หมอเจี๊ยบ ลลนา ก้องธรนินทร์

หมอเจี๊ยบ เล่าประสบการณ์โควิดตอนนี้แย่เป็นพันเท่า คนนอนรอเตียงล้นฉุกเฉิน

account_circle
หมอเจี๊ยบ ลลนา ก้องธรนินทร์
หมอเจี๊ยบ ลลนา ก้องธรนินทร์

หมอเจี๊ยบ ลลนา ก้องธรนินทร์ เล่าประสบการณ์ขณะที่กำลังทำหน้าที่เป็นแพทย์ด่านหน้าเพื่อทำการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 หมอวอนขอวัคซีนที่มีประสิทธิภาพและทั่วถึงให้ประชาชนทุกคนอย่างเร็วที่สุด

ในขณะที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทยตอนนี้เข้าขั้นวิกฤติ โดยเฉพาะในวันนี้ที่มีผู้ติดเชื้อถึง 7 พันคน และ ผู้เสียชีวิต 70 ราย เรียกได้ว่าเป็นยอดสูงสุดนับตั้งแต่ที่ไวรัสโควิด-19 ระบาดในประเทศไทย ขณะเดียวกันมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นเรื่อยๆ ในอีกไม่ช้านี้ โดยมีรายงานว่าอาจมีผู้ติดเชื้อถึงวันละหมื่นคนเลยทีเดียว

ในขณะที่ผู้ติดเชื้อทวีคูณเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ กำลังแพทย์ด่านหน้าที่ตั้งรับผู้ป่วยโควิด และ ระบบสาธารณสุขของประเทศไทย ก็แทบจะต้านไม่ไหว โดย หมอเจี๊ยบ ลลนา ก้องธรนินทร์ ได้ออกมาเล่าประสบการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้ว่า

หมอเจี๊ยบ เล่าประสบการณ์โควิดตอนนี้แย่เป็นพันเท่า คนนอนรอเตียงล้นฉุกเฉิน

วันนี้เจี๊ยบขอมาเล่าประสบการณ์ด่านหน้าให้ฟังกันนะคะ ในฐานะหมอในห้องฉุกเฉิน เจี๊ยบคลุกคลีกับเคสผู้ป่วยโควิดมาตลอดซึ่งสถานการณ์ในตอนนี้ ต้องยอมรับว่ามันทั้งแย่และหนักมากกว่าการระบาดครั้งก่อนๆ เป็นพันเท่าเลยค่ะ อย่างที่ทราบกันว่าคนไข้โควิดที่อาการหนักแต่ไม่มีเตียงต้องนอนรอเตียงกองกันอยู่ล้นหน้าห้องฉุกเฉิน แต่อย่าลืมว่า ที่โรงพยาบาลไม่ได้มีเฉพาะเคสโควิดอย่างเดียว ยังมีทั้งอุบัติเหตุและคนเจ็บป่วยหนักที่อันตรายถึงชีวิตที่ต้องเข้ารับการรักษา

ไม่กี่วันมานี้มีคนไข้อาเจียนพุ่งเป็นเลือด หัวใจหยุดเต้น การที่หมอจะกระโดดเข้าไปช่วยชีวิตปั๊มหัวใจทันทีเหมือนเมื่อก่อนก็ไม่สามารถทำได้ ต้องไปใส่ชุด PPE ก่อน และยังมีรายละเอียดในขั้นตอนการรักษาอื่นๆอีกหลายอย่างมากขึ้น คนทำงานก็กดดันด้วยเวลาที่ต้องเร่งรีบและด้วยปริมาณเคส บางครั้งผู้ป่วยและญาติไม่เข้าใจคิดว่ามัวทำอะไรอยู่ ทำไมไม่รีบมารักษา

แต่ขณะนั้น พวกเราทุกคนกำลังเตรียมความพร้อมป้องกันเพื่อเข้าไปช่วยชีวิตผู้ป่วยอย่างปลอดภัย ล่าสุด เพื่อนร่วมงานเจี๊ยบน้องพยาบาลเป็นลมในชุด PPE ระหว่างกำลังทำงาน

ห้องแยกโรคป้องกันการแพร่เชื้อ (ห้องความดันลบ) ที่ใช้สำหรับเคสผู้ป่วยโควิดมีจำกัด ไม่พอกับจำนวนผู้ป่วย จนคนไข้โควิดต้องออกมานอนรักษาอยู่ด้านนอก ทำได้เพียงเว้นระยะห่าง(ที่ไม่ห่าง) ระหว่างเตียง ผู้ป่วยใกล้เคียงรวมถึงเจ้าหน้าที่ก็ต้องเสี่ยงติดเชื้อไปตามกัน เพราะห้องแยกโรคเต็มหมด และเป็นเรื่องที่น่าเศร้ามากค่ะ เจี๊ยบเจอเคสที่คนไข้อายุมากกว่าเจี๊ยบแค่ปีเดียวไม่มีโรคประจำตัวอื่นใดๆ แต่ก็เป็นหนักจนเสียชีวิตลำพังบนเตียง ไม่มีโอกาสได้ร่ำลาใคร ญาติพี่น้องไม่สามารถเข้ามาพบได้ ลองนึกดูว่าถ้าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับครอบครัวหรือคนใกล้ตัวของตัวเองจะทรมานใจขนาดไหน

เคสโควิดที่ป่วยหนักจนจำเป็นต้องใส่ท่อช่วยหายใจก็เกิดขึ้นทุกวัน ตั้งแต่ทำงานใส่ท่อช่วยหายใจให้คนไข้โควิดมายังไม่มีเคสไหนเลยที่รอด ทุกครั้งที่จะต้องใส่ท่อช่วยหายใจให้ผู้ป่วยเจี๊ยบรู้สึกเศร้ามาก

เพราะตัวหมอเองยังไม่รู้เลยว่าคนไข้จะมีโอกาสได้กลับบ้านไหม ที่ทำได้ดีที่สุดในตอนนั้นคือจับมือและบอกว่าคนไข้ว่า “เดี๋ยวหมอจะใส่ท่อช่วยหายใจให้ ตอนตื่นมาจะมีท่ออยู่ในปากนะ”

มีเคสนึง คนไข้เป็นคนขับรถแท็กซี่ คุณลุงเล่าว่า ผู้โดยสารให้ไปส่งที่ รพ. ระหว่างทางก็ถามผู้โดยสารว่าไปส่งโรงพยาบาลเป็นอะไร เป็นโควิดหรือเปล่า? ผู้โดยสารเลี่ยงไม่ตอบ คนขับก็ไม่กล้าให้ลงจากรถเห็นผู้โดยสารขึ้นมานั่งแล้วจึงไปส่งให้ถึงที่หมาย หลังซักประวัติเสร็จไม่นาน คุณลุงก็อาการหนักจนต้องใส่ห่อช่วยหายใจ เป็นอีกเคสที่จากไป เจี๊ยบไหว้พระขออธิษฐานให้คุณลุงสงบสุขอยู่บนสวรรค์นะคะ

สถานการณ์ในตอนนี้หนักมาก บางเคสที่เจออายุไม่เยอะ ไม่มีโรคประจำตัวมาก่อนก็อาจมีโอกาสอาการหนักได้ ความเสี่ยงมีอยู่ทุกที่ เจี๊ยบขอเป็นหนึ่งเสียงในฐานะแพทย์และประชาชนคนหนึ่ง ขอวัคซีนที่มีประสิทธิภาพและทั่วถึงให้ประชาชนทุกคนอย่างเร็วที่สุดเถอะนะคะ เพราะแต่ละวินาทีที่ช้าไปคือชีวิต หมอทุกคนอยากเห็นคนไข้ได้กลับบ้านไปหาคนที่เค้ารัก”

 

ดูโพสต์นี้บน Instagram

 

โพสต์ที่แชร์โดย Lalana Kongtoranin (@jeab_lalana)


 

Praew Recommend

keyboard_arrow_up