ชีวิตบนความคาดหวัง เผยแผลศัลยกรรมตาสองชั้นของ ‘พญ. ณัฐฐามณี สิริภคพันธ์ (หมอรวงข้าว)’

เบื้องหลังชีวิตและเส้นทางสู่ความสำเร็จของ ‘หมอรวงข้าว’ พญ. ณัฐฐามณี สิริภคพันธ์ จักษุศัลยแพทย์มือหนึ่งแห่ง Lovely Eye & Skin Clinic

ชื่อของ ‘หมอรวงข้าว’ หรือ พญ. ณัฐฐามณี สิริภคพันธ์ โด่งดังมากในแวดวงศัลยกรรมความงาม ในฐานะจักษุศัลยแพทย์มือหนึ่งด้านการศัลยกรรมตาสองชั้น ด้วยการสั่งสมประสบการณ์และสร้างฝีมือมาอย่างยาวนานถึง 10 ปี จนขึ้นแท่นหมอขวัญใจสาวหมวยหนุ่มตี๋ และผู้ที่อยากแก้ไขดวงตาให้สวยงามยิ่งขึ้น ซึ่งหลายคนอาจไม่เคยรู้ว่า กว่าจะเป็นหมอรวงข้าวอย่างทุกวันนี้ เธอก็เคยเป็นสาวหมวยที่ขาดความมั่นใจมาก่อนเหมือนกัน กระทั่งตัดสินใจเปลี่ยนแปลงตัวเองครั้งใหญ่ จนก้าวสู่การเป็นเจ้าของผลงานศัลยกรรมตาสองชั้นกว่าหมื่นๆ เคส รวมถึงทำหน้าที่หัวเรือใหญ่แห่ง Lovely Eye & Skin Clinic

อะไรคือจุดเริ่มต้นของการเป็นหมอรักษาดวงตา

สมัยเด็กๆ คุณพ่อคุณแม่จะพูดตลอดเลยว่า โตขึ้นมาอยากให้เป็นหมอ เพราะเป็นอาชีพที่มั่นคง และได้ช่วยเหลือคนอื่นด้วย โดยคุณพ่อเป็นเภสัช คุณแม่เป็นพยาบาล และคนในครอบครัวก็เป็นหมอกัน บวกกับนิสัยตั้งแต่เด็กๆ ที่เป็นคนชอบงานฝีมือ ชอบประดิดประดอย พอได้เห็นผลงานที่ทำออกมาสวยงาม ก็จะรู้สึกมีความสุข ทีนี้พอเรียนแพทย์แล้วได้มาเจอเรื่องการรักษาตา ซึ่งเป็นการทำกับอวัยวะเล็กๆ หมอจึงรู้สึกว่ามันใช่เลย ตรงกับสิ่งที่ตัวเองชอบ ก็เลยเลือกที่จะเป็นจักษุแพทย์ แล้วพอได้มาเจอเรื่องการทำตาสองชั้นอีก ก็ยิ่งตรงกับความชอบของตัวเอง เพราะหมอเคยผ่านการทำตาสองชั้นมาแล้วด้วย

ก่อนจะมาเป็นคุณหมออย่างทุกวันนี้ เคยมีความฝันวัยเด็กอย่างอื่นไหม

อาชีพหมอไม่ใช่ความฝันวัยเด็ก หมอไม่ได้ตั้งใจที่จะเรียนหมอตั้งแต่ต้น น่าจะเป็นเพราะการปลูกฝังของคุณพ่อคุณแม่มากกว่า ซึ่งถ้าถามถึงความชอบส่วนตัวจริงๆ หมอชอบพวกงานศิลปะ ชอบดนตรี รวมถึงพวกงานออกแบบ ชอบออกแบบเสื้อผ้าแล้วนำมาประยุกต์ใช้กับตัวเอง บางทีก็ลงมือเย็บเสื้อผ้าเอง อย่างตอนเด็กๆ ก็มีเรื่องดนตรีเป็นหลัก ได้เรียนเปียโน เรียนร้องเพลง ส่วนช่วงที่เป็นนักศึกษาแพทย์ก็เอาความชอบส่วนตัวนี้มาทำเป็นอาชีพเสริมด้วย ได้สอนเปียโน สอนร้องเพลงตามโรงเรียนดนตรี อีกทั้งยังใฝ่ฝันว่าอยากเป็นนักร้อง เคยไปประกวดตามเวทีต่างๆ เช่น เดอะสตาร์ เคพีเอ็น สตาร์ชาเลนจ์ แต่สมัยนั้นหมอเป็นเด็กที่ไม่ค่อยมีความมั่นใจเท่าไหร่ บวกกับไม่ได้จริงจังที่จะไปสายนั้น เพราะที่บ้านไม่ค่อยสนับสนุน การประกวดร้องเพลงจึงเป็นความรู้สึกว่าอยากลองทำตามความชอบของตัวเองสักครั้งในชีวิต

การเป็นหมอศัลยกรรมดวงตาทำให้ความฝันวัยเด็กและอาชีพหมออยู่ร่วมกันอย่างลงตัวได้อย่างไร

หมอคิดว่าศาสตร์และศิลป์ต้องผสมผสานกันอย่างลงตัว แม้จะเรียนเทคนิคการทำตามาแล้ว แต่ก็ไม่เป๊ะร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าทุกเคสจะต้องทำตามสเต็ป เพราะต้องมีเรื่องการดีไซน์เข้ามาด้วย เพื่อออกแบบให้เข้ากับแต่ละบุคคล นอกจากนี้ยังต้องอาศัยการเก็บความรู้และเทคนิคต่างๆ จากอาจารย์หลายๆ ท่าน รวมถึงต้องประยุกต์ใช้สิ่งที่เรียนมาให้เป็น เพราะบางครั้งไม่สามารถเอามาใช้ตรงๆ ได้ ต้องผสมผสานเทคนิค ต้องวิเคราะห์ประกอบกับประสบการณ์ที่เจอ จึงต้องผสมผสานทั้งศาสตร์และศิลป์ อีกทั้งยังต้องเอาหลายๆ ศาสตร์มารวมกัน จนกลายเป็นเทคนิคของหมอเอง ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่มีใครสามารถทำตามได้ ทุกวันนี้จึงไม่ใช่ว่าทุกเคสจะทำเหมือนกันหมด แต่ต้องวิเคราะห์เป็นเคสๆ ไป

หลังจากทำตาสองชั้นแล้ว ชีวิตเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง

ถ้าเห็นรูปหมอสมัยก่อนทำตาสองชั้น จะรู้เลยว่าเป็นอาหมวยมาก คือเปลี่ยนเป็นคนละคนเลย พอเวลามีคนไข้ที่เป็นอาหมวยเหมือนกันมาปรึกษา หมอก็จะชอบเปิดรูปตัวเองให้เขาดูว่าสมัยเด็กๆ ก็ไม่ค่อยมั่นใจเหมือนกัน ส่วนเพื่อนๆ ก็ชอบบอกว่าหมอหน้าดุ พยายามบอกให้หมอยิ้มมั่งสิ ทั้งๆ ที่ก็ทำหน้าเฉยๆ นะ แถมพอเป็นคนหน้าดุแบบนี้ ก็เลยไม่มีใครเข้ามาจีบ เรียกว่าไม่มีความมั่นใจในตัวเองเอาซะเลย แต่พอหลังจากหมอทำตาสองชั้นช่วงก่อนเข้ามหาวิทยาลัย เพราะคุณแม่แนะนำให้ทำ หน้าตาจะได้ไม่ดูเป็นคนหาเรื่อง ซึ่งคุณแม่ พี่สาว พี่ชาย ทำกันหมดทุกคน พอทำแล้วก็รู้สึกมั่นใจมากขึ้น จากตอนเด็กๆ ที่ไม่กล้าแสดงออก พอทำตาสองชั้น ก็กล้าที่จะทำอะไรมากขึ้น ส่วนตัวหมอมองว่าพอเรามีความมั่นใจมากขึ้น ก็จะกล้าเปิดรับสิ่งใหม่ๆ กล้าทำอะไรมากขึ้น อย่างตอนมัธยมที่อยากไปร้องเพลงมาก แต่ก็ไม่ค่อยกล้า เพราะขาดความมั่นใจ แต่หลังจากทำตาสองชั้นแล้ว พอเข้ามหาวิทยาลัย หมอก็กล้าทำสิ่งที่ตัวเองชอบมากขึ้น

การผ่านการทำตาสองชั้นมาก่อนทำให้คุณหมอเข้าใจคนไข้อย่างไรบ้าง

เข้าใจมาก เพราะหมอรู้ความรู้สึกของคนไข้จากประสบการณ์ของตัวเอง ทุกวันนี้ถ้ามีเคสที่คุณแม่พาคุณลูกที่เป็นสาวหมวยตาชั้นเดียวมาปรึกษา หมอก็จะเห็นภาพตัวเองตอนเด็กๆ ทุกครั้ง นอกจากนี้ก็จะเป็นกลุ่มคนไข้ที่มีอายุหน่อย ซึ่งพออายุเยอะก็เกิดปัญหาตาตกจึงต้องมารักษา

การศัลยกรรมเปิดหัวตาคืออะไร

ศัลยกรรมเปิดหัวตาคือการทำให้ตาโตขึ้นอย่างชัดเจน ประเทศไทยเพิ่งรู้จักศัลยกรรมเปิดหัวตาช่วงที่หมอเริ่มเอาเทคนิคนี้จากเกาหลีมาใช้ ซึ่งช่วงแรกๆ คนจะงงว่ามันคืออะไร แต่หมอก็สื่อสารจนทำให้เกิดความเข้าใจแล้วว่า ในการทำตาสองชั้นจะมีการทำอย่างอื่นเพิ่มเติมด้วย นั่นคือการเปิดหัวตา ซึ่งเป็นเทคนิคที่ช่วยทำให้ตาสวยขึ้น ทำแล้วเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน

คุณหมอให้ความรู้ความเข้าใจกับคนไข้อย่างไรบ้าง

หมอใช้หลายวิธีเลยนะคะ อย่างช่วงแรกหมอใช้วิธีวาดรูปให้ดู เพื่อให้เข้าใจถึงความเปลี่ยนแปลงและความแตกต่างระหว่างหัวตาปิดกับหัวตาเปิด จากนั้นก็เผยแพร่ทางสื่อออนไลน์ เพื่อให้คนรู้มากขึ้น ส่วนอีกอย่างที่เห็นชัด คือภาพก่อนและหลังการทำของเคสจริง รวมถึงมีการอธิบายเทคนิคว่าทำอย่างไรบ้าง เล่าตั้งแต่การใช้เลเซอร์ตัดตกแต่งตรงหัวตา แล้วผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจะเป็นแบบนี้ หรือจะเห็นความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน เช่น  ตาดูโตขึ้น ตาดูยาวขึ้น ตาดำดูอยู่ตรงขึ้น สันจมูกดูกว้างขึ้น พื้นที่ตาขาวระหว่างหัวกับหางตาดูสมดุลกัน ซึ่งเป็นความเปลี่ยนแปลงที่ต้องสังเกตและศึกษาทำความเข้าใจถึงจะรู้ได้

การทำตาสองชั้นให้สวยธรรมชาติต้องดูที่อะไรเป็นหลัก

เบื้องต้นต้องประเมินปัญหาของคนไข้ก่อน ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเข้ามาทำได้เลย เพราะบางคนอาจมีปัญหากล้ามเนื้อตาอ่อนแรง ปัญหาเบ้าตาลึก หรือปัญหาจากการทำตาสองชั้นจากที่อื่น ขั้นแรกจึงต้องประเมินว่าจะต้องทำอะไรบ้างกับดวงตา สองคือเรื่องการออกแบบชั้นตา ต้องวิเคราะห์ว่าดวงตาแบบนี้ควรจะทำชั้นตาประมาณไหน เพื่อให้เข้ากับโครงสร้างดวงตาและโครงสร้างใบหน้า

สามเป็นเรื่องเทคนิคการผ่าตัด โดยหมอจะผสมผสานเทคนิคที่เคยร่ำเรียนมา ไม่ว่าจะเป็นจากคุณหมอที่ทำตาให้หมอเอง ซึ่งท่านมีประสบการณ์ในการทำตากว่า 50 ปี เป็นเทคนิคที่ท่านเรียนมาจากญี่ปุ่น แล้วเอามาสอนหมอตั้งแต่สมัยที่หมอกำลังเทรนเป็นจักษุแพทย์ และเป็นเทคนิคที่ค่อนข้างเหมาะกับคนไทยมากกว่า เพราะเป็นประสบการณ์ที่สั่งสมมาจากการผ่าตัดคนไทย ต่างจากเทคนิคที่หมอไปเรียนที่เกาหลี ซึ่งเป็นการเย็บชั้นตาที่มีการฝังปมไว้ข้างใต้ เหมาะกับคนเกาหลีมากกว่า เพราะเคสคนเกาหลีส่วนใหญ่ ก่อนทำจะเป็นตาชั้นเดียว หลังทำจะเป็นตาสองชั้นหลบใน

เทคนิคอีกส่วนหนึ่งได้มาจากการร่ำเรียนเป็นจักษุแพทย์ คือต้องคำนึงถึงการรักษาฟังก์ชั่นการใช้งานของดวงตา และการดูแลดวงตาให้ไม่ได้รับผลกระทบจากการทำตาสองชั้น เพราะฉะนั้นจึงกลายเป็นการผสมผสานกันระหว่างเทคนิคต่างๆ และประสบการณ์ที่ผ่านมา มีการปรับใช้กับคนไข้ และปรับเทคนิคของตัวเองเรื่อยๆ เพื่อสร้างชั้นตาที่ดูเป็นธรรมชาติมากที่สุด

คุณหมอรับมือกับความคาดหวังของคนไข้อย่างไร

หลักๆ คือโฟกัสไปที่การสร้างความสุขค่ะ เพราะคนไข้ส่วนใหญ่ที่มาทำตากับหมอ จะศึกษามาแล้วว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร หมอเข้าใจดีว่าคนไข้มักรู้สึกวิตกกังวลตามปกติ เพราะทั้งกลัวเจ็บ กลัวทำออกมาแล้วไม่ดี กลัวนั่นนี่ไปหมด หมอจึงพยายามดูแลทุกเคสเป็นอย่างดีในทุกขั้นตอน จะพูดคุยอธิบายทำความเข้าใจก่อนเสมอในเรื่องของความคาดหวังและสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังการทำ เพราะคนไข้บางคนอาจจะคาดหวังมากเกินไปจากสิ่งที่มีอยู่ จึงต้องปรับจูนกันก่อนว่าทำแล้วจะได้ประมาณไหน ส่วนหมอก็จะทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มความสามารถ เพื่อให้คนไข้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด และมีความสุขกลับไป

ทุกวันนี้หมอจึงจำกัดการรับคนไข้ไม่เกิน 4 เคสต่อวัน เพราะอยากให้เวลากับแต่ละเคสอย่างเต็มที่ที่สุด เพื่อให้แต่ละขั้นตอนมีความละเอียดพิถีพิถัน มีการพูดคุยอธิบายทำความเข้าใจและถามความต้องการกันก่อน มีการรีเช็กเสมอว่าโอเคหรือยัง อย่างบางทีคนไข้ถามหมอว่า ทำช่วงเวลาไหนดีที่สุด ซึ่งหมอก็จะพยายามสร้างความมั่นใจให้กับคนไข้ ด้วยการตอบว่าดีทุกเวลา เพราะหมอรู้ว่าปริมาณเคสเท่านี้กำลังดีแล้ว

เคยเจอเคสยากๆ แบบไหนบ้าง

โดยปกติแล้วคนไข้ที่มาปรึกษาหมอจะมีทั้งเคสยากและง่ายปะปนกันไป สำหรับเคสยากก็จะมีอยู่หลายกลุ่ม กลุ่มแรกคือคนที่มีปัญหาต้องแก้ไข เช่น เคยทำตามาหลายรอบแล้ว แต่ไม่ประสบความสำเร็จ มีปัญหาจนเขาหดหู่ใจ ไม่อยากออกจากบ้าน ไม่กล้าทำอะไรเลย เคสแบบนี้ก็ต้องจัดการกับความคาดหวังของเขาก่อนดีๆ ต้องให้เขาทำความเข้าใจก่อนว่าทำออกมาแล้วจะได้ประมาณไหน ส่วนหมอก็จะวางแผนการผ่าตัดอย่างดีว่าจะต้องแก้อะไรบ้าง

กลุ่มที่สองคือคนที่มีปัญหาตั้งแต่เกิด ส่วนใหญ่จะเป็นปัญหากล้ามเนื้อตาอ่อนแรง ซึ่งสมัยก่อนการรักษายังไม่ค่อยดี ไม่สวยงาม แต่ว่าคนไข้กลุ่มนี้ก็ยังคาดหวังว่าเขาจะมีตาสองชั้นที่ดูสวยงามเท่ากันได้ อีกกลุ่มหนึ่งคือคนที่ต้องใช้หน้าตาในการทำงาน อยากแก้ไขดวงตาให้สวยขึ้น เพราะหวังว่าจะได้งาน ซึ่งมาพร้อมกับความคาดหวังอีกเช่นกัน จึงต้องจัดการกับความคาดหวังของเขาก่อน โดยเฉพาะคนที่เป็นที่รู้จักอยู่แล้ว หากแก้ไขแล้วหน้าตาเปลี่ยนไปมากจนโดนทัก จุดนี้ก็เป็นสิ่งที่หมอต้องดูแล

คุณหมอคาดหวังอะไรจากคนไข้บ้าง

สิ่งแรกที่หมอคาดหวังจากคนไข้คือความร่วมมือที่ดี เพราะถ้าคนไข้ให้ความร่วมมือดี ไม่ตื่นเต้น ไม่บีบตาระหว่างทำ ผลลัพธ์ก็มักจะหายเร็ว แต่ถ้าคนไข้วิตกกังวลมากเกินไป เกร็งจนชีพจรเต้นเร็ว ความดันขึ้น แบบนี้ก็มักจะหายช้า บวมนาน ซึ่งหมอก็เข้าใจนะคะว่า คนไข้ที่มารักษาส่วนใหญ่จะมีความตื่นเต้นและวิตกกังวล หมอจึงพยายามพูดคุยให้เขาคลายกังวลเสมอ ส่วนที่สองคือแนวคิดของคนที่จะมาทำ ต้องเตรียมตัวเตรียมใจยอมรับความเปลี่ยนแปลงให้ได้ รวมถึงต้องพูดคุยทำความเข้าใจกับคนในครอบครัวก่อนด้วย เพื่อให้เขายอมรับความเปลี่ยนแปลงของเรา และที่สำคัญอีกอย่างคือต้องเตรียมใจกับการใช้เวลาในการรอให้ดวงตาที่แก้ไขเข้าที่

Lovely Eye & Skin Clinic ชื่อนี้มีที่มาอย่างไร

ชื่อนี้มีที่มาที่ไปหลายอย่าง ทีแรกตั้งว่า Lovely Eye Clinic พอมีการเพิ่มบริการเกี่ยวกับผิวพรรณเข้ามาด้วย ก็เลยเป็น Lovely Eye & Skin Clinic ส่วนตอนแรกที่เป็นชื่อ Lovely Eye Clinic  เพราะหมอคิดถึงเป้าหมายหลัก นั่นคือการทำให้ดวงตาของคนไข้สวยขึ้น บวกกับอยากให้ชื่อคลินิกสะท้อนคาแร็คเตอร์ของตัวเองที่ออกแนวน่ารักๆ ก็เลยเป็น Lovely ซึ่งคนที่มาทำตากับหมอก็จะ Lovely ด้วย คือใครเห็นก็ต้องชมว่าน่ารัก อีกเหตุผลหนึ่งคือหมอตั้งชื่อแหวนวงแรกที่สามีซื้อให้ว่า Lovely ค่ะ

บาลานซ์บทบาทคุณหมอและผู้บริหารให้ไปด้วยกันอย่างลงตัวได้อย่างไร

การทำงานในจุดนี้ หมอไม่ได้คิดถึงเรื่องธุรกิจเป็นอันดับแรก หลักๆ หมอจะเน้นการลงมือทำมากกว่า ส่วนงานบริหารหรือวิสัยทัศน์ด้านธุรกิจ หมอจะคิดกว้างๆ ถึงจุดมุ่งหมายและความจริงใจต่อลูกค้า ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงจุดเริ่มต้นที่หมอต้องการทำให้เกิดขึ้น คือการรักษาคุณภาพให้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุดเสมอ คนไข้ที่มาทำตากับหมอจะต้องได้รับผลลัพธ์ที่ดีที่สุดกลับไป และการทำให้ Lovely Eye & Skin Clinic เป็นที่หนึ่งด้านการศัลยกรรมดวงตา เพราะที่นี่ไม่ทำศัลยกรรมอย่างอื่นเลย หมอจึงอยากให้ทุกคนที่มีปัญหาเกี่ยวกับดวงตาคิดถึงที่นี่เป็นอันดับแรก

ดูแลความสวยให้กับคนไข้เป็นหมื่นๆ เคสแล้ว คุณหมอมีเทคนิคในการดูแลตัวเองอย่างไรบ้าง

หมอเป็นคนดื่มน้ำเยอะมาก จึงส่งผลดีต่อผิวพรรณและร่างกาย นอกจากนี้ก็จะพยายามหลีกเลี่ยงแสงแดด ซึ่งส่งผลเสียต่อผิวหนังและดวงตา ส่วนอีกอย่างที่ต้องดูแลคือเรื่องการกินและการออกกำลังกาย หมอจะกินแบบมีความสุขควบคู่กับความพอดี และออกกำลังกายร่วมด้วย โดยทุกวันนี้หมอจะจัดตารางของตัวเองเลยว่า ในหนึ่งสัปดาห์จะออกกำลังกายกี่วัน และสุดท้ายคือต้องพักผ่อนนอนหลับอย่างเพียงพอ

คุณหมอรักอาชีพนี้มากแค่ไหน

หมอรักในอาชีพนี้ค่ะ รู้สึกว่าลงตัวมากๆ สำหรับตัวเอง เพราะได้ใช้สิ่งที่เรียนมา และได้ทำสิ่งที่รักควบคู่กันไป อย่างที่หมอบอกตั้งแต่ต้นว่ามันคือการผสมผสานศาสตร์และศิลป์ หมอได้ทำงานละเอียดอย่างที่ชอบ บวกกับผลงานเป็นที่พึงพอใจ ทั้งหมอและคนไข้ได้รับความสุข ทุกวันนี้หมอจึงรู้สึกแฮ็ปปี้กับงาน อยากทำมันไปเรื่อยๆ ด้วยความรัก เพื่อให้ทุกอย่างต่อเนื่องและผลลัพธ์ออกมาดีขึ้นเรื่อยๆ ค่ะ

คิดว่าตอนนี้อยู่ในจุดที่ประสบความสำเร็จสูงสุดหรือยัง

จุดนี้หมอคิดว่าคนไข้รู้จักและให้การตอบรับดีในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะการให้ความไว้วางใจ อย่างคนไข้ที่เคยทำกับหมอ 5-6 ปีแล้ว ก็พาลูกหลานหรือคนรู้จักกลับมาทำอีก หมอขอขอบคุณทุกเคสตลอดระยะ 10 ปี ที่มอบความไว้วางใจให้หมอดูแลดวงตา ซึ่งหมอดีใจที่สามารถตอบโจทย์ปัญหาของทุกคนได้ เพื่อตอบแทนทุกโอกาสและประสบการณ์ หมอจะพัฒนาทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งฝีมือของตัวเอง เทคนิค และทีมงานให้ดีขึ้นเรื่อยๆ โดยทุกวันนี้หมอไม่ได้คิดว่าตัวเองอยู่ในจุดสูงสุดแล้ว เพราะถ้าคิดแบบนั้น เราก็จะไม่คิดที่จะพัฒนาต่อไป แต่หมอคิดว่าการทำงานทุกวันนี้ของหมอ คือการเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อพัฒนาตัวเองและก้าวขึ้นไปสู่จุดที่สูงขึ้น ดังนั้นจึงต้องสั่งสมประสบการณ์และเทคนิคต่อไป

เป้าหมายต่อไปของคุณหมอคืออะไร

ปกติแล้วหมอชอบการประยุกต์ใช้สิ่งใหม่ๆ หรือนวัตกรรมใหม่ๆ เรียกว่าเป็นเจ้าแม่นวัตกรรมเลยก็ได้ อย่างช่วงแรกๆ ก็พยายามหาอะไรที่ไม่ใช่การผ่าตัดมาใช้ หมอจึงเป็นเจ้าแรกๆ ที่นำการเทอร์มาจมาใช้กับรอบดวงตา ซึ่งสมัยก่อนไม่ได้รับความนิยม เพราะดวงตาเป็นอวัยวะที่บอบบาง ต้องใช้เทคนิคความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษในการป้องกันดวงตาด้านใน หมอผิวหนังทั่วไปจึงไม่อยากยุ่งนัก แต่พอหมอนำการเทอร์มาจรอบดวงตามาใช้ นวัตกรรมนี้ก็ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องหลายปี ส่วนการผ่าตัด เมื่อก่อนใช้เลเซอร์ในการตัดหนังตาก็จริง แต่ยังไม่ดีเท่าสมัยนี้ที่มีหัวเลเซอร์ขนาดเล็กพิเศษ เรียกว่า New Lovely Microlaser ซึ่งสามารถตัดหนังตาได้แม่นยำมากขึ้น

ส่วนเป้าหมายในอนาคต หมอกำลังมองหาเทคนิคหรือนวัตกรรมใหม่ๆ ที่สามารถตอบโจทย์ความงามรอบดวงตาให้มากยิ่งขึ้น และอีกอย่างที่สำคัญมาก คือหมอกำลังพัฒนาทีมแพทย์ Lovely Specialist เพื่อตอบโจทย์ความต้องการในการทำศัลยกรรมตาสองชั้น เพราะคนไข้บางคนอยากทำตาสองชั้นกับหมอมาก แต่ติดตรงที่ต้องรอคิวนานเกินไป ก็สามารถมาทำกับทีมแพทย์ Lovely Specialist ได้ เพราะทีมแพทย์ผ่านการเทรนโดยตรงจากหมอเองบนมาตรฐานเดียวกัน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดกับคนไข้ทุกคน ไม่ต่างจากการทำกับหมอรวงข้าวเลยค่ะ

Praew Recommend

keyboard_arrow_up