เข้าสู่ช่วงฤดูหนาวแถบยุโรปแน่นอนว่าทั้งเมืองจะเต็มไปด้วยหิมะที่มาพร้อมกับความหนาวเย็นระดับติดลบทั่วทั้งทวีป แต่นี่ก็เป็นอีกบรรยากาศที่มีมนต์เสน่ห์จนทำให้นักท่องเที่ยวต่างถิ่นอยากไปเยือน
12 ชั่วโมงกับการเดินทางไปอีกซีกโลกอาจจะเหมือนไกล แต่เผลอแป๊ปเดียวความงดงามที่อยู่ตรงหน้าก็ทำให้หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง การเดินทางครั้งนี้ไม่มีภาพในจินตนาการว่าจะเจอกับอะไรบ้าง เพราะทุกอย่างคือความสดใหม่ และยังไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวคนไทยไปกันมากนัก โดยเฉพาะในดินแดนยุโรปแถบบอลติก กับ 3 ประเทศที่จะพาไปเปิดความอันซีนในวิถีชีวิตของคนชนบท
เริ่มต้นทริปนี้มุ่งหน้าไปยังกรุงเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ ที่นี่คือเป้าหมายแรกเพื่อต่อเครื่องบินอีก 1 ชั่วโมง มุ่งสู่ไข่มุกแห่งยุโรปอย่างเมืองริกา ประเทศลัตเวีย โดยในเขตเมืองเก่าของริกาเป็นเมืองประวัติศาสตร์มีสถาปัตยกรรมยุโรปอันเก่าแก่สไตล์อาร์ตนูโว ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนมรดกโลกด้วย ใครที่ชอบเรื่องประวัติศาสตร์มาที่นี่ไม่ผิดหวัง เพราะคุณจะได้สัมผัสกับความยิ่งใหญ่ของสถาปัตยกรรมอันเก่าแก่ที่สวยงามและสมบูรณ์ที่สุดอีกแห่งในโลก
ความสวยงามของประเทศลัตเวียไม่ได้มีแต่แค่ในเมืองหลวงอย่างริกาเท่านั้น เดินทางออกมายังเมือง Bauska ที่นี่ยังมีอีกหนึ่งสถานที่ใจกลางหุบเขาที่สวยงามอย่างคฤหาสน์ Mazmezotne สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 18
ที่นี่ถูกปรับปรุงขึ้นมาใหม่ให้กลายเป็นโรงแรม และยังมีอาคารพิพิธภัณฑ์ที่แสดงเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของการทำโรงงานน้ำตาล ตัวอาคารทำจากอิฐและหินคงความออริจินัลเอาไว้ และปรับบางพื้นที่ให้เป็นห้องพักและสปาด้วย โดยพื้นที่ภายนอกอาคารทั้งหมดยังรายล้อมไปด้วยธรรรมชาติเหมาะกับการมาพักผ่อนและการทำกิจกรรมกลางแจ้ง
พิกัด : Mazmežotnes muiža, Mazmežotne, Rundāles pag., Rundāles nov, Mazmežotne, LV-3921, Latvia
การมาดูวิถีชนบทของชาวลัตเวียอีกหนึ่งเรื่องที่น่าสนใจ ก็คือ ความเป็นอยู่ที่แสนจะเรียบง่าย จนกลายเป็นแพชชั่นอย่างหนึ่งที่ทำให้พวกเขาได้หันกลับมาเริ่มต้นทำอะไรที่ไม่ต้องหวือหวา แต่สามารถกลายเป็นธุรกิจที่สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศได้ด้วย ที่บอกแบบนี้เพราะสถานที่ที่พูดถึงคือ Ķiploku Pasaule ฟาร์มแห่งหนึ่งที่อยู่กลางทุ่งในเขตชนบท ที่เกิดขึ้นจากสามีภรรยาชาวลัตเวีย ซึ่งทั้งคู่หลงใหลในเรื่องการทำฟาร์มกระเทียมและทำอย่างจริงจัง
ทำให้ที่นี่นอกจากจะปลูกกระเทียมเป็นหลักแล้ว ยังเอาผลผลิตจากกระเทียมมาแปรรูปเป็นสินค้าหลากหลายชนิด ทั้งซอส,เทียน ไปจนถึงทำคราฟเบียร์ จนกลายเป็น Local Product ที่ได้รับรางวัลระดับประเทศมามากมาย
พิกัด : Olaine parish, LV-2127, Latvia
ก่อนจะมุ่งหน้าไปอีกประเทศ ที่สุดท้ายที่มาเยือนลัตเวียคือ อาคารเก่าที่เคยเป็นโรงเรียนมาก่อน มองจากภายนอกแทบดูไม่ออกเลยว่าที่นี่จะเป็นอีกหนึ่งความอันซีนที่นักท่องเที่ยวจะได้รู้จักกับวิถีชนบทของชาวลัตเวียอย่างแท้จริง อาคารหลังนี้สร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 จนกระทั่งถูกนำมารีโนเวทใหม่ให้นักท่องเที่ยวได้มาเยี่ยมชม กลายเป็นคฤหาสน์สุดแอนทีคที่ชื่อว่า Brantu Manor โดยที่นี่จะมีบริการจัดเลี้ยงอาหารกลางวัน และการทำเวิร์คชอปขนมปังแบบดั้งเดิมของชาวลัตเวียด้วย
พิกัด : Brantu muiža, Brantu pagasts, Smiltenes novads, LV-4708
เส้นทางท่องเที่ยวในกลุ่มประเทศแถบบอลติกยังมีให้สัมผัสกันต่อ โดยมุ่งหน้าไปทางตอนเหนือของลัตเวียเพื่อเข้าสู่ประเทศเอสโตเนีย ทุกคนอาจจะคิดถึงเมืองหลวงอย่างทาลลินน์ก็ไม่ผิด เพราะที่นั่นมีเมืองเก่าที่สวยงามมากๆ
แต่ทริปนี้ขอฉีกแนวพาไปนอกเมืองหลวงของเอสโตเนีย ซึ่งมีแหล่งท่องเที่ยวทั้งธรรมชาติและวัฒนธรรมพื้นเมืองมากมาย ใครที่ชอบแนวลุยหน่อย ก็อาจจะไปทำกิจกรรมส่องสัตว์ป่า ที่ Toosikannu Wildlife Park ที่นี่มีสัตว์มากมายหลายชนิด โดยจะมีรถสำหรับให้บริการนักท่องเที่ยวพาชมรอบพื้นที่ด้วย
พิกัด : Toosikannu Puhkekeskus ja Metsloomapark / Toosikannu Holiday Center and Wildlife Park, Jõeküla, Järva County, Estonia
การไปดูวิถีของสัตว์ป่าที่เอสโตเนียก็ได้ประสบการณ์แบบหนึ่ง แต่การได้มาสัมผัสกับวัฒนธรรมของชาวเอสโตเนียก็เป็นอีกความทรงจำ ซึ่งถ้าได้มาจะต้องประทับใจกับบ้านหลังนี้ที่ Mooska Farm โดยตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเอสโตเนีย
ความพิเศษของที่นี่คือนอกจากจะมีบริการอาหารท้องถิ่นที่ทุกคนจะได้นั่งร่วมกันกินกับเจ้าของบ้านแล้ว ยังมีซาวน่าแบบดั้งเดิมของชาวเอสโตเนีย โดยวิธีการซาวน่าของที่นี่จะมีขั้นตอนพิเศษทั้งการสวดร่ายคาถาเป็นภาษาเอสโตเนียน และมีการนำกิ่งของต้นเบิร์ชมาตีตามร่างกาย ถือเป็นประเพณีอย่างหนึ่งที่บอกเล่าถึงวิถีชีวิต จิตวิญญาณ ความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวและบรรพบุรุษ ซึ่งได้รับเลือกให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมจาก Unesco ด้วย และยิ่งในช่วงหน้าหนาวหิมะตกแบบนี้ ใครที่อยากท้าทายความหนาวหลังจากซาวน่าเสร็จ ก็สามารถลงไปในบ่อน้ำนี้ได้เลย ขอบอกว่าเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่หาที่ไหนไม่ได้แล้ว และถ้าไปยังไงก็ต้องลอง
พิกัด : Mooska farm, Haanja parish, Võru county, Estonia 65601
มาเอสโตเนียแล้วอีกหนึ่งที่สำหรับคนรักชีสยังไงก็ต้องห้ามพลาด เพราะฟาร์มแห่งนี้ผลิตนมสำหรับทำชีสส่งออกไปทั่วยุโรปรวมถึงที่สิงคโปร์ใกล้บ้านเราด้วย Andre Cheese Farm ถือเป็นแหล่งผลิตชีสที่มีคุณภาพที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และยังได้รับรางวัล World Cheese Award หลายครั้ง ที่นี่นอกจากจะได้เห็นขั้นตอนการทำชีสแล้ว ยังมีช็อปน่ารักๆ ให้เข้าไปชมและช้อปปิ้งกันด้วย ที่นี่จะมีขายตั้งแต่แบบหั่นเป็นชิ้นๆ ขาย หรือขนาด 1 กิโลกรัมไปจนถึงก้อนละ 10 กิโลกรัม ส่วนเรื่องราคาก็ตามน้ำหนักของชีส อย่างชีส 1 กิโลกรัมราคาจะอยู่ที่ประมาณ 14 ยูโร
พิกัด : TalvikTalvikese küla, Kambja vald, Tartu maakond, 62028
เอสโตเนียนอกจากขึ้นชื่อเรื่องชีสแล้ว นมก็เป็นอีกหนึ่งโปรดักส์ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานมากว่า 100 ปี จนในที่สุดได้มีการจัดทำพิพิธภัณฑ์นมเอสโตเนียกันเลยทีเดียว ที่นี่จะมีดิสเพลย์จำลองเกี่ยวกับการผลิตนมตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน รวมถึงได้รวบรวมเอาอุปกรณ์การผลิตนมวัวแบบโบราณมาให้ชม พร้อมกับมีเวิร์คชอปทำขนมจากนมวัวให้เราได้ชิมกัน ทั้งไอศกรีม ชีสเคลือบชอคโกแลต และสมูทตี้โยเกิร์ตที่ทำกันสดๆ
พิกัด : Hans Rebase tee 1, Imavere küla, Järva vald, Järva maakond
หลังจากไปสัมผัสกับวิถีชีวิตของชาวเอสโตเนียแบบจริงจังกันแล้ว จุดหมายต่อไปก็คือการเดินทางเข้าประเทศฟินแลนด์อีกครั้ง ซึ่งจะนั่งเรือเฟอร์รี่ข้ามจากทาล์ลินน์ ประเทศเอสโตเนีย ไปยังเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ ใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงนั่งเรือข้ามทะเลบอลติกแบบชิลๆ โดยภายในเรือก็สะดวกสบายมาก มีทั้งซูเปอร์มาร์เก็ต บาร์ ร้านอาหาร รวมถึงห้องพักให้บริการด้วย
พอกลับเข้ามาฟินแลนด์อีกครั้งแน่นอนว่าทริปนี้เราเน้นไปที่การดื่มด่ำกับวิถีชีวิตที่เรียบง่ายของคนพื้นที่จริงๆ สำหรับในฟินแลนด์ ทุกคนคงรู้จักเมืองหลวงอย่างเฮลซิงกิ และแลปแลนด์เมืองซานตาครอสไปส่องดูแสงเหนือกันแล้ว แต่จริงๆฟินแลนด์ยังมีที่สวยๆ อีกเพียบ อย่างเช่นที่เมือง Lohja ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเฮลซิงกิมากนัก ใช้เวลานั่งรถประมาณ 1 ชั่วโมงเท่านั้น ที่นี่ก็มีสถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติ โดยเฉพาะสายแคมป์ปิ้งและเดินป่าคือเหมาะมากและมาได้ทุกซีซัน
The Campfire Kettukallio ที่พักที่ล้อมรอบด้วยป่าสน ซึ่งในช่วงหน้าหนาวบรรยากาศนั้นสวยมาก โดยเขาจะมีบริการอาหารแบบแคมป์ปิ้ง หรือถ้าอยากเดินป่าก็ได้เหมือนกัน นอกจากนี้ยังมีห้องซาวน่าแบบTraditional ให้บริการพร้อมกับบ่อน้ำร้อนแบบเอาท์ดอร์ และด้วยบรรยากาศที่สวยงามเป็นธรรมชาติแบบนี้ จึงทำให้ที่นี่เคยได้รางวัลแหล่งท่องเที่ยวของเมือง Lohja ในปี 2018 ด้วยนะ มาแล้วไม่ผิดหวังเลยจริงๆ
พิกัด : Joenpellontie 145 08480 Lohja, FINLAND
ฟินกับบรรยากาศหนาวหิมะขาวทั่วเมืองกันไปแล้วลงมาดำดิ่งสู่ชั้นใต้ดินกับที่พิพิธภัณฑ์เหมืองแห่ง Lohja : The Tytyri Mine Experience กันบ้าง
ที่นี่คือสถานที่ท่องเที่ยวและยังเป็นแหล่งการเรียนรู้ของคนทุกวัย ให้ได้สัมผัสกับการย้อนอดีตไปในยุคที่มีการขุดเหมืองในปี 1897 โดยภายในเหมืองมีการจัดแสดงนิทรรศการทั้งในรูปแบบ Installation แสง สี เสียง ได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ อีกทั้งยังมีพื้นที่จัดเลี้ยงอาหารกลางวันให้กับนักท่องเที่ยว ซึ่งเป็นบรรยากาศที่หาที่ไหนไม่ได้ นอกจากที่นี่เท่านั้น
พิกัด : Kuilukatu 42, LOHJA,FINLAND
ความงดงามของสถานที่ท่องเที่ยวแต่ละแห่งก็ว่าสวยงามและตราตรึงใจแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ใครที่ได้มาเที่ยวประเทศในกลุ่มบอลติกต้องหลงรักก็คือ ความอบอุ่นและความน่ารักของผู้คนที่นี่ ซึ่งทำให้เปลี่ยนความคิดใหม่ไปได้ว่า เที่ยวยุโรปไม่ได้จำกัดอยู่แค่ประเทศยอดฮิตอย่างเดียว แต่เสน่ห์ของยุโรปฝั่งบอลติกก็มีดีไม่แพ้กัน
ที่สำคัญคือค่าครองชีพนั้นถูกกว่าโดยเฉพาะที่ลัตเวียกับเอสโตเนีย และยิ่งถ้ามาช่วงหน้าหนาวหิมะตกจะสวยงามโรแมนติกมาก แต่ก็อย่าลืมติดเสื้อโค้ท เสื้อกันลม และอุปกรณ์เพิ่มความอบอุ่นกันมาให้ครบด้วยนะ เพราะอุณหภูมิที่นี่หนาวไม่แพ้แถบสแกนดิเนเวียเหมือนกัน
สำหรับใครที่สนใจอยากไปทริปแบบนี้สามารถติดต่อไปที่ Baltic Country Holidays, Visit Lohja and Estonian Rural Tourism: https://gorural.countryholidays.info/en/contacts เพื่อสอบถามข้อมูลและเส้นทางการท่องเที่ยวแบบนี้ได้เลย ประสบการณ์เปิดโลกกว้างแบบนี้ดูแต่ภาพยังไงก็ไม่ฟินเท่าได้ลองไปสัมผัสเอง
ภาพ : Tommykae