วอร์ วนรัตน์ รัศมีรัตน์

อัพเดตชีวิต “วอร์-วนรัตน์ รัศมีรัตน์” เติบโตขึ้น เก่งขึ้นแบบก้าวกระโดด

Alternative Textaccount_circle
วอร์ วนรัตน์ รัศมีรัตน์
วอร์ วนรัตน์ รัศมีรัตน์

ครั้งล่าสุดที่ แพรว มีโอกาสสัมภาษณ์ “วอร์ – วนรัตน์ รัศมีรัตน์” คือสิงหาคมปีที่แล้ว กระทั่งปีนี้เราได้กลับมานั่งคุยกับเขาอีกครั้งในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน แม้วอร์จะบอกว่าชีวิตของเขาเหมือนเดิม แทบไม่ต่างจากปีที่แล้ว (ยกเว้นงานที่มากขึ้น) แต่ความคิดของเขาในเรื่องของการทำงานกลับเติบโตขึ้น รวมไปถึงฝีมือการแสดงที่พัฒนาอย่างก้าวกระโดด

อัพเดตชีวิต “วอร์-วนรัตน์ รัศมีรัตน์” เติบโตขึ้น เก่งขึ้นแบบก้าวกระโดด

ผลตอบรับสำหรับซีรี่ส์ กลรักรุ่นพี่ ครั้งนี้เป็นอย่างไรบ้างคะ

“ดีเลยครับ คนอินกับตัวละครมากขึ้นกว่าครั้งแรกที่ฉายเมื่อ 2 ปีที่แล้ว แม้เค้าโครงเรื่องจะเหมือนเดิม แต่เนื้อหามีมิติ ลงลึกมากขึ้น ในส่วนของบทบาท ‘มาร์ค’ ที่ผมแสดงก็รู้สึกว่าเขาเติบโตขึ้นเยอะ อย่างรอบที่แล้วตอนที่ผมเล่น ผมยังไม่เข้าใจว่าเขาคิดยังไง ไม่เข้าใจที่มาที่ไป เพราะเนื้อเรื่องค่อนข้างสั้น แต่ ครั้งนี้รู้จักตัวละครมากขึ้น ได้รู้ว่าเขาไม่ใช่คนนิ่ง ๆ มีความสู้คน เชื่อมั่นและบูชา ความรัก รักใครทุ่มให้เต็มร้อย มาร์คมีความคล้ายผมในเรื่องการเชื่อใจคน คือเจอใครผมก็เชื่อใจก่อนเลย เชื่อว่าเขาหวังดีกับเราเสมอ และคิดว่าเขาเป็น คนดี เพราะรู้สึกว่าถ้าผมมองใครในแง่ลบ ตัวเองจะเสียโอกาส เราควร ให้โอกาสคนอื่นก่อน เขาอาจจะกลายเป็นเพื่อนเราก็ได้”

วอร์ วนรัตน์ รัศมีรัตน์

แล้วจุดไหนที่วอร์กับมาร์คแตกต่างกัน

“น่าจะเป็นการสู้ซึ่ง ๆ หน้า ผมเป็นแนวประนีประนอม ปรับตัวตาม คู่สนทนา ดูว่าคนที่เราพูดด้วยเป็นแบบไหน เด็ก ผู้ใหญ่ บุคลิกยังไง ซึ่งต่าง จากตัวละครมาร์ค เวลาเขาไม่ชอบใครจะแสดงออกชัดเจนว่าไม่ยอม ตอนแสดง ยอมรับว่าขัดกับตัวเองมาก บางการกระทำก็ไม่เคยทำมาก่อน เช่น ปากดี หาเรื่องคน ก็ต้องไปหาเรเฟอเรนซ์การแสดงอื่น ๆ ว่าเวลาคนเขาหาเรื่องชกต่อย กันเป็นยังไง ซึ่งระดับความพีคของมาร์คก็หลากหลาย มีทั้งสู้แบบนิ่ง ๆ หรือ สติหลุดไปเลยก็มี”

ถ้าวอร์ไม่ชอบใครจะแสดงออกยังไงคะ

“ถ้าไม่ชอบใครเพราะเรื่องส่วนตัวของเขา ผมไม่ทำอะไรเลย เพราะเรา ไม่มีสิทธิ์ไปกำหนดชีวิตใคร แต่ถ้าการกระทำของเขาส่งผลกระทบต่อเราในด้านที่ ไม่ดี ช่วงหนึ่งอาจจะทนปล่อยไปก่อน เพราะเราเข้มแข็ง พอจะรับได้ แต่ถ้า ถึงจุดที่ไม่ไหวก็ต้องพูด แต่อย่างที่บอก ผมเป็นแนวประนีประนอม ไม่ค่อยพูด ตรง ๆ ไม่อยากให้ใครเสียความรู้สึก”

ได้ร่วมงานกับหยิ่นและพร้อมเป็นครั้งที่สองแล้ว เป็นยังไงบ้าง

“สนุกครับ เรารู้จักกันมาประมาณ 3 ปีแล้ว สบายใจที่จะทำงานด้วยกัน พอสนิทก็กล้าพูด กล้าดีไซน์บทมากขึ้นว่าควรเล่นแบบไหน ส่งผลให้ตัวละคร มีมิติขึ้น อย่างหยิ่นกับพร้อม บทบาทเขาก็มีการพัฒนามากขึ้น อาจเพราะเขา มีชั่วโมงบินที่มากกว่าเดิมจึงมีประสบการณ์ บวกกับทั้งสองคนมีความพยายาม บทจึ งพั ฒนาก้าวกระโดด ส่ วนบรรยากาศในกองถ่ายก็ สนุ กครั บโดยเฉพาะตอนที่แฟนคลับส่งฟู้ดซัพพอร์ตมาให้ เราก็ลุ้นกันทุกวันว่าจะมีอะไรมาบ้าง ซึ่งแต่ละวัน หน้าตาอาหารจะอลังการมาก”

วอร์รู้จักทั้งคู่มา 3 ปีแล้ว อะไรคือสิ่งที่พวกเขาไม่เปลี่ยนไปเลยคะ

“สำหรับหยิ่นคือการเป็นคนตรง ๆ กล้าพูด กล้าตัดสินใจ แม้บางครั้ง เวลาเขาพูดตรง ๆ กับผมมันจะรู้สึกจึ้กอยู่เหมือนกัน (หัวเราะ) แต่โดยรวมผมว่า การกล้าพูดของเขาเป็นสิ่งที่ดี ซึ่งผมขาดทักษะนี้

“ในขณะที่พร้อมเป็นเจ้าพ่อแฟชั่นเสมอ แต่งตัวเก่งไม่เปลี่ยน มีสไตล์ ของตัวเอง ตรงนี้จะต่างจากผมมาก เพราะเราแต่งตัวแบบเน้นฟังก์ชันการใช้งาน ใส่เสื้อที่แฟนคลับซื้อมาให้”

วอร์ วนรัตน์ รัศมีรัตน์

ขออัพเดตหน่อยนะคะ ตอนนี้ถ้าว่างทำอะไรบ้าง

“นานมากแล้ วที่ ผมไม่ ได้ เจอกั บคำว่าว่าง (หั วเราะ) เพราะทำงานเยอะ ที่ จริ งตอนนี้ชีวิตผมค่อนข้างสะเปะสะปะมาก ไม่เป็นเวลา หรือบริหารเวลาไม่ดีก็ไม่รู้นะ ก็ยังคิดกับตัวเองอยู่ มีหลายคนทักว่าผมผอมลง อาจจะเพราะเหนื่อย แค่อยาก นอนให้มากขึ้น ทำให้ช่วงเวลาที่ควรออกกำลังกายหรือกินอาหารน้อยลง แต่ถ้า มีเวลาว่าง ผมก็ยังเล่นดนตรี วาดรูป ดูซีรี่ส์บ้าง เน้นตอนสั้น ๆ แต่ที่ผมติดมาก ในตอนนี้คือโลกโซเชียล บางคืนนอนดึกเพราะมัวแต่ไถไอจี ยิ่งตอนนี้ทำออกมา เป็น Reel เหมือน TikTok ยิ่งดูเพลิน ผมชอบดูแอ๊กเคานต์ทำอาหาร เช่น ทำซูชิ บางทีไล่ดูหมดทุกคลิป จึงหลุดออกจากหน้าจอยากมาก ใครมีวิธีทำให้ หลุดจากโซเชียล แนะนำกันได้นะครับ” (ยิ้ม)

เรื่องที่อินที่สุดล่ะคะ

“ถ้านอกเหนือจากการวาดรูปและเล่นดนตรี ผมยังชอบการไปตกปลา แต่ ชอบตกหมึกมากกว่า เพราะมันง่าย อุปกรณ์ไม่เยอะ ไม่ได้ใช้เวลามาก ว่าง ๆ จะไปกันเป็นแก๊ง หยิ่นกับพร้อมก็ไปด้วย

“สิ่งที่ชอบจากการตกหมึกคือ นอกจากจะได้กินอาหารสด ยังได้เห็น กระบวนการทุกอย่าง พอทำเองก็รู้สึกว่าจานนั้นมีคุณค่า อย่างเวลาจัดการ ปลาหมึก ใช้วิธีจิ้มสมองก็ตายทันทีโดยไม่ทรมาน ผมจะพิถีพิถันกับการแล่เนื้อ เพราะรู้สึกว่าเป็นการให้เกียรติอาหาร ตั้งใจทำและกินให้อร่อยที่สุด ครั้งหนึ่งผม เคยไปตกปลา เจอไต๋เรือที่ไม่ได้ฆ่าด้วยวิธีจิ้มที่สมอง แต่ปล่อยให้ดิ้นอยู่จนตาย ผมสงสาร ไม่อยากให้ตายทรมาน ก็ช่วยใช้มีดจิ้มสมอง เขาถึงตายอย่างสงบ

“นอกจากนี้การตกปลา ตกหมึก ยังฝึกสมาธิ กว่าจะได้ปลา ได้หมึก สักตัวต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมงเลยครับ แต่หลัก ๆ คือการเห็นคุณค่าของอาหาร ความพยายามที่จะหามา เวลากินข้าวผมกินหมดทุกอย่าง ไม่เหลือทิ้ง เพราะ เห็นกระบวนการของมัน” 

เป็นแนวคิดที่เข้ากับวิกฤติในยุคนี้นะคะ ที่เราเจอปัญหาขยะอาหารล้นโลก

“ใช่ครับ อุตสาหกรรมอาหารส่งผลต่อมลภาวะทางโลกเยอะ ทั้งขยะ แก๊ซ มลพิษต่าง ๆ ซึ่งเราเลี่ยงไม่ได้หรอก เพราะเราไม่ได้ทำอาชีพชาวประมง หรือสามารถออกไปหาปลา แต่เราสามารถปลูกฝังคนให้เห็นคุณค่าของอาหารได้ บางทีผมไปตลาดเห็นปลาเน่า ตายฟรี โดนทิ้งลงถังขยะก็เยอะ ซึ่งชีวิตเขามีค่า กว่านั้น เราทำอุตสาหกรรมอาหารให้ยั่งยืนได้ เช่น ไม่ควรล่าปลาในฤดูวางไข่ เพื่อให้มันมีเวลาเพาะพันธุ์ออกลูกหลาน ผมอินเรื่องสิ่งแวดล้อม แต่ก็ยอมรับว่า ตัวเราเองก็ยังทำร้ายสิ่งแวดล้อมไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ผมว่าเราควรหาหนทางทำร้าย ธรรมชาติหรือสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุด”

มาถึงเรื่องครอบครัวบ้าง ทราบว่าวอร์สร้างบ้านที่กรุงเทพฯด้วย

“ใช่ครับ ตอนนี้รอบ้านเสร็จ แต่ยังอีกหลายเดือนเลย ก่อนหน้านี้แม่ย้าย มาอยู่กรุงเทพฯกับพี่และน้องสาวสักพักแล้ว ส่วนพ่อยังอยู่ที่ขอนแก่น ขณะที่ ผมอยู่คอนโด จึงอยากอยู่ด้วยกัน ตั้งใจเก็บเงินซื้อบ้าน ไม่อยากให้พ่อกับแม่ ทำงานหนักแล้ว อย่างธุรกิจร้านเช่าชุดแต่งงานที่ขอนแก่นตอนนี้ก็เพลาลง ผมอยากให้พ่อแม่ทำในสิ่งที่ชอบ เคยถามท่านว่ามีฝันที่อยากทำมั้ย พ่อยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจน (หัวเราะ) ส่วนแม่อยากทำธุรกิจสักอย่าง ผมจึงคิดจะทำอะไรร่วมกับแม่”

แล้วความฝันของวอร์คืออะไรคะ

“ปีนี้ผมอายุ 28 แล้ว เมื่อเทียบชีวิตจากปีที่แล้วมันผ่านไปเร็วมาก ต่างกับสมัยเด็กที่รู้สึกว่ากว่าจะผ่านไปแต่ละปีมันช่างยาวนาน ชีวิตและวิธีการทำงาน ของผมอาจจะยังคล้ายเดิม แต่สิ่งที่เพิ่มเติมเข้ามาคือประสบการณ์และมุมมอง การทำงาน การทำงานบางครั้งเหนื่อยมากนะ แต่พอเราได้เห็นผลลัพธ์ มันเป็น กำลังใจให้สู้ต่อ ทำต่อไปอีก และอยากทำให้ดีขึ้นที่จริงผมอยากทำอะไรอีกเยอะ แต่ใจหนึ่งก็กลัวว่าจะทำไม่สำเร็จ เพราะวินัยไม่ค่อยดี บังคับตัวเองไม่ได้

“อย่างเรื่องเพลง ผมอยากทำงานเพลงของตัวเองมานานแล้ว แต่ด้วย เวลาตอนนี้ สารภาพเลยว่าไม่รู้จะทำตอนไหน และการเริ่มต้นคือเรื่องยาก ผม แต่งเพลงบ้าง แต่จะให้ทำต่อจากที่แต่งไว้ยากมาก บวกกับเราไม่ใช่มืออาชีพด้วย บางทีก็สับสนว่าจะเอาเนื้อเพลงนำก่อนหรือแต่งเมโลดี้ก่อนดี แล้วถ้าเนื้อร้อง ไม่เข้ากับเมโลดี้ที่คิดไว้ล่ะ (หัวเราะ) ผมจะชอบสับสนแบบนี้ ส่วนใหญ่เพลงที่ผม ชอบจะเกี่ยวกับความคิดถึง ทั้งที่จริงผมชอบฟังเพลงแนวเพื่อชีวิตมากนะ แต่ แต่งเองแล้วรู้สึกว่าชีวิตเรายังผ่านอะไรมาไม่เยอะ ยังสู้คนอื่นไม่ได้”

วอร์ วนรัตน์ รัศมีรัตน์

ไอดอลนักร้องของวอร์ยังคงเป็นพี่บอย อิมเมจิ้น อยู่หรือเปล่า

“ใช่ครับ ได้เจอเขาล่าสุดปีที่แล้ว ซึ่งผมเจอในฐานะที่เขาเป็นสถาปนิก ไม่ใช่นักร้อง ตอนแรกคิดว่าจะขอถ่ายรูปดีไหม แต่คิดว่าอย่าเลย กำลังจะเดิน ออกจากประตู ปรากฏว่ามีคนช่วยเรียก เพราะเขารู้ว่าผมปลื้มพี่บอยมาก และ ไปขอพี่บอยให้ถ่ายรูปกับผม นั่นคือการเจอกันครั้งแรกและได้ถ่ายรูปร่วมกัน บอกเลยว่าตื่นเต้นมาก ๆ ไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อน

“ความที่ปลื้มเขามาก ผมจึงขอให้ผู้จัดการเชิญมาเป็นแขกพิเศษในงาน แฟนมีตติ้งของผมด้วย (จัดวันที่ 6 สิงหาคม) แต่ เขาบอกว่าไม่รับงานคอนเสิร์ตแล้วครับ เพราะติด เลี้ยงลูก ฟังแล้วยิ่งชอบเขามากขึ้นกว่าเดิม เขามี เป้าหมายที่ต้องทำชัดเจน จึงตอบไปว่าไม่เป็นไร ครับพี่ เอาเวลาไปเลี้ยงลูกเลยครับ (หัวเราะ) ผมเคยฟังเพลงเขาที่แต่งให้ลูก เขาบอกว่าลูกคือสิ่งที่ เขาสร้างขึ้นเพื่อจะส่งต่อคำสอนของเขา ให้อยู่ในโลก ที่เขาเชื่อว่ามีสิ่งที่สวยงามอยู่”

วอร์เคยนึกถึงเรื่องการมีลูกบ้างมั้ยคะ

“ผมยังไม่พร้อม ที่สำคัญผมยังไม่มีใครด้วย (หัวเราะ) ลูกคือสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น เพราะเราไม่ได้ มีชีวิตอมตะ ต้องมีลูกเพื่อส่งต่อดีเอ็นเอหรือเผ่าพันธุ์ให้อยู่รอด แต่ด้วยสภาพแวดล้อมตอนนี้ ผมว่า ชีวิตลูกหลานในอนาคตค่อนข้างอยู่ยาก บวกกับการ มีลูกเราต้องพร้อมจะให้ทุกอย่างกับคนคนหนึ่ง ต้อง มีความมั่นคง ความสุข ที่จะยกทุกอย่างให้เขาได้ ซึ่งผมรู้สึกว่าตัวเองยังไม่มีขนาดนั้น”

เป้าหมายในอนาคตคืออะไรคะ

“อยากสบาย ไม่มีโรคภัย กินอิ่มนอนหลับ ได้ทำสิ่งที่ชอบ เช่น มีเวลาว่างสักอาทิตย์ไปสตูดิโอ ไปวาดรูป ส่วนเงินมีใช้พอประมาณ แต่ความพอประมาณก็ไม่รู้เท่าไหร่นะ จึงต้องกลับมาตั้งหลักใหม่ว่าต้องมีเงินเท่าไรที่จะพอทำให้ครอบครัวและผมมีความสุข ต้องมีเงินเท่าไรจึงจะสุขภาพดี”

ตอนนี้ถือว่าพอแล้วหรือยัง

(ยิ้ม) “ปีที่แล้วผมคิดว่าอีกนิดก็พอแล้วละ ส่วนปีนี้คิดว่าเกือบพอ สรุปว่าที่ขาดไปก็คือความพอ (หัวเราะ) น่าแปลกนะ ทำไมมันไปไม่ถึงคำว่าพอ สักที อาจเพราะชีวิตยังมีอะไรที่ผมอยากทำอีก มากมายครั บทั้ งเรื่ องงานและเรื่ องส่ วนตั วความพอ จึงขยับเพดานไปตามชีวิตด้วย” 


ที่มา : นิตยสารแพรว ฉบับ 985

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Praew Recommend

keyboard_arrow_up