กัปตัน-ชลธร

ตอบชัดจากปาก “กัปตัน-ชลธร” ภูมิใจกับผลงาน ชีวิตนี้ไม่มีคำว่าเสียดาย

Alternative Textaccount_circle
กัปตัน-ชลธร
กัปตัน-ชลธร

เชื่อว่าในปี 2018 ชื่อของ “กัปตัน-ชลธร คงยิ่งยง” น่าจะติดอันดับต้นๆ ในการถูกเสิร์ชบนโลกโซเชียล ทั้งจากเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว ไม่ว่าจะเป็นกระแสคู่จิ้นโปรเจ็กต์ 9 × 9 (ไนน์ บาย นาย) ส่วนที่กำลังเป็นกระแสฮ็อตตอนนี้เลยก็คือ การรับบทบาทเป็น “เอิร์น” ในละคร เลือดข้นคนจาง และที่หนักหน่วงที่สุดคือ เหตุจากเรื่องความสัมพันธ์ที่ทำให้ชีวิตของเขาหวิดพัง แต่ก็ลุกขึ้นมายืนได้อีกครั้งแบบที่แรงและปังกว่าเดิม เพราะอย่างนี้ แพรวดอทคอม จึงจะพาไปฟังชัดๆ จากปากของหนุ่มกัปตันกันว่า เขามีแนวคิดและได้เรียนรู้ชีวิตจากเรื่องราวทั้งหมดที่ผ่านมาอย่างไรบ้าง

กัปตัน-ชลธร

“ปีนี้ผมได้เจอกับอะไรหลายๆ อย่าง ทั้งดีและไม่ดี ได้ทำอะไรใหม่ๆ รู้สึกเหมือนตัวเองข้ามไปอีกขั้น จากเมื่อก่อนงานของผมอาจจะไม่ได้ออกหน้ามาก เน้นเรียน เน้นซ้อม แต่พอปีนี้ผมรู้สึกว่าตัวเองไปได้ไกลกว่าเดิมเยอะมาก ได้เจอเรื่องราวหลายๆ อย่างที่ทำให้โตขึ้น และเมื่อย้อนกลับไปดูเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ผมก็รู้สึกภูมิใจนะที่ผ่านมันมาได้ (ยิ้ม)

“สิ่งที่เปลี่ยนอย่างชัดเจนคือ ผมไม่ได้เป็นเด็กอีกต่อไปแล้ว กลายเป็นวัยรุ่นผู้ใหญ่ คือยังวัยรุ่นอยู่นะ แต่ก็เป็นผู้ใหญ่ด้วย (หัวเราะ) อาจเพราะผมชอบคุยกับคนอายุมากกว่าที่มีความชัดเจน มีเป้าหมาย และรู้ว่าตัวเองต้องการอะไร เวลาที่ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์หรือความรู้กับพวกเขาจึงสนุกดี พลอยทำให้ตัวผมมีความชัดเจนมากขึ้นด้วย มีแพสชั่นในชีวิต เปลี่ยนจากเด็กคนหนึ่งให้กลายเป็นผู้ใหญ่

“ผมชัดเจนขึ้นทั้งเรื่องงานและการใช้ชีวิต อย่างเรื่องงาน ปีนี้ผมลุยโปรเจ็กต์ 9 × 9 เต็มที่ทั้งละคร เพลง คอนเสิร์ต ความรู้สึกเหมือนเจอตัวเองและสนุกกับงานมากขึ้น อย่างละคร เลือดข้นคนจาง ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับครอบครัว สอดแทรกแง่คิดต่างๆ ก็เป็นสิ่งใหม่สำหรับผมในเรื่องนี้ ผมเล่นเป็นน้องชายพี่ต่อ ซึ่งบทค่อนข้างยากนะครับ เป็นตัวละครที่คิดแต่ไม่ทำ สองจิตสองใจ ตัดสินใจอะไรไม่ได้ เวลาเล่นจึงมีความอึดอัดในการแสดง เพราะไม่สามารถทำในสิ่งที่อยากทำได้

กัปตัน-ชลธร

“ในกลุ่ม 9 × 9 ผมสนิทกับพี่ต่อมากที่สุด พี่ต่อมีความลึกซึ้ง ใส่ใจในรายละเอียด และทำงานเก่งมาก คอยให้คำปรึกษาตลอด อย่างเวลาเข้าฉากด้วยกัน พี่ต่อจะคอยส่งพลังมา ช่วยให้ผมแสดงได้อย่างเต็มที่

“พี่ต่อจึงเป็นเหมือนเพื่อน พี่ และครูในเรื่องการใช้ชีวิตและการทำงาน ผมอยากเดินตามพี่ต่อ เพราะรู้สึกว่าในอดีตเขาอาจเป็นเด็กคนหนึ่ง แต่พอโตขึ้นมาก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จ ผมเห็นมุมมองอะไรหลายอย่างจากตัวเขา ทำให้มีกำลังใจว่าวันหนึ่งจะเป็นแบบเขาให้ได้

กัปตัน-ชลธร

“ถ้าถามว่าปีนี้อะไรที่ผมภูมิใจที่สุด น่าจะเป็นเรื่องงานครับ ก่อนหน้านี้ผมรู้สึกว่าตัวเองทำงานแบบไม่มีเป้าหมาย ใช้ดวงบ้าง โชคบ้าง แต่สักพักรู้สึกว่าใช้ดวงหมดแล้ว มันก็เหมือนหาจุดหมายไม่เจอ ไม่ใช่ว่าไม่สนุกกับการทำงานนะ ผมตั้งใจกับทุกงาน เพียงแต่บางงานเหมือนไม่ใช่ตัวผม และยังไม่เจอสิ่งที่ชอบจริงๆ

“แต่โปรเจ็กต์นี้ผมได้มีส่วนช่วยคิด ออกความคิดเห็นในรายละเอียดตั้งแต่เริ่มต้น เช่น ภาพเป็นอย่างไร โชว์เป็นแบบไหน เป็นการเริ่มจากศูนย์อีกครั้ง ได้พัฒนาตัวเองขึ้นใหม่ จึงรู้สึกว่าสนุกดี ผมตั้งใจเต็มที่ทั้งละครและร้องเพลง เพิ่งรู้ว่าผมชอบตัวเองตอนร้องเพลงนะ เหมือนเราได้เป็นตัวเองเต็มที่ ซึ่งพอผลงานออกมา ทำให้ผมอยากดูผลงานตัวเอง จากที่ก่อนหน้านี้ผมแทบไม่ดูผลงานตัวเองเลย ไม่กล้าดู รู้สึกเองว่ายังทำได้ไม่ดีพอ ถึงตอนนี้ความคิดนั้นเปลี่ยนไปแล้ว ผมอยากดูผลงานตัวเองว่าเราผิดพลาดตรงไหน ควรเพิ่มเติมอะไร และอยากให้คนอื่นได้ดูด้วย คงเพราะผมเจองานสนุกที่ตัวเองชอบและเจอเส้นทางที่ใช่

กัปตัน-ชลธร

“ผมยังต้องพัฒนาอีกเยอะ เพราะอยากไปให้ถึงจุดที่ทุกคนมองที่ผลงานมากกว่าเรื่องราวในชีวิต ผมรู้ว่าตัวเองไม่สามารถเป็นต้นแบบให้ทุกคนได้ในทุกเรื่อง ผมเป็นคนปกติที่ใช้ชีวิตธรรมดา แต่บางทีหลายคนคาดหวังให้เป็นในสิ่งที่บางครั้งเราทำแบบนั้นไม่ได้

“เวลาเจอเรื่องแย่ๆ ผมจะบอกตัวเองว่าช่างมัน แค่รู้ว่าตัวเองทำอะไรอยู่ หน้าที่ของเราคืออะไร และอะไรที่ต้องโฟกัส ฉะนั้นอะไรที่
ช่างมันได้ก็ต้องปล่อยไป จากเมื่อก่อนที่คิดมาก แคร์คนอื่นรอบตัวจนเกินพอดี ไม่กล้าพูดตรงๆ รักษาน้ำใจมากเกินไป ตอนนี้ผมเห็นตัวเองมากขึ้น ปลดล็อกตัวเองได้ แล้วรู้ว่าการไม่พูดตรงๆ ใส่กันไม่จริงใจต่อกัน สุดท้ายมันไม่มีผลดีทั้งกับเราและเขาเลยนะ ตอนนี้ผมจึงเป็นตัวเองมากขึ้น แม้บางครั้งจะต้องทำร้ายใจกันนิดหน่อย แต่ถ้าเราหวังดี ผลลัพธ์ย่อมดีกว่า”

กัปตัน-ชลธร

เมื่อถามถึงเหตุการณ์หนักที่สุดในปีที่ผ่านมา กัปตันเล่าถึงบทสรุปของเรื่องที่เกิดขึ้นว่า “เรื่องราวที่ผ่านมาทำให้ผมรู้ว่าเราเก็บทุกเรื่องไปคิดไม่ได้ บางเรื่องก็ต้องปล่อยไปบ้าง แต่ถ้าถามว่าระวังมากขึ้นไหม จริงๆ ผมค่อนข้างระวังอยู่แล้วนะว่าสิ่งที่ทำไปจะเกิดอะไรขึ้น และยอมรับผลที่เกิดขึ้นได้ไหม ถ้าเรามั่นใจที่จะทำมัน ผลจะออกมาเป็นอย่างไร เราก็ต้องรับมันให้ได้ และถ้าผมเลือกตัดอะไรแล้ว ผมจะไม่เสียดายเลย สิ่งหนึ่งที่หลายคนไม่ค่อยรู้คือ ผมเล่นกีฬาได้เกือบทุกอย่าง เมื่อก่อนเป็นนักกีฬาแบดมินตันด้วยนะ แต่พอเข้าวงการก็เลิกเลย โดยที่ไม่รู้สึกเสียดาย เหมือนทุกอย่างในชีวิตถ้าผมเลือกจะทิ้งแล้ว จะไม่มองย้อนกลับไปอีก

“ชีวิตในอนาคตผมไม่ตั้งเป้าไกล ผมสนุกเวลาที่ได้เจออะไรใหม่ๆ ที่มันเข้ามาเอง ถ้าเราคาดหวังมากไปแล้วมันไม่เป็นไปตามนั้น ความผิดหวังจะทำให้รู้สึกแย่ แต่ถ้าทำเต็มที่โดยไม่คาดหวัง พอไปถึงร้อยมันจะรู้สึกสนุกสุดๆ”


 

ที่มา : นิตยสารแพรว ฉบับ 939

ภาพ : @ccaptainch

Praew Recommend

keyboard_arrow_up