ตระเวณชม ตะลอนชิมเมือง มาเก๊า แบบจัดเต็ม

ตระเวณชม ตะลอนชิมเมือง มาเก๊า แบบจัดเต็ม

พื้นที่บนคาบสมุทร มาเก๊า เป็นเขตเมืองเก่า โรงแรมบูติก ส่วนเกาะไทปาและโคโลอานเกิดจากการ ถมทะเล จึงเป็นแหล่งรวมความทันสมัย ไม่ว่าจะโรงแรม ขนาดใหญ่ ห้างสรรพสินค้า กาสิโนระดับโลก ปี 2005 ศูนย์ประวัติศาสตร์มาเก๊าประกอบด้วยอนุสรณ์สถานโบราณ 20 แห่งและจัตุรัสใจกลางเมือง ได้รับเลือกให้เป็นมรดก โลก เนื่องจากช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 ชาวโปรตุเกสมา ตั้งรกรากที่มาเก๊า ส่งผลให้สถาปัตยกรรม ศิลปะ ศาสนา ประเพณีรวมไปถึงอาหารการกินมีการผสมผสานกัน จึงไม่ต้องแปลกใจถ้าเห็น ป้ายถนนมีทั้งภาษาโปรตุเกสและภาษาจีนกวางตุ้ง

รุ่งขึ้นหลังจากพักผ่อนเต็มอิ่มที่โรงแรมสไตล์โคโลเนียลระดับ 4 ดาว Harbourview Hotel เราฝ่า ฝนฤดูมรสุมมุ่งสู่เกาะโคโลอาน พื้นที่ ธรรมชาติขนาดใหญ่ที่สุดของมาเก๊า สถานที่แรกที่ แพรว มาเยือนคือ สวน เซียคไปวาน ที่ตั้งของศูนย์อนุรักษ์แพนด้า ยักษ์มาเก๊า เขาทุ่มงบไปกว่า 3 – 4 พันล้าน เหรียญมาเก๊าสร้างเป็นโดมขนาดใหญ่ ภายใน ทำเหมือนภูเขา เพื่อให้เป็นบ้านแสนสุขของคู่ หมีแพนด้า เพศผู้ชื่อไคไค เพศเมียชื่อซิมซิม ทันทีที่ได้ยินเสียงเรียกของพี่เลี้ยง ทั้งสองก็ ค่อย ๆ ปรากฏตัวออกมาหม่ำต้นไผ่โชว์เหมือน รู้คิวเป็นอย่างดีเมื่อมาเยือนเกาะโคโลอานต้องมาสักการะ วัดทัมคุง (Tam Kung Temple) อันเป็นที่เคารพนับถือของชาว โคโลอาน ภายในเป็นที่ประดิษฐานของเทพเจ้าที่ดูแล ท้องทะเล ฉะนั้นก่อนออกเรือทุกครั้งชาวประมงจะต้องมา

มาเก๊า
สักการะเทพเจ้าแห่งท้องทะเลที่วัดทัมคุง

ไหว้ขอพรด้วยผลไม้มงคล 5 ชนิด คือ ส้ม องุ่น แอ๊ปเปิ้ล สับปะรด และกล้วยไปกันต่อที่ โบสถ์เซนต์ฟรานซิส ซาเวียร์ (St. Francis Xavier Church) โบสถ์แห่งเดียวบนเกาะโคโลอาน สร้าง ปี 1928 โดยใช้ชื่อของนักบุญผู้เผยแผ่ศาสนาคริสต์มายัง ประเทศจีน และยังเป็นสถานที่เก็บกระดูกแขนของเซนต์ฟรานซิส ซาเวียร์ ด้วย สถาปัตยกรรมสไตล์บาโรกบวกสีสัน เชื่อว่า ผู้ที่ชื่นชอบถ่ายรูปต้องไม่พลาด เพราะด้วยตัวโบสถ์สีเหลือง ตัดกับประตูสีฟ้า กลายเป็นจุดถ่ายรูปสำคัญชักเริ่มหิว ไกด์บอกว่ามาถึงมาเก๊าทั้งทีต้องไป Lord Stow’s Bakery ต้นตำรับทาร์ตไข่แสนอร่อย ที่นี่เป็นทั้ง โรงงานทำขนมและเป็นหน้าร้านด้วย เราจึงมีโอกาสได้ชม ขั้นตอนการผลิตโดยเชฟสไตล์อินดี้ ซึ่งขั้นตอนดูไม่ยุ่งยาก แต่อร่อยกลมกล่อมสมคำร่ำลือพอมีแรงแล้วก็ลุยกันต่อที่ จัตุรัสดอกบัว (Lotus Square) ที่รัฐบาลจีนสร้างขึ้นเป็นของขวัญให้ชาวมาเก๊า เพื่อระลึกถึงการที่โปรตุเกสส่งคืนมาเก๊ากลับสู่จีนอันเป็น แผ่นดินแม่ในวันที่ 20 ธันวาคม ค.ศ. 1999 ซึ่งดอกบัวนั้น มีความหมายถึงความบริสุทธิ์และความดี ว่ากันว่า เป็นแลนด์มาร์คที่นักท่องเที่ยวชาวจีนทุกคนต้องขอมายล

มาเก๊า
จัตุรัสเซนาโด้

และเพียงเราเดินข้ามถนนมาก็จะพบกับ พิพิธภัณฑ์กรังด์ปรีซ์ ใครชอบความเร็วไม่ควร พลาดอย่างยิ่ง ภายในจัดแสดงรถแข่งอันเป็น ตำนาน รวมทั้งนักแข่งที่เคยร่วมรายการมาเก๊า กรังด์ปรีซ์ โดยนักแข่งระดับตำนานอย่างแอสตัน เซน่า, ไมเคิล ชูมัคเกอร์ พร้อมกับได้รู้จักกับ Mr.Grand Prix แห่งมาเก๊า คือเทดดี้ ยิป มหาเศรษฐีระดับเจ้าพ่อที่มีส่วนสำคัญในนำการ แข่งขันกรังด์ปรีซ์เข้ามาในมาเก๊า และรถบางส่วน ก็ได้จากมหาเศรษฐีคนนี้ หนุ่ม ๆ เดินชมกันเพลิน เลยละจากนั้นแวะเสริมความรู้ที่ พิพิธภัณฑ์ การสื่อสาร (Communications Museum) เขา ต้องการให้ผู้เข้าชมโดยเฉพาะเด็ก ๆ ได้สัมผัส เรียนรู้ถึงเรื่องราวเทคโนโลยี ของการสื่อสารตั้งแต่ยุคโทรเลขจนมาถึงยุคสมาร์ทโฟนในปัจจุบัน ทุกอย่าง ในพิพิธภัณฑ์นี้สามารถจับต้องและทดลองกับการสื่อสารได้เต็มที่ไม่มีหวง

มาเก๊า
ป้อมปราการเกีย

อีกสถานที่ที่น่าแวะนั่งชิลคือ สวนคาร์โมส (Camoes Garden) ที่ถือว่าเป็นปอดของคนมาเก๊า เดิมเป็นของมานูแอล เปเรรา พ่อค้า ชาวโปรตุเกส ภายในสวนมีรูปปั้นของกวีชาวโปรตุเกส หลุยส์ คาร์โมส (Luìs de Camôes) ที่หนีจากประเทศโปรตุเกสมาอาศัยอยู่ในสวนแห่งนี้ จนสามารถเขียนบทกวีโด่งดังที่ชื่อ Os Lusìadas (Soul of Portugal) หลังจากที่สวนแห่งนี้ตกเป็นของรัฐบาล จึงได้ตั้งชื่อสวนเพื่อรำลึกถึง กวีโปรตุเกสผู้นี้

มาเก๊า
พิพิธภัณฑ์มาเก๊า

ถึงเวลาเดินเท้าเพื่อเข้าชม ปาตีโอ ดา อีแตร์นา เฟลิซิดาด (Pàtio da Eterna Felicidade) พื้นที่ของเขตอนุรักษ์ศูนย์ประวัติศาสตร์มาเก๊า ไปดูภาพความเป็นอยู่ของชุมชนจีนในอดีต ที่เกิดจากการอนุรักษ์อย่าง จริงจังของรัฐบาล เราเดินเข้าตรอกเล็ก ๆ ชื่อทราแวซซา ดา ปายเชา (Travessa da Paixâo) คำว่า Paixâo ในภาษาโปรตุเกสหมายถึง Passion แปลเป็นภาษาจีนว่า ความรัก จึงเรียกกันติดปากว่าตึกคู่รัก ซึ่งมักจะมีคู่บ่าว – สาวมาถ่ายรูปพรีเวดดิ้ง และเคยใช้เป็นฉากของละคร และหนังหลายเรื่อง อีก 2 – 3 ปีข้างหน้ารัฐบาลมาเก๊ามีแผนพัฒนา อุตสาหกรรมภาพยนตร์ โดยจะใช้บ้านบางหลังจัดสร้างโรงภาพยนตร์ แนวศิลปะ และปรับปรุงให้เป็นโลเกชั่นถ่ายหนังได้

มาเก๊า
พิพิธภัณฑ์บ้านไทปา

มาเก๊า

เราเดินขึ้นบันไดไปตามทางกำแพงเมืองโบราณ (Section of Old City Wall) หรือแนวป้องกันเมืองที่ล้อมรอบแหล่งตั้งถิ่นฐานของ ชาวโปรตุเกส เดินไปตามแนวกำแพงจะเข้าสู่ชุมชนเล็กเก่าแก่ “ปาตีโอ โด อีสปินโญ” (Pàtio do Espinho) ที่ชาวคาทอลิกมากมายเคยอาศัยอยู่ เดินต่อมาไม่กี่ก้าวเป็นที่ตั้งของ ศาลเจ้านาจา สร้างขึ้นเมื่อปี 1888 ในช่วง ที่มาเก๊าเกิดโรคไข้หวัดใหญ่ระบาดจนผู้คนล้มตายจำนวนมากชาวบ้านจึงอัญเชิญเทพนาจามาช่วยคุ้มครอง

ใกล้ ๆ กันเป็นอีกแลนด์มาร์คสำคัญของ มาเก๊า ซากประตูโบสถ์เซนต์ปอล (Ruins of St. Paul’s) หลังจากที่โบสถ์เซนต์ปอลสร้างเสร็จ สมบูรณ์ เกิดไฟไหม้ในปี ค.ศ. 1595 และ ค.ศ. 1601 จากนั้นบาทหลวงเยซูอิตได้สร้าง โบสถ์ขึ้นใหม่เมื่อ ค.ศ. 1602 แล้วเสร็จ ค.ศ. 1644 แต่แล้วในปี ค.ศ. 1835 เกิดไฟไหม้อีกครั้ง สิ่งที่หลงเหลือมีเพียงประตูทางเข้าโบสถ์ ที่มีรูปแกะสลักนูนต่ำลวดลายต่าง ๆ ที่ช่วยยืนยัน ถึงความยิ่งใหญ่ในอดีต ปัจจุบันกลายเป็นสถานที่ แฮ้งเอ๊าต์ของวัยรุ่นชาวมาเก๊า เพราะจากบันได โบสถ์สามารถเดินไปยัง จัตุรัสเซนาโด้ (Senado Square) แหล่งช็อปปิ้ง ท่ามกลางตึกสไตล์นีโอคลาสสิกที่มีทุกสิ่งให้นักช็อปได้เลือกสรร

อีกหนึ่งมรดกโลกแห่งมาเก๊าที่ต้องนั่งเคเบิลคาร์เพื่อไปชมความงามของป้อมปราการเกีย (Guia Fortess) จุดชมวิวสูงที่สุด ตั้งอยู่บนเนินเขาสูงบนคาบสมุทรมาเก๊า สามารถมองเมืองมาเก๊าแบบพานอรามา ป้อมแห่งนี้สร้างเมื่อปี ค.ศ. 1622 – 1638 เพื่อใช้เป็นหอคอยสังเกตการณ์ผู้รุกรานต่างชาติ ความสำคัญอีกอย่างของป้อมปราการแห่งนี้คือ ประภาคารเกียใช้เป็นที่แขวนสัญลักษณ์บอกถึงความแรงของพายุ ให้ชาวมาเก๊าได้เตรียมตัวรับมือตั้งแต่ระดับ 1 – 10 ถือเป็นโชคดี ของคณะเรา วันที่เราไปตรงกับช่วงฉลองครบรอบ 150 ปี ประภาคารเกีย จึงมีการมอบแม็กเน็ตประภาคารเกียให้เป็นที่ระลึกด้วย

ถ้าอยากรู้จักตัวตนของชาวมาเก๊าให้ถึงแก่น แนะนำว่าต้องไปที่พิพิธภัณฑ์มาเก๊า (Museum of Macau) อยู่ทางฝั่งตะวันตกของซาก ประตูโบสถ์เซนต์ปอล ถือเป็นพิพิธภัณฑ์ทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม แสดงถึงวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชุมชนต่าง ๆ ในอดีต ประกอบด้วยช่วง อารยธรรมจีนดั้งเดิม ก่อนการเข้ามาของชาวโปรตุเกสในปากแม่น้ำเพิร์ล ในศตวรรษที่ 16 การแสดงประวัติของมาเก๊า ศิลปะ และประเพณี ดั้งเดิมของชาวมาเก๊า ฯลฯ

เราวางแผนมาตั้งแต่กรุงเทพฯแล้วว่า มาคราวนี้ต้องไปเยือนเกาะไทปา ที่ขึ้นชื่อเรื่องสถาปัตยกรรมอันเก่าแก่ทั้งจีนและโปรตุเกส ทุกตึกทุกมุม สวยจนต้องค่อย ๆ ละเมียดชม โดยเฉพาะที่ พิพิธภัณฑ์บ้านไทปา (The Taipa House Museum) เป็นตึกสีเขียว 5 หลัง สถาปัตยกรรม แมงกานีสผสานกับโปรตุกีส สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1921 เดิมเคยเป็นบ้านของข้าราชการชั้นสูงของชาวมาเก๊า ปลายยุค 90 รัฐบาล ตัดสินใจปรับปรุงให้เป็นพิพิธภัณฑ์ โดยแต่ละหลัง จัดแสดงสิ่งของเครื่องใช้ เครื่องแต่งกายของชาวมาเก๊า และโปรตุเกส ได้ความรู้สึกเหมือนเป็นแขกพิเศษที่ สามารถเดินชมทั่วทั้งหลัง ไม่เว้นแม้แต่ห้องน้ำ แวะไปชมได้ตั้งแต่ 10.00 น. – 18.00 น. ปิดทุกวันจันทร์ www.iacm.gov.mo/museum

ถ้าพูดถึงความงดงามของสถาปัตยกรรมแบบจีนต้องมีชื่อ บ้าน แมนดาริน (Mandarin House) ที่สร้างในปี ค.ศ. 1869 เป็นบ้านแบบ จีนโบราณของนักประพันธ์ชื่อเฉิง กวนยิง ผสมผสานระหว่างราย- ละเอียดอ่อนอย่างจีนกับความเป็นตะวันตก อย่างการใช้อิฐสีเทาประดับ ตรงโค้งประตู นักเดินทางที่ชอบถ่ายภาพต้องมาเยือน เพราะสวยทุกมุม

ถามถึงอาหารการกิน มาเก๊าอุดมสมบูรณ์ไม่แพ้กัน มีความอร่อย หลากสัญชาติให้เลือกสรร ไม่ว่าจะอาหารจีน โปรตุกีส สเปน ฯลฯ แพรว ขอแนะนำพอเป็นออร์เดิร์ฟกับอาหารโปรตุกีสระดับเชฟมิชิลิน ร้าน Antonio Restaurant อันเป็นชื่อของเชฟและเจ้าของร้าน เปิดมาตั้งแต่ ปี 2008 เมนูที่ต้องชิมคือไส้กรอก การปรุงนั้นไม่ธรรมดา พนักงาน จะมาจุดไฟย่างไส้กรอกให้ที่โต๊ะเลยทีเดียว อีกจานเด็ดคือ Wet Seafood Rice “Antonio” Style หน้าตาประมาณข้าวต้มซีฟู้ด ส่วนของหวานของเขาก็แสนอลังการ เชฟอันโตนิโอมาโชว์ การทำเครป พร้อมกับบทเพลงโปรตุกีสจากนักดนตรี ประจำร้านที่สะพายกีตาร์มาเล่นให้ฟังสด ๆ

มาเก๊า
เชฟอันโตนิโอแห่งร้านAntonio Restaurant กำลังปรุงเครป

หรืออยากเปลี่ยนบรรยากาศมานั่งร้านอาหาร สเปนสไตล์ฟาสต์ฟู้ด L.B.Superpollo ภายใต้สโลแกน Slow Cooking & Healthy เปิดมาตั้งแต่ 2013 มีทั้งหมด 3 สาขา เรามาเยือนสาขาต้นตำรับ ขอบอกว่า อร่อยทุกเมนูจริง ๆ น่าจะถูกปากชาวไทยที่ชื่นชอบอาหาร รสจัดจ้าน โดยเฉพาะเมนูข้าวผัดสเปน Spanish Paellas ที่ชนะเลิศได้ใจ

มาเก๊า
ทาร์ตไข่ต้นตำรับจากร้านLord Stow’s Bakery

สารภาพว่ายังมีอีกหลายแห่งที่ไม่สามารถเขียนบรรยายได้ ครบ ไม่ว่าจะเป็น โบสถ์เซนต์อันโทนี (St. Anthony’s Church) ที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของมาเก๊า โบสถ์แม่พระคาร์เมล โบสถ์ คาทอลิกแห่งเดียวบนเกาะไทปา อายุกว่าร้อยปี ถนนสาย อาหาร Rua do Cunha สถานที่ช็อปของฝากขึ้นชื่ออย่างคุกกี้ อัลมอนด์และหมูแผ่น รวมทั้งโชว์สายน้ำสุดอลังการ (จริง ๆ) The House of Dancing Water ที่ City of Dreams ฯลฯ

มาเก๊าทริปแรกในชีวิตจึงเต็มอิ่มไปด้วยความงดงามของศิลปะ วัฒนธรรม และสถาปัตยกรรม ที่ได้ชื่อว่าเป็นมรดกโลกอันล้ำค่าที่ชาว มาเก๊าอยากอวดให้มิตรประเทศอย่างคนไทยได้มาชื่นชม

ที่มา : เรื่อง กิดานันท์ ภาพ เนาวพจน์ คอลัมน์รายงานพิเศษ นิตยสารแพรว ฉบับ 866 ปักษ์ 25 กันยายน 2558

Praew Recommend

keyboard_arrow_up