account_circleในที่สุดสองช่องหลักก็กลับมาทวงบัลลังก์ ส่งสองละครพีเรียด ทองเอก หมอยา ท่าโฉลง VS บ่วงสไบ มากระชากเรตติ้งชนิดที่กินกันไม่ลง
คราวนี้ถือเป็นศึกละครพีเรียดระหว่างสองช่องใหญ่ อย่างทองเอก หมอยา ท่าโฉลง จากช่องน้อยสี และบ่วงสไบ จากช่องมากสี ที่ถึงแม้จะเป็นละครย้อนยุคเหมือนกัน แต่อารมณ์ของละครมีความแตกต่างกันมาก เรื่องหนึ่งดราม่าเข้มข้น แถมยังชวนหลอน ส่วนอีกเรื่องได้ความฮา เบาสมอง แต่ก็สาระเพียบ และยังได้รับความนิยมพอๆ กัน จนแฟนละครแสดงความคิดเห็นไปในทางเดียวกันว่า “ทำไมต้องจับสองเรื่องนี้มาลงวันเดียวกัน เพราะเลือกดูไม่ได้จริงๆ” ส่วนในโลกโซเชียลอย่างทวิตเตอร์ ละครเรื่องทองเอกฯ และบ่วงสไบ ต่างก็ติดเทรนด์ด้วยกันทั้งคู่ นับได้ว่านาทีนี้เป็นพีเรียดที่กลับมากอบกู้ช่องหลักให้อยู่ในกระแสอีกครั้งเลยก็ว่าได้
โดยทองเอก หมอยา ท่าโฉลง ได้เริ่มตอนที่ 2 ไปแล้วเมื่อค่ำที่ผ่านมา (6 กุมภาพันธ์) ในขณะที่บ่วงสไบก็เล่นไปถึง 4 ตอน เมื่อค่ำคืนที่ผ่านมาเช่นกัน (6 กุมภาพันธ์) ซึ่งนอกจากฝีไม้ลายมือของเหล่านักแสดงที่ตีบทแตก จนทำให้คนดูติดกันงอมแงมแล้ว อีกหนึ่งสีสันของละครย้อนยุคก็คงต้องเป็นเรื่องของเสื้อผ้า ซึ่งละครพีเรียดทั้งสองเรื่องเกิดขึ้นในช่วงรัชกาลที่ 5 ด้วยกันทั้งคู่ จึงทำให้การแต่งกายไม่ต่างกันมากนัก วันนี้เราเลยจับคอสตูมสไตล์ย้อนยุคของ ทองเอก หมอยา ท่าโฉลง และ บ่วงสไบ มาให้ได้ชมกัน มาดูว่าจะเหมือนหรือต่างในส่วนใดบ้าง หรือเรื่องไหนคอสตูมจะเป๊ะกว่ากัน มาส่องเลยค่า
นาทีนี้ต้องประชัน! คอสตูมย้อนยุค ทองเอก หมอยา ท่าโฉลง VS บ่วงสไบ เรื่องไหนเป๊ะกว่ากัน
โดยการแต่งกายในสมัยรัตนโกสินทร์ (รัชกาลที่ 1-5) ผู้ชายจะนุ่งโจงกระเบนถกสั้นเหนือเข่า ไม่สวมเสื้อ ไม่สวมรองเท้า หากอยู่บ้านจะนุ่งผ้าลอยชายหรือนุ่งโสร่งมีผ้าคาดพุ่ง ผมทรงมหาดไทยหรือชาวบ้านจะเรียกว่า ทรงหลักแจว สำหรับผู้หญิงเวลาทำงานนุ่งโจงกระเบนและห่มตะเบ็งมาน เวลาอยู่บ้านคาดผ้าแถบ แต่เมื่อออกนอกบ้านจะนุ่งผ้าจีบ ห่มสไบทับผ้าแถบอีกที ทรงผมถ้าเป็นสาวจะตัดสั้นแบบดอกกระทุ่มแล้วปล่อยท้ายยาวงอนถึงบ่า ถ้าเป็นผู้ใหญ่ตัดผมปีกแบบโกนท้ายทอยสั้นเหมือนผู้ชาย
การแต่งกายสมัยรัชกาลที่ 5 สตรีเจ้านายชั้นสูง นุ่งทรงผ้าโจงเป็นผ้าไหมยกดอก จะห่มสไบเฉลียงบ่า ปล่อยชายยาวข้างหลัง สตรีสามัญ นุ่งกระโจงเบนผ้าพื้น ห่มสไบตัวเปล่าหรือคาดผ้าแถบ เป็นการห่มผ้าแบบพันรอบตัว เหน็บทิ้งชายไว้ด้านหน้า เรียกว่าห่มผ้าแถบเป็นลักษณะการห่มผ้าแบบอยู่ในบ้านของสตรีที่มีครอบครัวแล้ว หรือสำหรับสตรีสูงอายุจะไม่นิยมห่มสไบ (ลักษณะผ้าแถบคือผ้าสไบไม่จับจีบ) และไม่สวมรองเท้า
ในสมัยรัชกาลที่ 5 มีการเปลี่ยนแปลงประเทศหลายด้าน เนื่องจากปัจจัยภายนอกเข้ามามีอิทธิพลต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของคนในชาติ ทำให้ประเทศไทยจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงเพื่อไม่ให้ชาติตะวันตกมองว่าเราเป็น “บ้านป่าเมืองเถื่อน” สำหรับการปรับเปลี่ยนประเพณีการแต่งกายนั้น ในหลวงรัชกาลที่ 5 ทรงให้นุ่งผ้าม่วงโจงกระเบนสีต่างๆ และให้ยกเลิกการนุ่งผ้าสมปักแบบเดิม สวมเสื้อคอปิดกระดุม 5 เม็ด หรือที่เรียกว่า “เสื้อราชประแตน” ที่ทรงเป็นผู้คิดแบบขึ้นเป็นครั้งแรก
ในช่วงต้นรัชกาลหญิงสามัญชนทั่วไปจะยังคงนุ่งโจงกระเบนและสวมเสื้อกระบอก ผ่าอก แขนยาว ห่มแพรจีบตามขวางสไบเฉียงทาบบนเสื้ออีกชั้นหนึ่ง แต่ถ้าอยู่บ้านจะห่มสไบไม่สวมเสื้อ ส่วนผู้ชายจะนุ่งโจงกระเบนสวมเสื้อราชประแตน ถือไม้เท้า เมื่อไปงานพิธีต่างๆ จะใส่ถุงเท้าและรองเท้า ช่วงกลางรัชกาลผู้หญิงจะนุ่งผ้าจีบไว้ชายพกสวมเสื้อแขนหมูแฮม มีผ้าห่มหรือแพรสไบเฉียงตามโอกาสทับเสื้ออีกที สวมรองเท้าบู๊ทและสวมถุงเท้าตลอดน่อง ส่วนผู้ชายยังคงแต่งกายเหมือนช่วงต้นรัชกาล
ทั้งนี้การแต่งกายในละครพีเรียดอาจไม่ได้ตรงตามตำราที่เขียนอ้างอิงไว้แบบเป๊ะๆ ว่าในสมัยรัชกาลที่ 5 ชาวบ้านและขุนนางแต่งกายกันอย่างไร แต่เอาเป็นว่าละครพีเรียดย่อมมีความตั้งใจในส่วนของคอสตูมสูงมาก เพราะมีแฟนๆ รอชมไม่น้อย ซึ่งทองเอก หมอยา ท่าโฉลง และ บ่วงสไบ ก็ทำออกมาได้ดี จนเชื่อได้ว่าอยู่ในยุคสมัยนั้นจริงๆ
แหล่งข้อมูล : Twitter@Worochor1 , web2.stou.ac.th
ภาพ : IG@kimmy_kimberley , chudapha , new_wongsakorn , parn_khomkrit , anyarinsweet , green_ausadaporn , pat_napapa