ที่สุดแล้วสำหรับปี 2018 กับ 5 แบรนด์ดัง ที่ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตกเป็นประเด็นได้ตลอด หรือแม้แต่การสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของแบรนด์ ก็ย่อมทำให้คนทั้งโลกฮือฮาได้
เริ่มกันที่ข่าวช็อกวงการแฟชั่น เมื่อ Kate Spade (เคท สเปด) หรือ เคท วาเลนไทน์ ดีไซเนอร์และผู้ร่วมก่อตั้งแบรนด์ Kate Spade ชาวอเมริกัน ได้เสียชีวิตลงในวัย 55 ปี เมื่อวันอังคารที่ 5 มิถุนายน 2561 ตามเวลาท้องถิ่นของมหาครนิวยอร์ก โดยมีแม่บ้านเข้าไปพบร่างของเคท สเปดในอพาร์ทเมนท์ส่วนตัว และคาดว่าการเสียชีวิตครั้งนี้ เกิดจากการฆ่าตัวตาย เพราะศพดีไซเนอร์ดังที่แม่บ้านเจอนั้น อยู่ในสภาพผูกผ้าพันคอโยงกับลูกบิดประตู และยังมีจดหมายลาตายอยู่ในที่เกิดเหตุด้วย แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่เปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้
ซึ่ง เคท สเปด เป็นนักสร้างสรรค์ไอเท็มท็อปฮิตให้กับแบรนด์มากมาย นอกจากกระเป๋าหลากดีไซน์ที่เป็นไอเท็มสร้างชื่อแล้ว ก็ยังมีเสื้อผ้าในสไตล์ต่างๆ ที่ใส่ง่ายแต่โดดเด่น บอกเลยว่าคนดังปลื้มแบรนด์ Kate Spade New York ไม่น้อย และถือเป็นอีกหนึ่งแบรนด์โปรดของดัชเชสแห่งเคมบริดจ์เลยก็ว่าได้

ต่อกันที่อีกหนึ่งข่าวใหญ่ของวงการแฟชั่น เมื่อ แบร์ เดอ จีวองชี (Hubert de Givenchy) ดีไซเนอร์ชาวฝรั่งเศส ผู้สร้างภาพลักษณ์อันโด่งดังในการออกแบบเสื้อผ้าให้กับคนดังมากมาย เช่น Audrey Hepburn เจ้าหญิงแห่งฮอลลีวู้ด , เจ้าหญิงเกรซ แห่งโมนาโก และ Jackie Kennedy สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ปี 1961 ได้เสียชีวิตด้วยวัย 91 ปี เมื่อวันเสาร์ที่ 10 มีนาคม 2561 ในขณะนอนหลับ

หลังจากนั้นวันที่ 19 พฤษภาคม 2561 ชื่อของ Givenchy ก็ถูกพูดถึงอีกครั้ง กับชุดแต่งงานเรียบหรูของดัชเชสเมแกน ซึ่งทั้งชุดเป็นเดรสสีขาว แขนยาว ไม่มีลายทั้งตัว โดย Clare Waight Keller รับหน้าที่เป็นดีไซเนอร์ชุดแต่งงานให้กับดัชเชสเมแกน และ Clare Waight Keller ยังเป็นไดเร็คเตอร์หญิงคนแรกของ Givenchy อีกด้วย

ถัดมาคือ Dolce&Gabbana แบรนด์ดังสัญชาติอิตาลี ได้ตกเป็นกระแสดราม่าหนัก เมื่อแฟชั่นโชว์ที่จะจัดขึ้น ณ มหานครเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน ในวันพุธที่ 21 พ.ย. 2561 เวลา 19.00 (ตามเวลาประเทศไทย) ต้องลงเอยด้วยการถูกยกเลิกโชว์ก่อนงานจะเริ่มเพียงไม่กี่ชั่วโมง เนื่องจากคลิปโปรโมทที่ทางแบรนด์ได้ทำออกมาทั้ง 3 คลิป ซึ่งเผยแพร่ผ่านช่องทางอินสตาแกรมและทวิตเตอร์ มีเนื้อหาที่ส่อว่าเป็นการเหยียดเชื้อชาติ โดยมีนางแบบชาวจีนใช้ตะเกียบกินอาหารอิตาเลียนด้วยท่าทางที่ไม่ถนัด ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับชาวจีนเป็นอย่างมาก เพราะเหมือนเป็นการดูถูกคนจีนว่ากินอาหารตะวันตกไม่เป็น
เรื่องนี้กลายเป็นประเด็นดังไปทั่วโลกเลยก็ว่าได้ เพราะประเทศยักษ์ใหญ่อย่างจีนถึงขั้นสั่งยกเลิกโชว์ของแบรนด์ดัง โดยสำนักงานวัฒนธรรมของมหานครเซี่ยงไฮ้ รวมทั้งเหล่าคนดังของจีนก็ต่างแสดงจุดยืนด้วยการไม่เข้าร่วมโชว์ และการที่คนดังในจีนออกมาแสดงความคิดว่าจะเลิกสวมเสื้อผ้าของ D&G ก็อาจส่งผลกระทบต่อคนทั่วไปในการตัดสินใจซื้อสินค้าจาก Dolce&Gabbana ด้วยเช่นกัน
หลังจากกระแสลบแรงขึ้นเรื่อยๆ ทาง Dolce&Gabbana ได้โพสต์คลิปของ Domenico Dolce และ Stefano Gabbana ผู้ก่อตั้งและเจ้าของแบรนด์ ตั้งโต๊ะแสดงความรู้สึกต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยคำชี้แจงในครั้งนี้สรุปได้ว่า “พวกเรารู้สึกเสียใจอย่างมากและต้องขอโทษคนจีนทุกคนกับสิ่งที่เกิดขึ้นจากความเข้าใจผิด พวกเราจะไม่ลืมเหตุการณ์นี้ มันจะเป็นบทเรียน และจะไม่ให้เกิดขึ้นอีก เราจะทำให้ดีขึ้น พวกเราจะเคารพวัฒนธรรมจีนในทุกๆ ทาง” และปิดท้ายคลิปด้วยการกล่าวคำขอโทษเป็นภาษาจีนว่า ‘ตุ้ยปู้ฉี่’ โดยคลิปมีความยาว 1.25 นาที
ต่อไปเป็นคิวของแบรนด์ดัง Chanel ที่ได้เนรมิตแฟชั่นโชว์ส่งท้ายปี 2018 อย่างยิ่งใหญ่ กับคอลเล็คชั่น Métiers d’Art 2018/19 ที่สาดกลิ่นอายอียิปต์โบราณกลางมหานครนิวยอร์ก รันเวย์และเสื้อผ้าสร้างความตื่นตาตื่นใจได้อย่างเยี่ยมยอด และไอเท็มเด็ดในคอลเล็คชั่นนี้คือรองเท้าสีทอง เพราะตัวรองเท้าบู๊ทเฉดสีทองที่ชาเนลทำขึ้นมา เป็นโทนสีที่ดูแพง หรูหรา บ่งบอกถึงความมั่งคั่งของชาวอียิปต์โบราณ ฝีมือของหนึ่งใน 26 โรงงานช่าง ซึ่งโรงช่างฝีมือทำรองเท้ามาสซาโร (Massaro) ได้ร่วมงานกับชาเนลมาตั้งแต่ปี 1957 จนในปี 2002 โรงช่างฝีมือได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของโชว์ CHANEL’s Métiers d’art
นอกจากแฟชั่นโชว์และรองเท้าสีทองจะถูกพูดถึงในแวดวงแฟชั่นเป็นอย่างมากแล้ว การที่แบรนด์ดังออกมาประกาศจุดยืนว่าจะหันมารับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ด้วยการประกาศยกเลิกใช้หนังสัตว์ชนิดหายากเป็นแบรนด์แรก ก็ถือเป็นกระแสดังในเชิงบวกเช่นกัน ทั้งที่สินค้าของแบรนด์ เช่น กระเป๋า , เสื้อโค้ท และรองเท้าที่ทำจากหนังงู , หนังจระเข้และปลากระเบน มีราคาสูง เช่นเดียวกับกระเป๋า Chanel มือสองที่ทำจากหนัง exotic สามารถขายได้มากถึง 20,000 ปอนด์ หรือประมาณ 836,594 บาทบนโลกออนไลน์ และล่าสุดกระเป๋าหนัง Python ถูกนำออกจากเว็บไซต์ของชาเนลอย่างเป็นทางการแล้ว ซึ่งถือเป็นแบรนด์ต้นแบบให้อีกหลายๆ แบรนด์มองเห็นความสำคัญของจริยธรรมในการผลิตสินค้ามากยิ่งขึ้น
ปิดท้ายแบรนด์ดังแห่งปี 2018 ด้วย Gucci ผู้คว้ารางวัล Brand of the Year จากงานประกาศรางวัล British Fashion Awards ไปครองได้สำเร็จ โดย British Fashion Awards เป็นงานที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในสหราชอาณาจักร ตั้งแต่ปี 1989 เพื่อมอบรางวัลให้กับผู้ที่ทำผลงานได้โดดเด่นที่สุดในอุตสาหกรรมแฟชั่น ซึ่งในปีนี้จัดขึ้นที่ รอยัล อัลเบิร์ต ฮอลล์ (Royal Albert Hall) ณ กรุงลอนดอน โดยรางวัลสาขา Brand of the Year มี Balenciaga , Burberry , Off-White และ Prada เป็นแบรนด์เข้าชิงด้วย แต่ถ้วยรางวัลก็ได้ตกเป็นของ Gucci หนึ่งในแบรนด์แฟชั่นที่มาแรงที่สุดในไตรมาสที่ 3 ของปี 2018

ส่วนแฟชั่นโชว์ในปี 2018 ก็สร้างเซอร์ไพร้ส์ให้ได้ตลอดจริงๆ สำหรับ อเลสซานโดร มิเคเล ที่ช่วงต้นปีได้ครีเอทรันเวย์เป็นห้องทดลองของดร.แฟรงเกนสไตน์ โดยให้เหล่านายแบบ นางแบบ เปรียบเสมือนมนุษย์ทดลองของแฟรงเกนสไตน์ นอกจากนี้สิ่งที่ทำให้เราสะดุดตาและแอบแย่งซีนเสื้อผ้าในคอลเล็คชั่นนั้นไปเบาๆ ก็คือความหลอนของหัวคนที่ถูกทำขึ้นมาเหมือนกับหน้าของนายแบบและนางแบบที่กำลังถืออยู่ บอกเลยว่าชวนหลอนและสะพรึงมากเลยทีเดียว
ผ่านไปไม่นาน ในช่วงเดือนพฤษภาคม ปี 2018 ผู้คนนับร้อยที่ได้รับเทียบเชิญให้เข้าร่วมชมแฟชั่นโชว์แบรนด์ดังอย่าง Gucci ก็เริ่มทยอยกันมาที่สุสาน ใช่! มันคือสุสาน เพราะครั้งนี้อเลสซานโดร มิเคเล ผู้นั่งตำแหน่งครีเอทีฟ ไดเร็คเตอร์ ได้เนรมิตสุสานโรมันโบราณที่มีชื่อเสียงโด่งดังและเก่าแก่กว่าพันปีอย่าง Alyscamps ที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศส มาเป็นรันเวย์สำหรับโชว์ Gucci Cruise 2019 ทั้งนี้ความน่าสนใจของสุสานคือการถูกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก และจิตรกรเอกของโลก แวนโก๊ะ ก็เคยใช้สุสานนี้เป็นฉากหลังในภาพวาดมาแล้ว