โลกต้องจารึก! ผลงานสุดคูล และประวัติชีวิตอันน่าทึ่งของ คาร์ล ลาเกอร์เฟลด์

account_circle

จากข่าวการเสียชีวิตของแฟชั่นดีไซเนอร์ชื่อดังระดับโลกเมื่อปี 2019 ของ คาร์ล ลาเกอร์เฟลด์ ผู้กุมบังเหียนและสร้างตำนานให้กับแบรนด์ไอคอนิกอย่าง Fendi และ Chanel รวมถึงไลน์แฟชั่นที่เขาสร้างขึ้นโดยใช้ชื่อตัวเองอย่าง Karl Lagerfeld นั้น ทำให้หลายคนประจักษ์ชัดว่า โลกได้สูญเสียผู้ที่รังสรรค์ผลงานอันน่าทึ่งไว้มากมายให้กับวงการแฟชั่นอย่างไม่มีวันกลับ…..

หากย้อนกลับไปดูเส้นทางชีวิตของ คาร์ล ลาเกอร์เฟลด์หรือ ปู่คาร์ลที่เราเรียกกันจนคุ้นปาก ก็ต้องบอกเลยว่าเป็นบุคคลที่เกิดมาใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่ามาก และเหนือสิ่งอื่นใดคือเขาได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรักมาตลอดชีวิต

Karl Lagerfeld หรือชื่อเต็ม Karl Otto Largerfeldt (ปู่คาร์ลตัดตัว T ออกเพื่อให้ง่ายต่อการเรียก) เกิดเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2476 ที่เมือง Hamburg ประเทศเยอรมนี คาร์ลเกิดในครอบครัวที่มีฐานะค่อนข้างร่ำรวย พ่อของเขาเป็นเจ้าของโรงงานผลิตนมข้นหวาน ภายหลังบ้านเกิดที่เขาอาศัยอยู่เกิดการโจมตีโดยระเบิด จึงทำให้เขาและครอบครัวต้องอพยพย้ายไปอยู่ในแถบชนบท เมื่อสงครามจบ ครอบครัวจึงได้พาเขาย้ายกลับมา

ฝันจะเป็นจริงได้ ต้องลงมือทำ! เช่นเดียวกับคาร์ลที่ถึงแม้ชีวิตของเขาในช่วงนั้นจะมีพร้อม และยังสามารถสานต่อธุรกิจครอบครัวได้อย่างสบายๆ แต่ด้วยใจที่รักและชื่นชอบในงานศิลปะมาตั้งแต่วัยเด็ก ซึ่งเขายังได้เรียนจบในด้านแฟชั่นและศิลปะด้วย จึงทำให้คาร์ลตัดสินใจเบนเข็มชีวิตเข้าสู่เส้นทางนี้อย่างเต็มตัว โดยเขาได้ย้ายไปอยู่ที่เมืองปารีส ประเทศฝรั่งเศสพร้อมกับแม่ในปี 1953

ถัดมาในปี 1954 คาร์ลได้รังสรรค์ผลงานชิ้นแรก และนำมันส่งประกวด โดยเป็นภาพสเก็ตเสื้อโค้ท ซึ่งเขายังได้คว้ารางวัลอันดับ 1 ในการประกวดนี้ ซึ่งจัดโดย Secrétariat International de la Laine โดยเวทีนี้เพื่อนซี้อย่าง  Saint Laurent ก็ได้เข้าร่วมประกวดในปีเดียวกันด้วย ทั้งนี้ผลงานของเขายังไปเข้าตา “ปิแอร์ บัลแมง” โดยบัลแมงได้นำภาพสเก็ตนี้ไปผลิตและออกจำหน่ายจริง และนั่นทำให้คาร์ลได้เข้ามาเป็นผู้ช่วยของบัลแมง นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นในสายอาชีพนี้ของ Karl Lagerfeld ด้วยวัยเพียง 17 ปี

ในช่วงปี 1958- 1963 คาร์ลขยับขึ้นจากการเป็นผู้ช่วยบัลแมงมาเป็น Art Director ให้กับ Jean Patou หลังจากนั้นไม่นานในปี 1964 คาร์ลได้มีโอกาสร่วมงานในฐานะดีไซเนอร์อิสระให้กับแบรนด์ดังอย่าง Chloé

และในปี 1965 เขาได้เข้ามาร่วมงานกับ Fendi และ Chanel ซึ่งสองแบรนด์หลังนี้นี่เองที่คาร์ลได้เข้ามาร่วมสร้างประวัติศาสตร์ให้กับวงการแฟชั่น รวมถึงนี่ยังเป็นจุดสำคัญและจุดเปลี่ยนที่ทำให้ทั่วโลกรู้จักเขาในฐานะไอคอนแห่งวงการแฟชั่น

ทั้งนี้แพรวดอทคอมยังได้รวม 10 เรื่องสุดคูลของ Karl Lagerfeld ที่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าปู่คาร์ลมีชีวิตและผลงานที่เจ๋งขนาดไหน

อีกหนึ่งผลงานสุดทึ่งที่สร้างชื่อให้กับปู่คาร์ลคือ เขาเป็นแฟชั่นดีไซเนอร์คนแรกในประวัติศาสตร์วงการแฟชั่น ที่ออกแบบกลิ่นน้ำหอมให้กับ Chloé ในปี 1975 ถึงแม้ว่าปัจจุบัน น้ำหอมกลิ่นนี้จะเลิกผลิตแล้วก็ตาม แต่มันก็ยังเป็นต้นแบบให้กับน้ำหอมกลิ่นอื่นๆ ของแบรนด์นับตั้งแต่นั้นมา

อย่างที่ทราบกันดีว่า ปู่คาร์ลได้เข้ามาร่วมงานกับ Fendi โดยเมื่อปี 1965 เขาดำรงตำแหน่งในฐานะ ครีเอทีฟไดเร็กเตอร์ นับตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้ ปู่คาร์ลได้กุมบังเหียนเฟนดิมามากกว่า 53 ปี สร้างสรรค์ผลงานมามากกว่าครึ่งชีวิตให้กับแบรนด์นี้

ทรงผมหางม้าดูจะเป็นซิกเนเจอร์ของปู่คาร์ลไปซะแล้ว ซึ่งทรงผมนี้เกิดขึ้นในปี 1976 โดยปู่ได้แรงบันดาลใจในการไว้ผมทรงนี้จากเสื้อผ้าในยุคศตวรรษที่ 18 และปัจจุบันได้กลายเป็นทรงผมไอคอนิกของปู่ไปซะแล้ว

ในปี 2009 ปู่คาร์ลได้ออกแบบชุดบัลเลต์สุดเอ็กซ์คลูซีฟ ให้กับคณะบัลเลต์ของ Ballets Russes ซึ่งจัดการแสดงเรื่อง The Dying Swan และในปี 2016 ) และคาร์ลก็ยังได้ออกแบบเสื้อผ้าให้กับคณะบัลเลต์ Brahms-Schönberg Quartet Production เพื่อใช้ในการแสดงที่ Opéra Bastille ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศสอีกด้วย

ที่เห็นจะดูแปลกอีกเรื่องหนึ่งคือ ปู่คาร์ลมี Ipod ถึง 300 เครื่องที่ใส่แนวเพลงหลากหลายสไตล์ รวมถึงเขายังเก็บพวกมันไว้ใน Louis Vuitton trunk ที่สั่งทำขึ้นพิเศษโดยเฉพาะ และยังมีหนังสือถึง 300,000 เล่มในห้องสมุดส่วนตัว ซึ่งบนชั้นวางหนังสือนั้นปู่คาร์ลจะจัดเรียงหนังสือทุกเล่มให้เป็นแนวนอนเพื่อง่ายต่อการอ่านชื่อเรื่องของหนังสือ โดยที่ไม่ต้องเอียงหัวอ่าน อาจจะแปลกไปหน่อย แต่เป็นเคล็ดลับที่ดีเหมือนกันนะเนี่ย

คุณเชื่อหรือไม่ว่าปู่คาร์ลเคยรีดน้ำหนักด้วยตัวเองถึง 42 กิโลกรัมภายใน 13 เดือน สาเหตุก็มาจากหุ่นที่ดูจะเจ้าเนื้อเกินไป ซึ่งเขาได้แรงบันดาลใจในการลดน้ำหนักมาจากแบรนด์เสื้อผ้าอย่าง Hedi Slimane รวมถึงปู่คาร์ลยังได้เขียนหนังสือที่ชื่อว่า The Karl Lagerfeld Diet ซึ่งเนื้อหาภายในเล่มนั้นมีทิปและทริคในการลดน้ำหนัก โดยหนังสือเล่มนี้ทำยอดขายได้มากกว่า 200,000 เล่มทั่วโลก

นอกจากจะเป็นหัวหอกที่ทำให้แบรนด์ดังอย่าง Fendi และ Chanel เติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่งแล้ว อีกหนึ่งผลงานที่แฟนๆ ต่างชื่นชอบคือการที่แบรนด์ Karl Lagerfeld ของปู่ไปคอแลปกับแบรนด์ต่างๆ ซึ่งจุดเริ่มต้นนั้นมาจากการที่เขาได้ไปจับมือร่วมกับ H&M เพื่อออกคอลเล็คชั่น Karl Lagerfeld x H&M ในปี 2004 ทันทีที่วางขาย คงไม่ต้องบอกก็รู้ว่าขายหมดเกลี้ยงภายในวันแรก และนี่ยังเป็นสาเหตุว่าทำไม H&M ถึงได้ออกคอลเล็คชั่นพิเศษคู่กับแบรนด์ต่างๆ เป็นประจำทุกปี

สำหรับโลโก้ที่เป็นไอคอนในตำนานอย่างรูปตัวซีไขว้กันของชาเนลนั้น ก็มาจากปู่นี่แหละจ้า ซึ่งพอเข้ามาเป็นครีเอทีฟไดเร็กเตอร์ในปี 1984 เขาก็นำโลโก้เดิมของ Coco Chanel ในปี 1925 มาปรับโฉมให้กลายเป็นโลโก้ในตำนานของแบรนด์ไฮเอนด์ระดับโลกแบรนด์นี้

ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ชาเนลคือแบรนด์ที่ทำโชว์ได้เจ๋งที่สุด อลังการงานสร้างสุด และมีดีเทลเยอะสุด แต่แบรนด์ที่ทำโชว์ได้ปังไม่แพ้กันก็คือ Fendi ซึ่งปู่คาร์ลยกแฟชั่นโชว์ในคอลเล็คชั่น Fall/Winter 2007 ไปจัดแสดงที่กำแพงเมืองจีน ณ กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน ระดับคาร์ล ลาเกอร์เฟลด์ แล้วทุกอย่างต้องไปให้สุด!!

ถึงแม้ว่าตอนนี้ไอคอนแฟชั่นจะจากโลกนี้ไปแล้ว แต่สิ่งที่เหลือไม่ใช่เพียงตำนาน แต่เขาเป็นประวัติศาสตร์ที่วงการแฟชั่นโลกต้องจารึกไว้


ข้อมูล : www.bloomberg.com, www.theguardian.com, www.instylemag.com.au

Praew Recommend

keyboard_arrow_up