 4831 Obertraun Austria) ตั้งอยู่ติดกับทะเลสาบเลย ทั้งสองแห่งนี้จอดรถหน้าโรงแรมได้ฟรี ช่วยให้ขนกระเป๋าขึ้นหรือลงจากรถได้สะดวก เวลาเช็กอินหรือเช็กเอ๊าต์เป็นอย่างมาก

DACHSTEIN
บรรยากาศเงียบสงบยามเช้าริมทะเลสาบฮัลล์สตัทท์ ข้างที่พักเมืองโอเบอร์โทรน

สำหรับผู้อ่านท่านใดอยากจะตามรอยไปเที่ยวบ้าง ควรเตรียมความฟิตของร่างกายให้พร้อม เตรียมรองเท้าดี ๆ ใส่สบาย เพราะจะต้องเดินเที่ยวในแต่ละจุดเป็นระยะทางไกลพอควร รองเท้านั้นต้องกันน้ำและกันความเย็นได้ดี (ในถ้ำน้ำแข็งที่หนาวจัดนั้นมีหลายช่วงที่ต้องเดินลุยน้ำที่ขังบนพื้น) เตรียมเครื่องกันหนาวอย่างดี เพราะจะต้องผจญกับอากาศหนาวจัดในหลาย ๆ แห่ง หลายจุดท่องเที่ยวในทริปนี้จัดว่าไม่เหมาะสำหรับผู้เป็นโรคหัวใจ โรคกลัวความสูง หรือโรคกลัวการอยู่ในที่มืดๆ แคบๆ

สำหรับผู้ที่ทำหน้าที่ขับรถนั้นต้องมีความชำนาญในการขับรถและมีประสบการณ์ในการขับรถขึ้นเขาสูงเป็นอย่างดี ควรนำจีพีเอสเนวิเกเตอร์ของท่านเองเอาติดตัวไปใช้นำทางจะสะดวกกว่าการใช้ของที่ติดมากับรถ (บริษัทรถเช่าจะคิดค่าเช่าจีพีเอสเพิ่มอีกต่างหาก)

ผมหวังว่าท่านผู้อ่านคงได้รับความเพลิดเพลิน พร้อมไอเดียสำหรับวางแผนการไปเที่ยวที่นี่ของท่านในทริปหน้านะครับ

 

ที่มา : นิตยสารแพรว ปักษ์ 882 วันที่ 25 พฤษภาคม 2559 คอลัมน์สารคดีท่องเที่ยว

Praew Recommend

keyboard_arrow_up