มะเร็งเต้านม ผู้หญิงคนไหนได้ยินคำวินิจฉัยนี้ เป็นต้องร้องไห้ ทว่า พีรดา พีรศิลป์ นักเขียนอิสระที่ต้องสูญเสียเต้านมให้กับมะเร็ง กลับมองโรคร้ายนี้อย่างเป็นบวกซะแทน
เพราะอะไร? ค้นหาคำตอบได้จากชีวิตก่อนและหลังเป็น มะเร็งเต้านม ในบรรทัดนับต่อแต่นี้
“หลิงเคยทำงานประจำที่กองบรรณาธิการนิตยสารแฟชั่น ปัจจุบันปิดตัวแล้ว ซึ่งงานหนังสือเป็นงานหนัก แต่เงินเดือนน้อย อย่าว่าแต่เงินเก็บเลย แค่ใช้ให้ชนเดือนก็เก่งแล้ว 4 ปีที่หลิงทำงานไปเช้ากลับดึก อาหารการกินก็ไม่ใส่ใจทานให้ครบ 5 หมู่ ไม่ค่อยดื่มน้ำ ไม่สร้างความสมดุลให้ร่างกาย จากผู้หญิงที่ร่าเริงเปลี่ยนเป็นเครียดตลอดเวลาโดยไม่รู้ตัว จนหลายคนทัก แต่เพราะหลิงไม่ค่อยป่วย แม้กระทั่งเป็นหวัด จึงยิ่งทำให้ประมาท
“กระทั่งวันหนึ่งอาบน้ำแล้วฟอกสบู่บริเวณเต้านมด้านซ้ายแล้วรู้สึกสะดุดกับก้อนเนื้อ ตอนแรกคิดว่าน่าจะเป็นซีสต์เหมือนพี่สาวกับน้องสาว แต่สงสัยว่าทำไมเจ็บ หลิงอาศัยช่วงวันหยุด 7 วันกลับบ้านไปตรวจที่โรงพยาบาลในหาดใหญ่ บ้านเกิด แล้วกลับมาทำงานต่อ ยังจำได้ตอนที่หมอโทรมาบอกว่าเป็น เนื้อร้าย หลิงช็อคเลย เพราะมีภาพจำว่า เป็นมะเร็งแล้วผมร่วง ผอมซูบ โทรมเหมือนผี และต้องตาย วางสายเสร็จหลิงบอกเจ้านายว่า หนูเป็นมะเร็ง นายเหวอ แล้วต่างก็ตกอยู่ในภวังค์ พอตั้งสติได้ หลิงจึงขอกลับบ้าน นั่งแท็กซี่ไปดอนเมืองขึ้นเครื่องกลับไปหาดใหญ่อีกครั้ง
“หลิงพยายามหาความรู้ว่า มะเร็งเต้านมคืออะไร สิบกว่าปีก่อนอินเทอร์เน็ตยังไม่แพร่หลาย มีแต่หนังสือ กับรายการที่ให้ความรู้บ้าง หลิงซื้อหนังสือของคุณหนุ่ย นันทกานต์ ที่เป็นมะเร็งที่เต้านมแล้วลามไปต่อมน้ำเหลืองมาอ่าน จะได้รู้ว่าควรดูแลตัวเองอย่างไร เขาเริ่มจากเป็นที่เต้านม แล้วลาม แพ้ยาอีก ยิ่งอ่านยิ่งเครียด หมกมุ่นอยู่แต่เรื่องนี้ทั้งวันทั้งคืนจนนอนไม่หลับ คิดมากถึงจุดที่ใกล้เป็นบ้า จึงพูดกับตัวเองว่า เราเป็นอะไรยังไม่รู้ คุยกับหมอดีกว่า
“หมอบอกว่าหลิงเป็นขั้นที่ 1 ชิ้นเนื้อมีขนาดประมาณ 1 เซ็นติเมตร ซึ่งเราแน่ใจว่า ต้องมาจากความเครียด ณ ตอนนั้นหลิงอายุประมาณ 30 ถือว่าเป็นผู้ป่วยมะเร็งที่อายุน้อย เพราะยุคนั้นมะเร็งมักจะเกิดกับคนวัย 40 ขึ้นไป หมอบอกว่าโชคดีแล้วที่เจอก่อน เพราะมีโอกาสหาย ไม่ต้องต่อสู้กับมะเร็งเยอะ จากนั้นก็ผ่าตัดอีกเพื่อเก็บรายละเอียดของชิ้นเนื้อโดยรวม แล้วให้คีโม หลิงเป็คนผมสวยจึงรักผมมาก ถึงขนาดขอหมอว่า ไม่ให้คีโมได้ไหม เพราะเคยดูในหนังเห็นผู้ป่วยที่ให้คีโมแล้วผมร่วง หมอจึงให้ตัดผมสั้นรอ เวลาร่วงจะได้ไม่น่ากลัว พอร่วงหนักๆ เข้าหลิงก็ตัดสกินเฮดเลย
“หลิงศึกษาจากหนังสือว่า การให้คีโมจะไปฆ่าเซลล์ในร่างกายทั้งดีและไม่ดี ภูมิคุ้มกันจะต่ำ เกล็ดเลือดต่ำ ต้องเตรียมร่างกาย ไม่เช่นนั้นรับมือกับการรักษาไม่ไหว ยิ่งได้เห็นผู้ป่วยมะเร็งรายอื่นที่นั่งรออยู่ด้วยกัน ผอมมาก ก็ตั้งใจเลยว่าจะไม่ปล่อยตัวให้ผอม จะเป็นคนไข้ที่ดีของหมอ
“ให้คีโมวันแรก หมอให้หลีกเลี่ยงอาหารร้อน หรืออุ่นๆ ต้องปล่อยให้เย็นก่อน รวมทั้งห้ามของทอด ของมัน เพราะเยื่อบุในปากบอบบาง หลิงจึงทานโจ๊ก แต่พอตักเข้าปากคำแรก วิ่งเข้าห้องน้ำแทบไม่ทัน อาเจียนจนหมดแรง เดินไมไหว ปัสสาวะเป็นสีแดง แต่ที่อาการหนักสุดคืออาหารไม่ย่อย ท้องโต ไม่ขับถ่าย อาเจียน ภาพผู้ป่วยผอมแห้งไม่มีแรงที่เห็นแว่บกลับเข้ามาในหัว…ไม่ได้ๆ เราจะไม่ยอมเป็นแบบนั้นเด็ดขาด
“เพราะฉะนั้นแม้กินแล้วอาเจียน หลิงยังพยายามฝืน กินอาหารที่มีฤทธิ์เย็นเพื่อให้ร่างกายเย็น แล้วพยายามทำตัวแบบไม่ใช่ผู้ป่วย ดูทีวี ฟังเพลง อ่านหนังสือสนุกๆ พอกลับมาอยู่กรุงเทพฯ อาการดีขึ้น น้ำหนักขึ้นมา 4-5 กิโลกรัม เป็นผู้ป่วยมะเร็งที่อวบอ้วนอยู่คนเดียว ผลเลือดต่างๆ ก็ดี ไม่ติดเชื้อ แต่ที่ดีสุดๆ คือหมอบอกว่ามะเร็งไม่ลาม
“ออฟฟิศให้ลาพัก 1 เดือน โดยจ่ายเงินเดือนด้วย หลิงทำงานส่งทางเมล พอให้คีโมครบคอร์สก็กลับไปทำงาน พร้อมๆ กับเริ่มฉายแสง หลิงตื่นตีห้าขับรถไปฉายแสงเสร็จก็เข้าออฟฟิศไปทำงานทุกวัน เป็นเวลาหลายเดือน จนฉายแสงครบ หมอบอกว่าแผลหายสนิท ไม่มีอาการติดเชื้อใดๆ ไม่ต้องกินยา แต่ต้องติดตามผลทุกเดือนติดต่อกันเป็นปีๆ
“พอผ่านจุดนั้นมาได้ หลิงกลับมาประเมินตัวเองแล้วทำให้รู้ว่า เราใช้ชีวิตห่วยแตกมาก ทำแต่งาน ไม่ดูแลตัวเอง ตอนไม่ป่วยไม่เห็นความสำคัญของร่างกาย แต่เวลาที่ลุกไม่ได้ เข้าใจคำที่เขาบอกกันเลยว่า ‘ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ’ ที่สำคัญความโชคดีคงไม่มีบ่อยๆ ฉะนั้นหากไม่เริ่มดูแลตัวเองตั้งแต่ตอนนี้ ก็ไม่รู้ว่ามะเร็งจะกลับมาอีกหรือเปล่า แล้วไปปรากฏตรงไหนก็ไม่รู้
“จากไม่เคยออกกำลังเลยก็ลุกขึ้นมาออกกำลังบ้าง คลายเครียด พยายามดื่มน้ำ โดยนำน้ำมาตั้งไว้ที่โต๊ะทำงาน ดื่มครั้งละครึ่งแก้ว พอปวดฉี่ก็ไปเข้าห้องน้ำแล้วถือโอกาสเติมน้ำในแก้วให้เต็ม
“เพราะฉะนั้นพอนิตยสารปิดตัว หลิงจึงผันตัวเองมาเป็นฟรีแลนซ์ โดยเลือกรับงานเพื่อให้เหลือเวลาไปเที่ยว เพราะกลัวตายแล้วจะอดเที่ยว ระหว่างนั้นมีงานเขียนชิ้นหนึ่งแก้แล้วแก้อีกจนหลิงร้องไห้ เครียดมาก วันๆ นั่งอยู่บนเก้าอี้ ตาจ้องอยู่หน้าคอมเกิน 16 ชั่วโมงต่อวัน แม้จะลงทุนซื้อเก้าอี้ถนอมหลังตัวละ 5 หมื่นก็รับไม่ไหว ปวดหลังมาก นอนหลับไม่สนิท หมอบอกเป็นหมอนรองกระดูกอักเสบ ทานยาก็มึน ทำงานไม่ได้ บอกกับตัวเองว่า พอเหอะ ได้เงินเยอะเท่าไหร่ แต่หากหมอนรองกระดูกทับเส้นต้องผ่าตัด ไม่คุ้ม
“ตั้งแต่นั้นหลิงเลยเลือกงาน หากลูกค้าเรื่องเยอะก็ไม่รับ รับแต่ลูกค้าประจำกับเพื่อน พยายามไม่ให้ตัวเองเครียด ปล่อยๆ บ้าง แล้วตั้งเข็มทิศว่า ในหนึ่งปีจะไปต่างประเทศให้ได้ 1-2 ครั้ง ระหว่างนั้นก็เมมโมแกรมบวกอัลตร้าซาวนด์มาตลอด
“กระทั่งผ่านมา 10 ปี หมอพบเม็ดแคลเซียมที่เต้านมด้านซ้ายที่เคยเป็นมะเร็ง จากมีขนาดเป็นมิลลิเมตรกลายเป็นขยายใหญ่ขึ้น แสดงว่าเริ่มมีความผิดปกติ หลิงเริ่มเอะใจว่ามะเร็งอาจกลับมาอีก แม้เตรียมใจแล้ว แต่พอได้ยินหมอบอกว่า ขอเจาะชิ้นเนื้อตรวจ หลิงถึงกับอึ้ง ขนาดให้คีโม ฉายแสง จัดการตัวเองไม่ให้เครียดแล้วยังกลับมาเป็นอีก ที่ข้างเดิมด้วย หมอถามเลยว่าจะรักษาอย่างไร ตัดเต้าทิ้ง หรือสงวนเต้าไว้ แต่ถ้าตัดทิ้งก็เท่ากับตัดปัญหาเลยนะ
“ก็เข้าใจหรอกว่าหมอไม่มีเวลาให้กำลังใจ เพราะคนไข้มีเป็นร้อยต่อวัน แต่เราในฐานะผู้ป่วยยังทำใจไม่ได้ เลยเลือกสงวนเต้าไว้ หมอจึงส่งไปที่แผนกศัลยกรรมการตกแต่งและรักษา หมอยกตัวอย่างแองเจลีนา โจลี ที่ตรวจพบว่าตัวเองเป็นมะเร็งเต้านมจึงคว้านเนื้อออกทั้ง 2 ข้างแล้วใส่ซิลิโคนเข้าไปแทน หรือหากไม่มีทุนทรัพย์พอ เพราะซิลิโคนก้อนละ 2 หมื่นบาท ก็ใช้กล้ามเนื้อตัวเองปั้นเป็นรูปเต้านมแล้วใส่แทน ที่สุดหลิงเลือกเสริมด้วยซิลิโคน แล้วกลับมาพักฟื้น 1 สัปดาห์
“คราวนี้ประมาทไม่ได้แล้ว เพราะเห็นแล้วว่า มะเร็งเอาจริง แต่เรายังตายไม่ได้ เพราะยังมีอีกหลายอย่างที่อยากทำ หลังจากผ่าตัดหนึ่งปี หลิงเริ่มออกกำลังกายจริงจัง ใฝ่ฝันมาตลอดชีวิตว่าอยากมีซิกซ์แพ็ค ซึ่งหากทำไม่ได้ก็ไม่ต้องทำอะไรแล้ว
“หลิงเลือกจะฝึกเอง เพราะอยากเก็บเงินที่จะสมัครเมมเบอร์ฟิสเนตไว้ไปเที่ยวดีกว่า อาหารคลีนคืออะไร ไปศึกษาแล้วมาทำกินเอง พร้อมกับศึกษาการออกกำลังแบบ T25 หรือ Focus T25 คิดค้นโดย Shaun T เจ้าของโปรแกรมออกกำลังกายแบบอินแซนนิตี้ (Insanity) ที่เต้นไปเต้นมา ซึ่งเป็นที่นิยมของสาวๆ ที่รักสุขภาพ เพราะร่างกายได้เผาผลาญมากเท่ากับวิ่งต่อเนื่อง 1-2 ชั่วโมง ซึ่งเหมาะกับเราที่ขี้เกียจ ซื้อเวท 2 อัน เสื่อสำหรับเล่นโยคะ 2 ผืน แล้วจัดเวลา
“หลิงเป็นฟรีแลนซ์ มีงานไม่แน่นอน เลยเลือกที่จะตื่นแต่เช้า 6 โมง ไม่มีใครติดต่องานแน่ๆ เปิดวิดีโอที่สอนการออกกำลังกายแบบ T25 เวลา 25 นาทีจากคอมฯ แล้วเต้นตาม โอ้โฮ วันแรกแค่ 5 นาทีเหนื่อยมาก เปลี่ยนใหม่ไปหาวิดีโอที่สั้นกว่านี้เป็น 15 นาที
“สัปดาห์แรกเรียกว่าร่างแหลก ปวดเนื้อปวดตัวเกือบตาย แต่ต้องฮึดสู้ให้ผ่านไปได้ พอเริ่มสัปดาห์ที่สองเห็นถึงความมหัศจรรย์ของร่างกาย เพราะเริ่มไม่ปวดเนื้อตัว สมองปลอดโปร่ง อารมณ์ดี หน้าตาสดใส เลือดสูบฉีด คึกคัก จึงออกกำลังทุกวันๆ ละครึ่งชั่วโมง ผ่านไป 2 เดือน อยากมีซิกแพ็คเร็วๆ หลิงจึงเพิ่มชุดออกกำลังกายเป็น 2 เซ็ตติดต่อกันเป็นเวลา 1 เดือน กินคลีนเท่าที่ทำได้ ปรากฏว่ากล้ามมาเลย ทั้งแขน ทั้งซิกแพ็ค ร่างกายแข็งแรงกว่าตอนอายุ 30 เยอะมาก
“วันหนึ่งได้ดูวิดีโอผู้หญิงขี่มอเตอร์ไซค์ ให้ความรู้สึกถึงความเป็นอิสระ หัวใจหลิงพองโต คิดว่าจากแบ็คแพ็คไปเที่ยวจะเปลี่ยนเป็นขี่มอเตอร์ไซค์แทน ขี่ไม่เป็นก็ไปเรียนเพื่อสอบใบขับขี่มอเตอร์ไซค์ ระหว่างนั้นไปจองมอเตอร์ไซค์รุ่น 865 ซีซี ราคาประมาณ 4 แสนบาท พี่ชายบอกว่า เดี๋ยวไม่ได้ตายเพราะมะเร็ง (หัวเราะ) หลิงบอกว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวไม่ได้ทำตามความฝัน
“จนถึงวันนี้ 14 ปีแล้วยังติดตามผลอยู่ ซึ่งหลิงต้องขอบคุณมะเร็งนะ เพราะหากไม่เป็นคงไม่ได้เปลี่ยนตัวเองมาได้ขนาดนี้ คงยังนั่งทำงานเป็นบ้าเป็นบอ พอเจ็บป่วยก็นำเงินไปรักษาเพื่อให้ได้กลับมาทำงานต่อ ทำให้เรามองมะเร็งในมุมบวก
“ทุกวันนี้มีความสุขอยู่กับปัจจุบัน เพราะไม่รู้ว่าจะมีวันพรุ่งนี้ไหม ฉะนั้นถ้าเราอยากทำอะไรทำเลย อยากขี่มอเตอร์ไซค์ไปเที่ยวต่างจังหวัด เที่ยวต่างประเทศก็ไป ไปคนเดียวก็ไป ขณะเดียวกันยังคงออกกำลังแบบ T25 เวลาไปโรงพยาบาลหาหมอ 7 ชั้นก็เดินขึ้นบันได ไม่ใช้ลิฟท์ ดื่มน้ำมากๆ กินอาหารหลากหลายให้ครบ 5 หมู่ นอน 6-8 ชั่วโมง ไม่เกินนั้น เพราะนอนมากไปก็ไม่ดี
“สำคัญคือ พยายามหาในสิ่งที่ทำให้หัวใจพองโตให้พบ จะทำให้ชีวิตมีความสุข”
เรื่อง : แดนเจอร์
ภาพ : นิตยสารแพรว, [email protected]