ขึ้นชื่อว่ามะเร็งคนก็กลัวกันเหลือเกินแล้ว แต่นี่ยังเป็น มะเร็งหัวใจ เคส 1%ในโลก คิดดูสิว่าจะน่ากลัวขนาดไหน ทว่า ‘เบลล์-ศิรินทิพย์ ขัติยะกาญจน์’ เจ้าของประสบการณ์นี้กลับมีแนวคิดในการรับมือที่น่าทึ่งมาก
“อย่าโทษตัวเอง อย่าตำหนิโชคชะตา เราแค่เป็นผู้ถูกเลือกให้เผชิญกับมัน และต้องผ่านไปให้ได้”
หนึ่งประโยคน่าคิดของ ‘เบลล์’ สาวสังคมที่เคยมีตัวกำหนดความสำเร็จอยู่ที่การมีฐานะดี การศึกษาสูง หน้าที่การงานเริ่ด มีหน้ามีตาในสังคม เป็นสาวเพอร์เฟคชั่นนิสเป๊ะทุกเรื่อง ยกเว้นสุขภาพที่เป็นเรื่องไกลตัวมาก โดยไม่คิดเลยว่าวันหนึ่ง จะเกิดสิ่งนี้ขึ้นกับเธอ…
วันนี้เรามีนัดกับสาวหมวยร่างเล็กมาดมั่น‘เบลล์-ศิรินทิพย์ ขัติยะกาญจน์’ เวิร์คกิ้งวูแมนสาววัย 27 ปีที่เดิมทีทำงานเป็นมาร์เก็ตติ้งอยู่บริษัทไอทีแห่งหนึ่ง เธอมีชีวิตเหมือนมนุษย์เงินเดือนปกติทั่วไปคือ บ้างาน มีสังคม ออกงานอีเว้นท์ ไปหาลูกค้า ปาร์ตี้ทุกวันศุกร์ และด้วยความที่อยากเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน จึงตัดสินใจเรียนต่อปริญญาโทที่ประเทศอังกฤษ ชีวิตกำลังไปได้สวย แต่สิ่งที่แพลนไว้กลับผิดแผนหมดทุกอย่าง
“ตอนนั้นใช้ชีวิตสุดมาก ไม่เคยสนใจเรื่องการดูแลตัวเองเลย เรียน เที่ยวแบ๊กแพ็ค และทำงานร้านอาหาร ชีวิตแฮปปี้มาก แต่ด้วยความที่อากาศที่อังกฤษแย่อยู่แล้ว เดี๋ยวฝนตก เดี๋ยวแดดออก ร่างกายปรับสภาพไม่ทัน ทำให้ประจำเดือนขาด ซึ่งเป็นเรื่องปกติ เพราะคนที่อยู่ที่นั่นก็มีอาการประจำเดือนขาดเหมือนกันหมด มดลูกคงอู้งานเพราะอากาศหนาว แต่ที่ผิดปกติคือ เบลล์มีอาการไอหนักตลอด 4 เดือน ตั้งแต่มกราคม ถึงเดือนเมษายน รู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว กินอะไรไม่ได้ น้ำหนักลง ท้องเสีย จนเป็นลมพับไปเลย พอจะมีสอบอาทิตย์หน้าก็กลัวเป็นลมในห้องสอบแล้วไม่จบ จึงคิดว่าต้องกลับมาเอายาภูมิแพ้ที่เมืองไทยและค่อยกลับไปสอบต่อ สิ่งที่ติดตัวมามีแค่หนังสืออ่านเตรียมสอบกับพาสปอร์ต ส่วนสมบัติอย่างอื่นทิ้งไว้ที่โน่นหมด ไม่คิดเลยว่าจะไม่ได้กลับไปอีก
“เพราะพอกลับมาถึงเมืองไทย ไปหาหมอเอ็กซ์เรย์ปอดก็เจอก้อนเนื้อขนาด 10 ซม.เบียดอยู่ตรงหลอดลม การทำงานของหลอดลมเหลืออยู่แค่ 20 % เรียกว่าหายใจเองแทบไม่ได้ ต้องใส่ท่ออ็อกซิเจน หมอสั่งให้แอดมิดทันที เพื่อเจาะชิ้นเนื้อไปตรวจอย่างละเอียด ผลออกมาว่าเป็นมะเร็ง คุณพ่อนั่งอยู่ด้วยถามขึ้นมาคำแรกเลยว่าอยู่ได้กี่เดือน หมอตอบกลับมาว่าประมาณ 6 เดือน วินาทีนั้นไม่ได้ไม่กลัวตาย แต่ขอหมอกลับไปสอบก่อนได้ไหม เพราะอีกนิดเดียวก็จะจบแล้ว อุตส่าห์เสียเงินไปเป็นล้าน สุดท้ายทางมหาวิทยาลัยยอมส่งข้อสอบมาให้ทำ แล้ววิทยานิพนธ์ก็ผ่านเรียบร้อย จึงได้จบพร้อมเพื่อนๆ แต่รับปริญญาบัตรที่ตู้ไปรษณีย์หน้าบ้านแทน (หัวเราะ)
“อย่างน้อยก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ภาคภูมิใจ และทำให้มีกำลังใจในการรักษาตัวต่อ เบลล์ทำคีโมรอบแรก 12 ครั้ง ซึ่งระหว่างนั้นก็มีอาการแทรกซ้อนมาเรื่อยๆ ทั้งติดเชื้อราในปอด ไข้ขึ้น ช็อค เข้าไอซียู ที่บ้านเริ่มใจไม่ดี เพราะอาการหนักขึ้นเรื่อยๆ แต่พอผ่านมาได้ และคุณหมอรู้แล้วว่าเราเป็นคนมีภูมิคุ้มกันต่ำ ติดเชื้อได้ง่ายมาก ที่บ้านจึงต้องทำความสะอาดเคลียร์ทุกอย่าง คุณหมอก็ให้ยาป้องกันแบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา พอให้คีโมครบ 12 ครั้ง ปรากฏว่าก้อนเนื้อจาก 10 ซม.ลดเหลือ 6 ซม. ดูเหมือนเป็นสัญญาณที่ดีใช่ไหม แต่ยังไม่จบ เพราะต้องฉายแสงต่ออีก ที่แพลนไว้คือ 15 ครั้ง แต่ระหว่างนั้นดันติดเชื้ออีก อยู่ดีๆ ก็ไข้ขึ้น มีน้ำท่วมปอด หลังตรวจเช็คหมอบอกว่าเป็นวัณโรคที่ปอดแทรกซ้อนขึ้นมา ทำให้ต้องเว้นการหยุดฉายแสงประมาณ 6-7 เดือนเพื่อกินยารักษาวัณโรค
“จำได้ว่าเป็นช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2014 ระหว่างนั้นก็เริ่มลั้ลลา เพราะรู้สึกว่าอาการไอไม่มีแล้ว หายเป็นปกติ ทุกอย่างดีขึ้น เลยไปเที่ยวประเทศลาวจ้า …ปีนขึ้นน้ำตก 100 ขั้น คนปกติเดินขึ้นยังเหนื่อย เลยไม่รู้ว่าเราเหนื่อยจากอะไร แต่มาผิดปกติตรงที่นั่งเฉยๆ หัวใจก็เต้นประมาณ 130-140 ครั้ง/นาที เหมือนคนที่วิ่งอยู่บนลู่วิ่ง พอกลับมากรุงเทพฯ เอ็กซ์เรย์ดูปรากฏว่าหัวใจโต แล้วยิ่งไปกว่านั้นคือ พอหมอจับอัลตร้าซาวน์หัวใจ ก็ดันไปเจอเนื้อมะเร็งขนาด 5 ซม. ช็อคเลย! หมอบอกว่ายากมากที่เนื้อมะเร็งจะเข้าไปในหัวใจ เป็นเคสที่เจอแค่ 1% ในโลก เป็น 10 คนรอดแค่ 3 คน เรียกว่าเป็นโรคที่ไม่ได้อยู่ในตำราแล้ว “ความรู้สึกตอนนั้นคือแย่มาก ถามตัวเองว่าเพราะอะไร ทำไมไม่จบสักที ตอนนั้นไม่ได้เศร้าหรือแย่ที่เป็นมะเร็ง แต่แย่ตรงที่คุณพ่อโกรธมาก เพราะเคยเตือนว่าอย่าเพิ่งไปเที่ยวไหน ท่านถึงขั้นเดินออกจากโรงพยาบาลทิ้งเบลล์ไว้ให้อยู่คนเดียว ก็แอดมิดตัวเองเข้าห้องซีซียู เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้นมาต้องผ่าตัดทันที ต้องคอยดูอาการวินาทีต่อวินาทีจริงๆ พีคมากตรงที่รู้สึกว่าพ่อไม่ได้อยู่ข้างๆ เราแล้ว
เรื่องราวของเบลล์ยังไม่จบแค่นี้…สิ่งที่เธอต้องเจอต่อไปเรียกว่าเป็นมหากาพย์ชนิดที่ต้องดวลปืนสู้กับโรคกันนัดต่อนัดเลยทีเดียว
ติดตามอ่านต่อหน้า 2