เวียร์-ศุกลวัฒน์ คณารศ

ปรับความคิดเปลี่ยนชีวิต เวียร์-ศุกลวัฒน์ คณารศ จะกี่ดราม่าก็ฆ่าไม่ตาย

Alternative Textaccount_circle
เวียร์-ศุกลวัฒน์ คณารศ
เวียร์-ศุกลวัฒน์ คณารศ

17 ปี คือตัวเลขประสบการณ์ในวงการบันเทิงของ เวียร์-ศุกลวัฒน์ คณารศ นักแสดงระดับท็อปของวงการบันเทิงเมืองไทย ที่ถึงในตอนแรกๆ จะถูกคำครหาขายหล่อ แต่การพัฒนาการแสดงของตัวเองอย่างสม่ำเสมอกลายเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าเขามีความสามารถมากเพียงใด ปัจจุบันถึง เวียร์-ศุกลวัฒน์  จะมีอายุเพิ่มขึ้นและแต่งงานมีครอบครัว เขาก็ยังแต่คงเป็นดาวเด่นของวงการ  แม้แต่ละปีจะมีคลื่นลูกใหม่เปลี่ยนหน้าอยู่ตลอด แต่นักแสดงหนุ่มยังคงยืนหยัดในฐานะนักแสดงแถวหน้าอยู่เสมอ

ล่าสุดเวียร์กำลังมีผลงานใหม่ มนต์รักนักพากย์ กับทาง NETFLIX โดยเรื่องนี้น่าสนใจตรงนี้ เวียร์ได้รับบทบาทที่หลากหลายผ่านการรับบทเป็น หัวหน้ามานิตย์ นักพากย์หลากเสียง ตั้งแต่บทพระเอก บทตัวร้าย ยันชาวบ้านสี่ ซึ่งถือเป็นอีกความท้าทายในฐานะนักแสดงของหนุ่มคนนี้

เวียร์-ศุกลวัฒน์ คณารศ

ปรับความคิดเปลี่ยนชีวิต เวียร์-ศุกลวัฒน์ คณารศ จะกี่ดราม่าก็ฆ่าไม่ตาย

ช่วงนี้มักจะเห็นเวียร์รับงานซีรีส์หรือภาพยนต์สั้นๆ เท่านั้น?

เวียร์ : คือในเรื่องของการทำงานที่เป็นบทบาทนักแสดงยังคงรับอยู่ แต่ว่าไม่ได้รับเยอะหรือไทม์ไลน์ในการทำงานยาวเหมือนเมื่อก่อน Netflix เลยตอบโจทย์ผมในการวางคิวหรือว่า Breakdown ทุกอย่าง มันถูกทำมาแบบเป๊ะๆ เลยสามารถแบ่งแยกระหว่างงานกับครอบครัวได้ง่ายขึ้น ผมก็อยากมีเวลาให้ครอบครัว เลยกลายเป็นว่าตอนนี้รับงานภาพยนตร์หรืออะไรก็ได้ที่เราสามารถบริหารเวลาได้ ถึงแม้ว่าจะมีภาพยนตร์ 2 เรื่องแล้วก็เลี้ยงลูกไปด้วย อะไรทุกอย่างคือสามารถจัดการได้แบบลงตัวมาก ก็ไม่เหนื่อยครับ

อยากให้พูดถึงบทบาทหัวหน้า มานิตย์ ในซีรีส์มนต์รักนักพากย์เป็นอย่างไร?

เวียร์ : เป็นเรื่องราวของคน 4 คน ต้องร่วมเดินทางไปด้วยกัน มีเรื่องราวต่างๆ เกิดขึ้น การต่อสู้การเปลี่ยนผ่านของยุค หัวหน้า มานิตย์ ก็รับทุกอย่างเต็มๆ เหมือนเป็นผู้ใหญ่ในการเดินทางครั้งนี้

ความท้าทายของภาพยนตร์เรื่องนี้?

เวียร์ : ต้องบอกตามตรงว่า ตอนแรกหนักใจมาก แต่ความเครียดมันก็ส่งให้เราตั้งใจ คือเราพยายามรังสรรค์ซีนพากย์ออกมาให้เสมือนจริง ทุกคนจะได้ย้อนกลับไปดูว่าคนสมัยก่อนเขาพากย์หนังกันยังไง วิถีชีวิตในการทำงานการเป็นอยู่สมัยก่อนเป็นยังไง จะได้มองผ่านจากภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย

เสน่ห์ของภาพยนตร์ยุคเก่าและยุคใหม่แต่ต่างกันอย่างไร?

เวียร์ : ผมรู้สึกว่าการฉายหนังในยุคสมัยก่อนมันดูยิ่งใหญ่ ภาพยนตร์สมัยก่อนผมว่ามันดูมีเสน่ห์มาก หนังปัจจุบันก็อีกแบบนึงนะ มันเป็นความแตกต่างที่มีเสน่ห์ เหมือนๆ ผมว่าเด็กในยุคสมัยนี้ก็จะตื่นเต้นมากกับการที่เขาจะได้ กลับไปเห็นการทำงาน หรือกลับไปดูภาพยนตร์สมัยก่อน

ร่วมงานกับผู้กำกับ พี่อุ๋ย-นนทรีย์ เป็นอย่างไร?

เวียร์ : มันเป็นการทำงานที่จริงจัง แต่มีความสุข ได้เห็นพี่อุ๋ย พี่เอก เซ็ตสถานที่ในยุคสมัยก่อนขึ้น เหมือนผมแบบว่าย้อนอดีตตัวเองกลับไป ในยุค คุณปู่ คุณย่า คุณพ่อ คุณแม่ เด็กๆ ถ้าผมไม่ได้ทำงานกับพี่ผมคงไม่เจออะไรแบบนี้ ก็ดีใจมากครับ ผมว่าพี่อุ๋ยเป็นคนเก่งจากการพัฒนาบทเอง พอมาถึงขั้นตอนการกำกับเหมือนเขามีทุกอย่างอยู่ในหัวการทำงานมันเลยค่อนข้างราบรื่น

การร่วมงานกับเหล่านักแสดงรุ่นพี่และรุ่นน้องเป็นอย่างไร?

 เวียร์ : ดีใจมากที่ได้มีโอกาสอยู่กับพวกเขา ทุกคนมากันแบบเต็มร้อย พอผมเห็นทุกคนเต็มที่กันมาก มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนได้ประสบการณ์ ได้ความรู้อะไรที่เยอะมาก พี่สามารถ พยัคฆ์อรุณ บอกเลยว่าเล็กแต่มาก หนูนา-หนึ่งธิดา โสภณ ไม่ต้องพูดถึงเก่งมากด้วยเสียงด้วยอะไรในการพากย์ต่างๆ สำหรับ เก้า-จิรายุ ละอองมณี ไม่ต้องห่วงมาแบบครบรสเลย ทีมเราทั้งหัวเราะ ร้องไห้ เกิดขึ้นในรถหน่วยเร่ข่ายยาคันนี้ ก็ขอบคุณทุกคนนะครับ

คำถาม: เป็นหัวหน้ามานิตย์และเป็นหัวหน้าครอบครัวยากไหม?

เวียร์: ก็ค่อยๆเรียนรู้ไปแหละ เพราะว่าเราก็ใหม่กันทั้ง 3 คน ผมก็ไม่เคยเป็นพ่อ วิกกี้ก็ไม่เคยเป็นแม่ ลูกผมก็ยังไม่เคยเป็นลูก ทุกอย่างมันก็ต้องเรียนรู้ไปพร้อมๆ กัน สิ่งที่เราทำได้คือเราต้องมีเวลา บางทีผมก็ต้องทำงาน แต่ช่วงแรกๆ ผมไม่ได้รับงานเลยนะเพราะผมอยากช่วยภรรยา เราก็แบบเป็นห่วงเมียอ่ะนะ เขาก็เหนื่อยเราก็อยากไปช่วยเขา เราพยายามทำหน้าที่ของพ่อและสามีให้ดีที่สุด

มนต์รักนักพากย์

ชีวิตในฐานะคุณพ่อมือใหม่ท้าทายอย่างไรบ้าง?

เวียร์ : สำหรับคุณพ่อ 9 เดือนนะครับ เด็กก็จะโตขึ้นเรื่อยๆ สิ่งที่ผมดีใจกับตัวเองมากๆ คือ ผมกับคุณวิกกี้ภรรยาของผม เราสองคนตัดสินใจว่าเราจะเลี้ยงลูกด้วยตัวเอง เราไม่ได้จ้างพี่เลี้ยง เพราะฉะนั้นเรารับรู้ได้ว่าเราต้องเหนื่อยแน่ๆ แต่คนที่เหนื่อยที่สุดก็คือภรรยา เขาจะตัวติดอยู่กับลูก

เวียร์ : ผมว่าทุกวันลูกไม่เหมือนกันเลย บางวันง่าย บางวันก็งงว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมร้องไห้จัง เด็กเขาพัฒนาเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แต่สิ่งที่ผมดีใจกับภรรยาผมก็คือ เราได้อยู่ในช่วงที่เห็นการเจริญเติบโตของเขา ทุกก้าวตั้งแต่เกิดจน 9 เดือน เราได้อยู่ในช่วงที่เขาจำได้ ก็คือช่วงเดือนที่ 7- 8 -9 เขาจะจำได้แล้ว เขารู้แล้วว่าคนนี้คือพ่อคนนี้คือแม่ ถึงแม้จะร้องไห้แต่อุ้มเขาไปเถอะครับ เดี๋ยวพอเขาโตแล้วเขาไม่ให้อุ้ม (เอาเขาหัวเราะใหญ่ๆ ซูมเข้าไปนิดหนึ่งอย่างให้เห็นว่าเสื้อเขาเปิด)

ความรู้สึกเวลาที่มีลูกอยู่ในอ้อมกอดมันเป็นอย่างไร?

เวียร์ : มันพูดไม่ถูกเลยเนอะ เฮ้ย เราทำมาเองนะ ยิ่งเวลาที่เขามองหน้าเรา เรารู้สึกว่าเราเป็นพ่อเป็นแม่คนแล้วเราก็จะทำให้ดีที่สุด

เวลาพูดถึงลูกแววตาเวียร์ ดูมีประกายความสุขมาก จึงอยากรู้ว่าหากให้วัดความสุขเป็นตัวเลขคิดว่าตอนนี้เรามีเท่าไหร่?

เวียร์ : มันก็ต้อง 100 % อยู่แล้วครับ เพราะมันเป็นอีกบทบาทใหญ่ๆ สำหรับผมมันมาเติมเต็มนะ ผมว่าการมีลูกมันก็ช่วยอะไรหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นตัวเราเองที่มีความคิดหรือมุมมองที่ดีขึ้นหรือแตกต่างในทางที่ดีขึ้น ตอนที่เราเป็นเด็กมันก็อย่างหนึ่ง พอเราโตเป็นพ่อแล้วมองเด็กที่เป็นลูกเรา มันจะมีมุมมองหรือความคิดอีกอย่างหนึ่ง ผมก็อธิบายไม่ถูก รู้แต่ว่าผมก็จะทำอะไรที่คิดมากขึ้น ละเอียดขึ้น เหมือนกับที่คนพูดเลย ของเราไม่ค่อยสำคัญแล้ว มันก็จะไปให้ความสำคัญกับลูกมากขึ้น กับภรรยามากขึ้น และได้เห็นถึงความอดทน ความเหนื่อยของคนที่เป็นแม่ เหนื่อยกว่าเราร้อยเท่า รู้สึกว่าโตขึ้น โตขึ้น

วางแผนจะมีลูกคนต่อไปบ้างไหมคะ?

เวียร์ : ถามว่าอยากมีไหมก็อยากมี แต่มันก็เหนื่อยนะการเลี้ยงลูก คือทุกอย่างผมว่าอย่าไปคิดเยอะ มันอยู่ที่การคุยกัน มันอยู่ที่ธรรมชาติสิ่งแวดล้อม อาจจะอยู่ๆ คิดขึ้นมา ที่รักเรามีลูกเถอะคนที่สองก็เป็นไปได้ คือผมจะไม่ได้คิดล่วงหน้าแต่ให้รู้ว่าเราพร้อมไหม ก็อยากมีเพราะเขามีสองสาวแล้ว คุณวิกกี้ กับ คุณวิริน ผมเวียร์ก็ต้องมีผู้ชายหรือผู้หญิงอีกสักคนหนึ่งหรือเปล่า จะได้แบ่งทีมกันได้

อยากเป็นคุณพ่อแบบไหน?

เวียร์ : ก็มีวางไว้บ้าง เราก็อยากเป็นเพื่อนเขาอยากให้รู้สึกว่าเราคุยกันได้ทุกเรื่อง เราไม่อยากให้ลูกกลัว เพราะถ้าลูกกลัวหรือเกรงใจ หรือว่าไม่กล้าคุยกับเรา มันก็เหนื่อยนะ เราไม่รู้ว่าเขาคิดอะไร เพราะฉะนั้นเราเลยคิดว่า เราอยากให้เขารู้สึกเป็นเพื่อนเรา ไปไหนไปกันเราถึงเลี้ยงเขาเอง พอเลี้ยงเขาเองเขาก็จะมองว่าเราเป็นเพื่อนเขา ไม่ได้มีอะไรมาคั่นเขาสามารถคุยกับเราได้ พยายามไปไหนไปกัน มีอะไรคุยกันได้ เป็นไปตามธรรมชาติที่เขาอยากจะเป็น ให้เขาได้เลือก แต่เราปูพื้นฐานะให้เขาอย่างดีที่สุด

แล้วในฐานะสามีได้เรียนรู้อะไรบ้าง?

เวียร์ : ผมว่าไม่ว่าแต่ละคนทำอะไร เราก็จะซัพพอร์ตสิ่งที่ทุกคนทำให้ดีที่สุด ให้ประสบความสำเร็จ เรามอบพลังให้ทุกคนไม่ว่าใครจะทำอะไร แม้กระทั่งคอยเตือนกันก็ตรงๆ เราเป็นครอบครัวแล้วเราคุยกันได้ตรงๆ พอเรารักกันมาก อยู่กันไปนานๆ ผมว่าเราเริ่มให้อภัยกันง่าย เพราะมันมีเรื่องที่เราต้องไปปวดหัวอีกเยอะ ชีวิตคู่หรือชีวิตครอบครัวมันมีอะไรให้เรียนรู้อีกเยอะ เราจะตัวเล็กลงเรื่อยๆ แต่ความสุขมันจะมากขึ้น เราจะเห็นแก่ตัวน้อยลง แล้วเราจะมองคนอื่นสำคัญ เราจะมองความสำคัญของความคิดคนอื่นมากขึ้นครับ

ที่ผ่านมาเรื่องราวของเวียร์มักเป็นที่พูดถึงในโลกโซเชียล แม้ปัจจุบันเรื่องราวครอบครัวหรือลูกบางครั้งก็กลายเป็นดราม่า เรารับมือหรือตอบโต้กับเรื่องเหล่านี้อย่างไร?

เวียร์ : มันไม่แปลกนะการหลายๆ คนอยากจะช่วยเลี้ยงลูกเรา ผมเชื่อว่าส่วนใหญ่คนที่เข้ามาเขาก็มีจุดประสงค์ที่ดี ผมจะคุยกับวิกกี้เสมอว่าแต่ละครอบครัวไม่เหมือนกัน การเลี้ยงลูกแต่ละครอบครัวก็ยิ่งไม่เหมือนกันเลยเด็กแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน กับคอมเม้นต์ต่างๆ ผมก็ไม่ได้อะไรมาก แค่มาดูว่าอันนี้เข้าท่าเราก็ปรับ ถ้าไม่เข้ากับเราไม่เป็นไรก็ผ่านไปจึงไม่ได้คิดว่ามีผลกระทบ แต่ในกรณีที่ถ้ามันหนักหนามากๆ มันก็ต้องเป็นเรื่องของกฎหมาย แต่ผมคิดว่ามันคงไม่ถึงขนาดนั้นหรอก ถ้ามีมาแบบว่าไม่ๆโอเคคงเป็นพ่อเป็นแม่ก็ไม่ยอมอยู่แล้วครับ

ช่างภาพ : Vorason Dvi-vardhana

ที่ปรึกษาด้านแฟชั่น : UnseenUp

สไตลิสต์ : Minim

เรื่อง : นนทพร สุทธิพิบูลย์

Art Director :  Voravat

ผู้ช่วยช่างภาพ : ศักดินนท์ ปิตะฝ้าย

เสื้อผ้า  : FENDI / Ferragamo / H&M

Praew Recommend

keyboard_arrow_up