‘นาวิน ต้าร์’ ยอมรับ ผมบ้าพลังครับ! โอย…สงสารคิตตี้ดีไหม?

ตอนนี้ต้าร์กำลังทำอะไรบ้าง อัพเดทงานหน่อยค่ะ

ตอนนี้มีละครซีรีย์คลับฟรายเดย์ กับหนังเรื่อง ‘คนอกหัก’ ฉายเดือนสิงหาคมพร้อมกันเลยครับ เรื่องนี้นับเป็นเรื่องที่ 3 จริงๆ ตาร์ตั้งใจจะไม่เล่นหนังเยอะ เพราะมีข้อจำกัดหลายอย่าง ที่ผ่านมามีคนติดต่อเข้ามาตลอด ก็ปฏิเสธไปเยอะ บางบทเราไม่ได้อยากเล่น คือตาร์ไม่ได้มีครอบครัวต้องเลี้ยง หรือไม่มีหนี้ต้องจ่าย (หัวเราะ) แต่ที่รับเรื่องนี้ เพราะได้ทำงานกับคนรู้จักๆ กับอยากทำจริงๆ เลยอยากให้ไปดูกัน

กับหนังเรื่อง คนอกหัก’ เป็นอย่างไรบ้างคะ

เรื่องนี้ตาร์ต้องเล่นเป็นนักการทูตที่ประจำอยู่ประเทศจีน แล้วต้องพูดจีนคล่อง บทต้องแปลจากไทยมาเป็นจีนอีกที แต่ตัวตาร์ไม่มีพื้นฐานภาษาจีนเลยต้องใช้วิธีเรียนทางลัดที่สุด โดยเรียนเป็นภาษาคาราโอเกะแล้วฝึกออกเสียง แต่พอเอาเข้าจริงก็ไม่ใช่ กลายเป็นว่าสิ่งที่แปลนั้นเป็นประโยคที่ไม่มีใครเขาพูดกัน

จริงๆ ต้องเป็นนักแปลที่เขียนบทได้ เพื่อที่จะได้เข้าใจหนัง ทั้งเรื่องของความรู้สึก และอารมณ์ ซึ่งจะมีสักกี่คนที่ทำได้ เลยทำให้บทพูดของเราออกมาไม่เป็นธรรมชาติ ไม่ได้แสดงออกถึงอารมณ์  ที่สุดต้องมานั่งปรับกันใหม่หมด

ink&lion0660 copy

ถ้านอกเหนือจากภาษามีอุปสรรคอะไรอีกบ้างไหมคะ

เยอะครับ เป็นการถ่ายทำในต่างประเทศที่มีความวุ่นวายมาก ตั้งแต่ทำงานมาไม่เคยมีงานไหนที่่งง และยากขนาดนี้ ต้องมีการสื่อภาษาระหว่างทีมไทยกับทีมจีน  เพราะตามกฎหมายระบุไว้ว่าต้องมีคนจีนร่วมทำงานอยู่ด้วยครึ่งหนึ่่ง อุปสรรคที่เยอะที่สุดคือ ตอนไปถ่ายที่หมู่บ้านม้าแห่งหนึ่่ง ซึ่งชาวบ้านไม่พูดภาษาจีนกลางเลย ก็ต้องแปลจากภาษาถิ่นเขามาเป็นจีนกลางก่อน แล้วแปลเป็นอังกฤษอีกที และถึงค่อยมาเป็นภาษาไทย เรียกว่าสื่อสารกันลำบากมากครับ แล้วเป็นฉากใหญ่มีเอ็กซ์ตร้าเกือบ 100 คน ตาร์ตอนนั้นอยู่ในที่พัก พอเดินออกมาเจอบรรยากาศทั้งโคมไฟที่ประดับประดาตามบ้าน และผู้คนที่แต่งกายชุดพื้นเมือง เห็นแล้วยังตกใจว่า เฮ้ย!โปรดักซั่นใหญ่ขนาดนี้เลยเหรอ แล้วฝนตกอีกก็ต้องถ่ายกลางฝน เพราะเราไม่สามารถย้อนกลับมาถ่ายได้อีก แต่ก็สนุกดีครับ

เป็นทั้งอาจารย์และนักแสดง ต้าร์แบ่งเวลาอย่างไรคะ

ช่วงนี้ปิดเทอมก็สบายหน่อย สามารถรับงานแสดงได้เยอะขึ้น แต่ถ้าช่วงเปิดเทอมแทบจะไม่ได้เห็นผลงานต้าร์หรอกครับ แล้วยังต้องหาเวลาซ้อมกีฬา แข่งกีฬาอีก ชีวิตต้าร์จะเป็นประมาณนี้ ต้าร์ว่าการเป็นอาจารย์กับการเป็นนักแสดงเป็นงานที่ต้องใช้อิมเมจทั้งคู่ และเป็นอิมเมจที่ต้องดูแลกันและกัน เพราะฉะนั้นจะให้มาแก้ผ้าใส่กางเกงในถ่ายแบบก็คงไม่ได้ ไม่ใช่ว่าไม่ดีนะ แต่เราต้องดูเรื่องของกาลเทศะด้วย(หัวเราะ)

ink&lion0663 copy copy

แต่เห็นช่วงหลัง ตาร์เพิ่มบทบาทนักกีฬาขึ้นมาอีกพาร์ทด้วย เป็นยังไงมายังไงคะ

ต้าร์ว่าเป็นช่วงเวลาเดียวที่เราทำแล้วรู้สึกเคลียร์มาก ไม่ต้องสนใจว่ารอบข้างเราเป็นอย่างไร เหมือนการนั่งสมาธิครับ เสน่ห์ของมันอยู่ตรงความสงบ ทำให้เรามีสมาธิกับการได้จดจ่อกับสิ่งตรงหน้า ในแต่ละครั้งเป้าหมายไม่ได้อยากเป็นที่หนึ่ง แค่อยากเอาชนะตัวเองเท่านั้น  ทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะเราไม่รู้ว่าคนที่วิ่งอยู่รอบๆ นั้นอยู่ในเอจกรุ๊ปเดียวกับเราหรือเปล่า เราไม่รู้ว่าเราแข่งกับคนไหน แต่ถ้าเรารู้นะคงรีบวิ่งแซงเรียบ (หัวเราะ)

แล้วเวลามีลมตีหน้าขณะกำลังวิ่งไปข้างหน้าที่ละนิดๆ เป็นความรู้สึกที่ดีมาก หลายคนบอกว่าคนอย่างต้าร์ไม่น่าจะเล่นกีฬาโหดขนาดนี้ แต่เชื่อไหมว่าสิ่งที่ทำอยู่เป็นแค่เพียงไม่กี่อย่างที่ทำได้ดีในชีวิต สมัยเด็กๆ ให้ไปตีเทนนิส เตะบอล ตีปิงปอง เล่นบาสเกตบอล ต้าร์ทำไม่ได้เลย เพราะเราไม่มีทักษะ เป็นคนเคลื่อนไหวตัวได้แย่มาก แต่รู้อย่างเดียวคือถ้าใช้แรงเราทำได้ จะบอกว่าบ้าพลังก็ได้ อะไรที่ใช้ความพยายาม ความอดทน และความมุ่งมั่น นั่นคือสิ่งที่เราทำได้ดี

เห็นว่าจริงจังถึงขั้นโกอินเตอร์แล้วหรือคะ

เมื่อช่วงเดือนมีนาคมที่่ผ่านมา ต้าร์ไปแข่งรายการไตรกีฬาที่ชะอำ ได้ที่หนึ่งของเอจกรุ๊ป 35-39 ปี ทำให้เรารู้สึกว่าไม่อยากจะหยุดอยู่แค่ตรงนี้ ลองไปแข่งนอกบ้านบ้างดีกว่า ซึ่งปีนี้เป็นปีที่ต้าร์ตั้งใจจะไปแข่งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกทั้ง ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น ไต้หวัน นี่ก็ไปแข่งที่ฟิลิปปินส์มาสองรายการแล้ว โห… ช่วงนั้นเดินทางไป-กลับฟิลิปปินส์เป็นว่าเล่น เพราะเราไปได้แค่เสาร์-อาทิตย์ เนื่องจากติดงานต้องบินกลับมาถ่ายละคร แล้วก็บินกลับไปฟิลิปินส์อีกครั้งเพื่อแข่งไตรกีฬาเสร็จก็ต้องบินกลับมาไทยถ่ายละครต่ออีก ในขณะที่นักกีฬาคนอื่นๆ นอนชิลล์อยู่ที่โน่น เพราะฉะนั้นไม่แปลกใจเลยครับที่สู้เขาไม่ได้(หัวเราะ)

จริงๆ ตอนที่แข่งตาร์ก็พยายามวิ่งเซฟแรงไว้นะ ตั้งใจว่าจะไปปล่อยช่วงหลังๆ แต่พอเอาเข้าจริงดันเป็นตะคริว ที่สุดเลยได้อันดับสี่มา ซึ่งนั่นคือดีที่สุดที่ต้าร์ทำได้ ก็ต้องยอมรับ แต่ไม่เคยพอใจนะ เพราะรู้ตัวเองว่าทำได้ดีกว่านี้ แค่ต้องขึ้นอยู่กับตารางชีวิตของเราด้วย นี่เดี๋ยวเดือนหน้าจะไปแข่งอีกรอบ ไปบ่อยจนเริ่มมีคอนเน็คชั่น ได้รู้จักคนในแวดวงไตรกีฬาที่กว้างขวางขึ้น ได้ไปสัมภาษณ์ออกสื่อด้วยนะ คนที่โน่นเล่นไตรกีฬาเยอะกว่าบ้านเรา มาตรฐานเขาจึงสูงกว่า อ๋อ…แล้วปีหน้าก็ว่าจะไปแข่งที่เยอรมันด้วย ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร (ยิ้ม)

ink&lion0727 copy

ตั้งแต่แข่งไตรกีฬามีแมชท์ไหนปราบเซียนบ้างคะ

น่าจะเป็นที่ดานัง เวียดนามครับ เพราะอากาศร้อนมาก ประมาณ 40 กว่าองศา แดดตอน 7-8 โมงเช้าร้อนเหมือนตอนเที่ยงบ้านเรา แทบไม่อยากจะเอาเท้าเหยียบพื้นเลยน่ะ แต่เรามั่นใจว่าซ้อมมาอย่างดี ร่างกายแข็งแรงมาก พอเริ่มวิ่งปุ๊บก็ออกตัวแรงวิ่งยับเลย เน้นเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ แซงทุกคนมาหมดแล้วเราก็แฮปปี้มาก คิดในใจว่าต้องทำเวลาได้ดีแน่นอน จนถึงระยะ 6 กิโลเมตรสุดท้ายเริ่มรู้สึกแปลกๆ หายใจไม่ออก และหมดแรง เป็นครั้งแรกที่ทำให้ต้าร์รู้จักกับคำว่าโอเวอร์ฮีท เหมือนตัวจะแตก จนไปต่อไปไม่ได้  ทำให้เราได้เรียนรู้ว่าสภาพอากาศก็สำคัญ คราวนี้พอไปแข่งที่ฟิลิปินส์อากาศไม่ร้อนเท่าเวียดนาม แต่ด้วยความที่กลัวเป็นอีกเลยคว้าน้ำแข็งมายัดใส่เสื้อแล้ววิ่งต่อ เย็นตลอดทาง (หัวเราะ)

เห็นว่าก่อนจะไปแข่งแต่ละครั้้ง ต้าร์ซ้อมหนักเอาเรื่อง   

ประมาณ 6 วันต่ออาทิตย์ครับ เฉลี่ยแล้ว 12-15 ชั่วโมง เริ่มจากตื่นเช้ามาตีห้าจะต้องซ้อมก่อน 1-2 ชั่วโมง ทั้งว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน วิ่ง ก็สลับหมุนเวียนกันไป บางคนชอบนอนดูทีวีอยู่บนโซฟาตัวเก่ง บางคนชอบหาหนังดีๆ มาดูอยู่บ้าน หรือออกไปหาอะไรอร่อยๆ กิน แต่ต้าร์ไม่ได้เป็นอย่างนั้น ต้าร์ใช้การออกกำลังกายเป็นการพักผ่อน ทำให้เราไม่เครียด แถมนอนหลับสนิทด้วย เลยรู้สึกแฮปปี้กับไลฟ์สไตล์แบบนี้

ทุกวันนี้ต้าร์สามารถใช้เวลา 5 ชั่วโมงในการว่ายน้ำ 2 กิโลเมตร ปั่นจักรยาน 90 กิโลเมตร แล้วก็วิ่งต่ออีก 21 กิโลเมตร หลายคนมองว่าเราเป็นซูเปอร์แมน จริงๆ เป็นคำพูดที่เขาใช้ปลอบใจตัวเองหรือเปล่าว่าคงไม่มีทางเป็นเหมือนเรา เพราะเขาไม่อยากทำในสิ่งที่คิดว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ต้าร์ไม่เคยมองแบบนั้น ต้าร์ทำในสิ่งที่คิดว่าทำได้แล้วพยายามทำให้ดีกว่าเมื่อวาน จึงมาถึงตรงนี้ ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ ถึงแม้ตอนแรกจะดูยากมาก แต่ทำไปเรื่อยๆ เถอะเดี๋ยวจะได้เอง จริงๆ ครับ พิสูจน์มาแล้ว

ink&lion0650 copy
ต้าร์เริ่มจากวิ่งมาก่อน ค่อยมาปั่นจักรยาน แล้วถึงมาเป็นไตรกีฬา เมื่อก่อนไปงานวิ่งยังมีคนอยู่แค่ 100-200 คนเอง เดี๋ยวนี้คนเพียบแล้ว มีจัดกันทุกอาทิตย์ เพราะกระแสสุขภาพกำลังมา ก็ดีครับ ทำให้เราได้สัมผัสกับผู้คนเยอะขึ้น เดินๆ อยู่กลางถนน หรือกลางห้างก็จะมีคนมาถามเรื่องการออกกำลังกายตลอด กลายเป็นหัวข้อที่ทำให้เราสัมผัสคนอื่นได้มากขึ้น แฮปปี้มากครับ 

พักเรื่องกีฬามาเรื่องความรักบ้างดีกว่า ตอนนี้กับน้องคิทตี้ (ชิชา อำมาตยกุล) เป็นอย่างไรบ้างคะ 

(ต้าร์ทำหน้าเขิน) โอเคมาก แฮปปี้ดี และชวนกันไปออกกำลังตลอด จำได้ว่าแมทช์แรกก็พาเขาลงแม่น้ำโขงเลย ระยะทาง 1.7 กิโลเมตร (หัวเราะ) น้องคิทมีความตั้งใจ และมุ่งมั่นมาก อยากจะทำอะไรโน่นนี่นั่นเยอะแยะ เราเองก็อยากมองเห็นอนาคตของเขา เพราะเราเคยผ่านจุดนั้นมาแล้ว เขาเป็นคนที่มีความคิดเป็นของตัวเองมากๆ เป็นเด็กที่มีความคิดโตเกินวัย ไม่ใช่เด็กอายุ 21 ปกติที่ชอบเที่ยวเล่น เขาเรียนจบมหาวิทยาลัยตั้งแต่อายุ 18 เป็นเด็กที่ฉลาดมาก นี่คือคำพูดจากปากครูนะ (หัวเราะ) ต้าร์ไม่แปลกใจว่าทำไมเราถึงคุยกันได้ตั้งแต่แรก เขาเป็นคนเก่ง อนาคตไกล เชื่อไหมว่าเขาสามารถอ่านหนังสือเล่มหนึ่งจบภายในครึ่งชั่วโมง เหมือนกินข้อมูล ไม่เคยเห็นใครอ่านเร็วขนาดนี้มาก่อน ซึ่งขนาดต้าร์เป็นหนอนหนังสือนะยังอ่านไม่ได้ขนาดนั้นเลย แต่บางทีด้วยความที่เร็วไปก็มีพลาดบ้างเป็นเรื่องปกติ

“แต่นับจากที่เขาเข้ามาในชีวิต ก็ทำให้ทุกอย่างเป็นเรื่องที่่ดีหมดเลยครับ” 

หิ๊ว…โมเม้นต์หวานๆ ของด็อกเตอร์หนุ่ม น่ารักเนอะ และที่สำคัญไม่ต้องสงสารสาวคิตตี้แล้วละ เพราะดูท่าเธอจะบ้าพลังไม่แพ้หนุ่มตาร์นะเออ

เรื่อง : apinya

ภาพ : กฤตธี

 

 

 

 

Praew Recommend

keyboard_arrow_up