อย่าอายที่จะยอมรับแล้วรีบรักษา “ตกขาว” เป็นเรื่องที่สาวๆ หลายคนมักมีปัญหานี้ ซึ่งอันที่จริงระบบสืบพันธุ์จะมีต่อมภายในช่องคลอดและปากมดลูกที่จะผลิตของเหลวที่นำเอาเซลล์ที่ตายและแบคทีเรียออกมาเป็นตัวทำความสะอาดและป้องกันการติดเชื้อได้ โดยปริมาณที่ออกมามากหรือน้อยขึ้นอยู่กับแต่ละคน สีที่ปกติอาจจะมีลักษณะใส ไปจนถึงสีขาวแบบน้ำนม ขึ้นอยูกับช่วงเวลาตามรอบเดือน โดยในขณะที่มีการตกไข่ การให้นมบุตร อาจจะมีสีและกลิ่นเปลี่ยนแปลงไปที่คุณเองอาจจะสังเกตได้ อย่างไรก็ตามถ้ามีสีและกลิ่นที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน โดยถ้ามีอาการคัน หรืออาการเจ็บแสบบริเวณช่องคลอด อาจจะเป็นลักษณะที่มีการติดเชื้อ
สาเหตุจาก เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงของสมดุลของแบคทีเรียในช่องคลอด จะทำให้มีกลิ่น สี และลักษณะของตกขาวที่เปลี่ยนแปลงไป ปัจจัยที่ทำให้เกิดความไม่สมดุลนี้ ได้แก่
- การใช้ยาแก้อักเสบ หรือสเตียรอยด์
- การติดเชิ้อแบคทีเรีย Bacterial Vaginosis ซึ่งพบได้บ่อยในหญิงตั้งครรภ์
- การใช้ยาคุมกำเนิด
- มะเร็งปากมดลูก
- การติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เช่น Chlamydia หรือ Gonorrhea
- เบาหวาน
- การทำความสะอาด การใช้สบู่ที่มีความเป็นด่างมากเกินไป
- การติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน ปีกมดลูก รังไข่
- การติดเชื้อ Trichomoniasis จากการมีเพศสัมพันธ์
- การอับเสบของช่องคลอด
- การติดเชื้อรา
เกิดง่ายหายยาก “ตกขาว” เรื่องน่าอายที่ผู้หญิงไม่อยากบอก! แต่ถ้าเป็นแล้ว..รีบรักษาด่วน
ลักษณะของตกขาวที่อาจจะพบได้
- ตกขาวที่มีลักษณะปนเลือดหรือมีสีน้ำตาล
มีประจำเดือนมาผิดปกติ ไม่ตรงรอบ หรือที่พบได้แต่ไม่บ่อยคือ มะเร็งในโพรงมดลูก หรือมะเร็งปากมดลูก อาจมีอาการปวดท้องน้อยหรือมีเลือดออกผิดปกติร่วมด้วย
- ตกขาวที่มีลักษณะขุ่นหรือสีเหลือง
อาจจะเป็นการติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น Gonorrhea อาจจะมีอาการเลือดออกระหว่างรอบเดือน หรือมีอาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่
- ตกขาวที่มีลักษณะเหลืองเขียวมีฟองปน
อาจจะเกิดจากการติดเชื้อปรสิต Trichomoniasis มักจะมีอาการปวดและคันเวลาปัสสาวะร่วมด้วย
- ตกขาวที่มีสีชมพู
เป็นลักษณะที่พบได้ในหญิงหลังคลอด เนื่องจากการลอกของเยื่อบุโพรงมดลูก
- ตกขาวที่มีลักษณะขาว หนา เป็นก้อน
เกิดจากการติดเชื้อรา จะมีอาการบวม แดง คัน บริเวณอวัยวะเพศ มีอาการเจ็บเวลามีเพศสัมพันธ์
- ตกขาวที่มีสีขาว เทาหรือเหลือง มีกลิ่นเหมือนกลิ่นปลา
เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Bacterial Vaginosis จะมีอาการคัน อาการแสบ แดง และบวมบริเวณอวัยวะเพศ
การวินิจฉัย แพทย์จะทำการซักประวัติและสอบถามถึงอาการที่เป็น เช่น
- เริ่มมีตกขาวผิดปกติตั้งแต่เมื่อใด
- ตกขาวที่ตรวจพบมีสีอะไร
- มีกลิ่นอย่างไร
- มีอาการบวม แดง คันหรือไม่
- ประวัติการมีเพศสัมพันธ์
- การใช้น้ำยาหรืออุปกรณ์ทำความสะอาด
โดยแพทย์จะทำการตรวจภายใน และเก็บตัวอย่างตกขาว เพื่อทำการตรวจและเพาะเชื้อ นอกจากนี้อาจจะทำการเก็บเซลล์ปากมดลูก เพื่อตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก
การรักษา
การรักษาจะขึ้นอยู่กับสาเหตุที่ตรวจพบ เช่น การติดเชื้อราจะให้การรักษาเชื้อราในรูปแบบเจลหรือชนิดสอดในช่องคลอด การติดเชื้อแบคทีเรียจะให้รับประทานยาแก้อักเสบ การติดเชื้อปรสิต Trichomonas จะให้การรักษาด้วยยา Metronidazole หรือ Tinidazole
การป้องกัน
- รักษาความสะอาดเป็นประจำ ด้วยการใช้สบู่อ่อนๆ และน้ำอุ่น
- ไม่ควรใช้การทำความสะอาดด้วยสบู่ที่แรง หรือการฉีดล้างด้วยน้ำยา สเปรย์ หรือสบู่ที่มีฟองมากเกินไป
- หลังจากเข้าห้องน้ำ ควรทำสะอาดให้แห้ง เวลาเช็ดทำความสะอาดให้เช็ดจากด้านหน้าไปด้านหลัง เพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคมีเรียเข้าไปในช่องคลอด
- ใส่ชุดชั้นในผ้าฝ้าย จะช่วยระบายความชื่นได้ดี และไม่ควรใส่เสื้อผ้าที่รัดแน่นเกินไป
- การใช้ถุงยางอนามัยเมื่อมีเพศสัมพันธ์ เพื่อป้องกันการติดเชื้อจากฝ่ายชาย
- ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับปกติ
- รับประทานโยเกิร์ตที่มี Lactobacillus Aciophilus ในช่วงที่รับประทานยาแก้อักเสบเพื่อป้องกันการติดเชื้อรา
ข้อมูลจาก DrCarebear โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท
ภาพ : Pexels
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
ฉีดไว้ก็ดี! วัคซีนสำหรับผู้หญิง เพราะเป็นเพศที่การทำงานอวัยวะในร่างกายซับซ้อน
สาววัย 30 อัพ ถึงเวลา เช็คลิสต์สุขภาพ กับ 5 เรื่องที่ควรระวัง!