อุบัติเหตุ เปลี่ยนชีวิต! ติ๊งโน๊ต-ฐิติพงศ์ วโรกร แชมป์นักบิด 2 สมัย
“ชีวิตคนเราไม่มีทางรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น อยากทำอะไรในเวลาที่มี จงทำให้ดีที่สุด”..ฐิติพงศ์ วโรกร …
เป็นข่าวดังเมื่อเดือนมีนาคมปีที่แล้ว ‘ติ๊งโน๊ต’ นักบิดแชมป์ประเทศไทยของ คอร์ คาวาซากิ เรซซิ่ง ทีม (Core Kawasaki Racing Team) ประสบอุบัติเหตุร้ายแรงชนิดที่ไม่มีใครคิดว่า วันนี้เขาจะกลับมายืนในสนามแข่งได้อีกครั้ง คว้าแชมป์อันดับหนึ่งติดกันถึง 3 สนาม เรียกว่ากลับมาครองบัลลังก์แชมป์อย่างสมภาคภูมิ
มากไปกว่านั้น เขายังมองถึงเรื่องการพัฒนาศักยภาพของเด็กไทย ที่จะก้าวไปสู่อาชีพนักแข่งรถในระดับโกอินเตอร์ จึงสร้างโรงเรียนสอนเด็กแข่งรถ เพื่อให้โอกาสเด็กๆ เดินตามฝัน
เล่าให้ฟังถึงอุบัติเหตุครั้งนั้นหน่อยค่ะ
“เมื่อเดือนมีนาคมปีที่แล้ว มีการจัดรายการแข่งขัน WSBK ชิงแชมป์โลก ผมได้สิทธิ์เป็นตัวแทนประเทศไทยเพียงคนเดียวในการลงแข่งรุ่นใหญ่ ประเภทเครื่องยนต์ 1,000 cc เป็นครั้งแรกในชีวิต ตอนนั้นทางทีม Kawasaki Thailand Racing Team นำรถแข่งที่นำเข้าจากยุโรป ซึ่งถือว่าเป็นตัวท็อปมาให้ผมโดยเฉพาะ ใช้เวลาปรับตัวกับรถใหม่เพียงไม่นานก็ต้องลงแข่งเลย โชคดีที่ผมแข่งที่สนาม Chang International Circuit ซึ่งเป็นสนามที่คุ้นชินอยู่แล้ว จึงไม่กังวลมากนัก แต่ถึงอย่างนั้นช่วงที่ฝึกซ้อมผมทำคะแนนได้ไม่ดีเท่าไร พอถึงวันแข่งวันแรก ก็ยังทำเวลาได้แค่ลำดับที่ 19 จากทั้งหมด 20 กว่าคัน ผมจึงตั้งใจพยายามขับให้ดีขึ้น เพราะความฝันของผมคืออยากเป็นแชมป์ติด 1 ใน 15 ของโลก
“วันเกิดเหตุผมบิดความเร็วเต็มที่อยู่ที่ 305 พอเลี้ยวตรงทางโค้ง จู่ๆ ก็ล้ม ตอนนั้นผมจำไม่ได้เลยว่าล้มอย่างไร ภาพนั้นหายไปจากหัวเลยครับ พอไปดูคลิปย้อนหลังถึงเห็นว่า พอผมล้ม รถคันหลังที่ผมแซงขึ้นมา เขาหลบไม่ทัน รถจึงชนที่หลังกับหัวผมเต็มๆ เรียกว่าหมวกกันน็อกแตกทั้งหมด แล้วรถก็ลากตัวผมไปด้วย ตอนที่เห็นในคลิปยังคิดว่าตัวเองไม่น่าจะรอด”
อาการเป็นอย่างไรบ้างคะ
“ผลจากการเอ็กซเรย์พบว่า กระดูกหักกับแตกทั้งหมด 15 ชิ้น คุณหมอบอกผมว่า ถ้าผ่าตัดไม่สำเร็จ มีโอกาสเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต เพราะอาการหนักมาก สิ่งที่ผมกลัวที่สุดคือ กลัวจะเดินไม่ได้ หลังจากผ่าตัดเสร็จเรียบร้อยทุกอย่าง คุณหมอให้ผมลองกระดิกขาเบาๆ ปรากฏว่าทำได้ หลายวันถัดจากนั้น พยาบาลก็ช่วยพาผมลุกขึ้นเดิน ปรากฏว่าเดินได้ รู้สึกโชคดีมาก เรียกว่าเป็นปาฏิหาริย์เลยครับที่ผมไม่เป็นอัมพาต ไม่พิการ เป็นเคสหนึ่งในล้านเลยก็ว่าได้ เพราะถ้าเจอหนักขนาดผม อย่างน้อยต้องพิการ หรือใช้งานไม่ได้ในบางส่วน แต่ผมกลับไม่เป็นอะไรเลย ตอนที่นั่งดูฟิลม์เอ็กซเรย์พบว่า ตรงกระดูกสันหลังมีเส้นประสาทเยอะมาก ที่จริงควรจะไปโดน หรือทำลายเส้นประสาทบ้าง แต่โชคดีที่ไม่โดนเลย”
เหตุการณ์ครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อจิตใจขนาดไหน
“ยอมรับว่าเครียดมากครับ ผมกลัวว่าตัวเองจะกลับมาใช้ชีวิตเหมือนคนอื่นไม่ได้ มันหดหู่มากจนนอนไม่หลับ ถ้าหลับก็ฝันร้าย แล้วพอนอนในโรงพยาบาลคนเดียว ก็คิดไปสารพัด เวลาคุยกับแม่หรือน้องสาวก็ร้องไห้ ผมว่าลึกๆ คงเป็นความเสียใจที่ตัวเองทำพลาด เพราะก่อนการแข่งขันแมตช์นี้ คะแนนผมดีมาตลอดและทางแฟนคลับทุกคน รวมทั้งผู้ใหญ่ทุกท่านก็เชื่อมั่นในความสามารถของผม ส่งไปแข่งรุ่นใหญ่ที่สุดของปี เราน่าจะทำได้ ไม่คิดว่าจะพลาด”
เรียกกำลังใจกลับมาอย่างไรคะ
“พอเริ่มหายดี เดินได้ ก็มีโอกาสไปดูเพื่อนแข่งรถ ความรู้สึกตอนนั้นคือ อยากกลับไปแข่งอีกครั้ง ติดตรงที่คุณหมอบอกให้พักฟื้นเป็นเวลา 6 เดือน แต่ผ่านไป 3 เดือนร่างกายแข็งแรงขึ้นมาก เรียกว่ากลับมาเป็นปกติก็ว่าได้ ด้วยความที่ใจอยากลงสนามแล้ว จึงไปคุยกับทางทีมคาวาซากิ เขาให้ผมทดสอบเรื่องด้านประสาทสัมผัสต่างๆ ปรากฏว่า ผมสอบผ่านทุกอย่าง เช่นเดียวกับคุณหมอ พอเห็นว่าร่างกายเป็นปกติก็ไม่ได้ห้าม แค่เตือนว่า ถ้าล้มอีกครั้งแล้วกระดูกที่ดามเหล็กไว้หัก จะซ่อมไม่ได้อีกแล้ว ผมคงไม่ได้รับปาฏิหาริย์บ่อยๆ ถ้าเป็นอะไรขึ้นมา เพราะฉะนั้นต้องยอมรับความเสี่ยงในข้อนี้ ซึ่งผมยอมรับทุกอย่าง ตั้งใจว่ากลับมาคราวนี้ จะแข่งแบบจัดเต็ม ไม่กั๊ก เพราะคิดว่าเราลงไปแล้วสู้ไม่ได้ตั้งแต่แรกก็จะไม่แข่ง และนั่นเป็นช่วงเวลาที่ผมรู้สึกว่า พลังของตัวเองกลับมา”
กลัวเหตุการณ์จะซ้ำรอยไหมคะ
“มีนิดๆ ก่อนถึงวันแข่งผมไปดูสนามแข่งตรงจุดที่เกิดอุบัติเหตุอีกครั้ง ในใจกังวลว่า จะกล้าใช้ความเร็วเหมือนเดิมหรือเปล่า แต่ทางทีมคาวาซากิจัดอุปกรณ์เซฟตี้ทุกอย่างเท่าที่ทำได้เพื่อกันไม่ให้รถล้ม คุณหมอก็มาตรวจร่างกาย เอ็กซ์เรย์ก่อนแข่ง ซึ่งร่างกายผมพร้อมทุกอย่าง คงเป็นความสบายใจ ไม่มีใครกดดัน รวมทั้งผมเองก็ไม่กดดันตัวเองด้วย ทำให้ได้ที่ 1 จากสนามนั้นเลย ล่าสุดผมก็ได้แชมป์จากรายการ พีทีที บีอาร์ไอซี ซูเปอร์ไบค์ แชมเปียนชิพ 2019” ที่แข่งเมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมาด้วย … ถ้าถามว่าผมกลัวไหม ก็มีบ้างครับ แต่เหมือนเราเคยผ่านความตายมาครั้งหนึ่ง แล้วผมอยู่วงการนี้มากว่า 20 ปี ทั้งชีวิตไม่เคยประสบอุบัติเหตุหนักขนาดนั้น ถ้ามันจะเกิดขึ้นอีกก็ไม่เป็นไร เพราะผมอยากใช้ชีวิตที่เหลือให้ดีที่สุด”
ดูเหมือนเหตุการณ์ครั้งนั้นจะสอนให้กล้ากว่าเดิม?
“คงเหมือนเราเกือบตายมาครั้งหนึ่งแล้ว อยากใช้ชีวิตที่เหลือให้ดีที่สุด ต้องทำให้ได้ ต้องทำให้ดีขึ้น เพราะเป้าหมายของผมคือ อยากได้แชมป์ประเทศไทย 3 สมัย ซึ่งยังไม่มีใครได้แชมป์ประเทศไทย 3 สมัยติด ซึ่งตอนนี้ผมได้ 2 สมัยแล้ว ถ้าเว้นช่วงการแข่งขันไป คะแนนจะตามคนอื่นไม่ทัน และที่สำคัญกว่านั้นคือ ผมอยากชดเชยที่ทำพลาดไปเมื่อการแข่งครั้งที่แล้วด้วย
บทเรียนที่สำคัญที่สุดจากเหตุการณ์ครั้งนี้ คืออะไรคะ
“ชีวิตคนเราไม่มีทางรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น อยากทำอะไรในเวลาที่มี ก็จงทำให้ดีที่สุด อย่าไปหวังพึ่งน้ำบ่อหน้า บางคนไม่กล้าใช้เงินทั้งๆ ที่มีเงิน อยากได้รถสปอร์ตแต่ก็ไม่ยอมซื้อ ซึ่งผมคิดว่า บางทีชีวิตเราอาจจะไม่อยู่จนถึงวันที่เรามีทุกอย่างก็ได้ ผมเองก็เคยอยากทำหลายๆ อย่าง แต่ไม่ยอมทำ ทุกวันนี้จึงไม่คิดเยอะเท่าแต่ก่อน ยึดความสุขเป็นหลัก ทำให้ดีที่สุดในทุกๆ วัน”
ทราบว่า นอกจากจะเป็นนักแข่งแล้ว ก่อนเกิดอุบัติเหตุ ติ๊งโน๊ตยังเปิดโรงเรียนสอนเด็กๆ แข่งรถด้วย
“ใช่ครับ ผมสร้างโรงเรียน ติ๊งโน๊ต เรซซิ่งสคูล เมื่อต้นปีที่แล้ว เป็นโรงเรียนสอนเด็กขับรถจิ๋ว เพราะรู้สึกว่า เราแข่งรถมาก็นาน ประสบการณ์เยอะ ผมยังจำได้ไม่ลืมว่า สมัยเด็ก ผมอยากเรียนขับรถมาก แต่สมัยนั้นไม่มีรถมอเตอร์ไซค์สำหรับเด็กให้ขี่ ไม่มีสนาม ไม่มีอะไรรับรองความฝันของเราทั้งนั้น แถมรถมอเตอร์ไซค์สำหรับเด็กยังราคาสูงมาก ตกคันละ 50,000 -60,000 บาท ต่างจากสมัยนี้ที่เหลือแค่คันละ 15,000 บาทเท่านั้น ผมจึงนำที่ดินเปล่าของคุณย่าที่อำเภอสีคิ้ว มาทำเป็นสนามแข่งรถ ซึ่งที่ดินตรงนั้นมีมูลค่าสูงถึง 100 ล้านบาท มีนายทุนหลายคนมาขอซื้อ แต่ผมก็บอกคุณย่าว่า อย่าขายเลย ท่านคงเห็นความตั้งใจของผม จึงมอบพื้นที่ตรงนั้นมาทำเป็นโรงเรียนสอนแข่งรถ
คิดเรื่องกำไร ขาดทุนบ้างไหมคะ
“ถ้ามองเป็นตัวเลขทางธุรกิจต้องบอกว่า ขาดทุนแน่นอน แค่เฉพาะที่ดินก็100 ล้าน ยังมีค่าสนาม ค่าตู้คอนเทนเนอร์ ซึ่งทำไว้เป็นที่รับรองผู้ปกครองและเด็กๆ เพราะอากาศร้อน ผู้ปกครองต้องนั่งรอหลายชั่วโมง เราก็เห็นใจ ตอนนี้ลงทุนไปกว่า 2 ล้านแล้ว แต่ถ้ามองในแง่ความตั้งใจ โปรเจ็คต์นี้ไม่ขาดทุนเลย เพราะมันเป็นความฝันของผมที่อยากเปิดโรงเรียน ผมอยากให้เด็กคนอื่นได้รับโอกาสอย่างผมบ้าง ผมจึงมองว่าคุ้ม คุณย่าเองก็รับรู้ถึงความตั้งใจนี้ สมัย 10 ขวบ คุณย่าเคยจ้างผมเลิกแข่งรถเป็นเงิน 1 ล้านบาท เพราะไม่อยากให้เอาชีวิตไปเสี่ยง แต่ผมไม่รับ เพราะไม่รู้จะเอาเงินไปทำอะไร ตอนนี้ท่านก็ยังจ้างอยู่นะ (หัวเราะ) ที่สุดท่านคงเห็นความตั้งใจของผม รู้ว่าผมรักในอาชีพนี้จริงๆ จึงยอม”
คลาสเปิดสอนอย่างไรบ้างคะ
“เรามีทั้งโปรแกรมจัดสอนและจัดแข่ง สำหรับโปรแกรมสอน จะมีผมกับคุณพ่อ ซึ่งท่านเคยเป็นนักแข่งรถมาก่อน รวมทั้งนักแข่งในทีมมาเป็นครู รับสอนเด็กอายุ 3 ขวบเป็นต้นไป เพราะคิดว่าถ้าได้สอนตั้งแต่ยังเล็กๆ เขาจะไปได้ไกลมาก อย่างตอนนี้เราก็จัดโปรโมชั่น คือซื้อรถจะแถมคอร์สเรียน 1 คอร์ส ซึ่งถ้าใครอยากเรียนเพิ่มก็จะจ่ายเพิ่มประมาณ 1,000-2,000 บาท นอกจากนี้ผมยังขายรถมอเตอร์ไซค์จิ๋วด้วย ถ้าใครซื้อกับผม ก็ให้ใช้สนามฟรีไม่คิดสตางค์ หรือถ้าวันไหนผมว่าง ไม่ได้จัดคอร์สสอนจริงจังก็จะสอนให้เด็กๆ ฟรีครับ รวมทั้งหาสนามแข่งให้น้องๆ ด้วยเพื่อให้มีแมวมองเห็นความสามารถของเขา อย่างมีน้องคนหนึ่ง ผมก็ปั้นเขามากับมือ จนมีสปอนเซอร์มาทาบทาม ตอนนี้น้องไปอยู่ที่อินโดนีเซีย มีเงินเดือน มีทีมคอยซัพพอร์ตเราก็ดีใจ”
ทราบว่าเปิดสอนให้กับเด็กๆ ที่ขาดทุนทรัพย์ด้วย
“ครับ มีเด็กคนหนึ่งเป็นลูกของคนที่ผมรู้จัก พ่อแม่เขาไม่มีเงินส่งเรียน ผมก็สอนให้ฟรี อีกคน คุณพ่อต้องเข้าไปอยู่ในเรือนจำ เพื่อนผมไปขอรับเลี้ยงเป็นลูก น้องชอบขับรถ ผมก็ช่วยสนับสนุนทุกอย่าง ช่วงสอนหรือซ้อมก็ไม่ได้คิดเงิน ซึ่งถ้าพูดตามตรงแล้ว วงการแข่งรถ ถ้าไม่มีเงินจริงๆ โอกาสนั้นยากมาก เขาต้องมีความมุ่งมั่นและต้องมีทุนของตัวเอง เพราะกว่าบริษัทจะดึงตัวเขาไปเป็นนักแข่งในสังกัด ก่อนหน้านั้นเขาก็ต้องใช้ทุนตัวเอง และถ้าไม่เก่งจริงบริษัทก็ไม่ซัพพอร์ตเงิน ไหนจะค่าเดินทาง อุปกรณ์ต่างๆ
“ปัจจุบันนี้นับว่าดีขึ้นกว่าสมัยก่อน เพราะมีหลายแบรนด์ทำโปรเจ็คต์ Academy คือคุณไม่ต้องเสียเงิน ก็เข้ามาเรียนได้ โดยเขาจะคัดเด็กเก่ง แบ่งอายุเป็นช่วงๆ เช่น ตั้งแต่ 7 ขวบ ถึง 10 ขวบกว่าๆ แต่ถึงอย่างไร ก่อนหน้าที่คุณจะเข้ามาได้ ก็ต้องมีคนช่วย เพราะถ้าไปคัดตัวเลย ไม่เคยผ่านการซ้อมมาก่อน ก็สู้คนอื่นไม่ได้อยู่ดี เพราะกีฬานี้ไม่เหมือนกีฬาอื่น อย่างฟุตบอลที่ใช้พรสวรรค์บวกกับความตั้งใจ แต่สำหรับเรื่องรถ มีเรื่องจำเป็นต้องให้เสียเงินเยอะมาก หลายคนอาจจะท้อไปก่อน”
เพราะอะไรถึงตั้งใจขนาดนี้คะ
“ผมจำได้ว่าตัวเองเริ่มขี่รถเมื่อตอน 6 ขวบ และมีโอกาสไปชิงแชมป์โลกตั้งแต่เด็กๆ แต่สมัยนี้แค่ 3 ขวบกว่าๆ เริ่มขี่ได้แล้ว ผมจึงเชื่อว่า ประเทศไทยในอนาคต น่าจะมีนักแข่งที่เก่งไม่แพ้ใคร ผมอยากปูทางให้เด็กไทย อีกอย่างคือ ถึงแม้ผมจะได้รางวัลมามากมายเพียงไร แต่ถ้าผมเก็บความรู้ทั้งหมดไว้คนเดียว ไม่เอาไปสอน ถ้าผมตายก็ไม่มีใครรู้ สู้เอาประสบการณ์ไปแบ่งปันให้เด็กจะดีกว่าที่เขาต้องไปดิ้นรนให้เขาหาทางกันเอง”
นั่นคือความตั้งใจครับ