โอ๊ต-ชัยสิทธิ์ จากเด็กวิ่งล่าฝัน สู่การเป็นมือลั่นชัตเตอร์ระดับโลก

คนไทยคนแรกที่ตอนนี้กลายเป็น 1 ใน 20 ช่างภาพที่ดีที่สุดในโลก และได้รางวัลชนะเลิศภาพถ่ายเวดดิ้งในหัวข้อ First dance จากการประกวดของ ISPWP (International Society of professional wedding photographers) วันนี้Exclusive Talk โดยแพรวดอทคอม ขอพามาทำความรู้จักกับช่างภาพหนุ่มคนนี้ ที่กำลังอนาคตไกลสุดๆ ในวงการถ่ายภาพเวดดิ้งต่างประเทศ

ย้อนกลับไปเมื่ออายุประมาณ 20 ต้นๆ เชื่อว่าชีวิตของใครหลายคนคงอยู่ในช่วงของการค้นหาตัวเองว่าเราอยากจะทำอะไร กันแน่ บางคนเลือกที่จะคิดเฉยๆ บางคนอาจจะเริ่มทำบ้าง ลองผิดลองถูกไปเรื่อยๆ แต่ยังไม่ได้โฟกัสอย่างจริงจัง แต่ก็มีคนอีกประเภทนึงที่คิดและทำอย่างจริงจังตั้งแต่ต้น เพื่อหวังว่าชีวิตของเขาจะได้ทำในสิ่งที่รักที่สุด และต้องเป็นสิ่งที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จในชีวิตได้ด้วย

ชัย สิทธิ์ จุนเจือดี หรือ “โอ๊ต” พอพูดชื่อนี้หลายคนคงไม่รู้จัก เพราะเขาไม่ใช่ดาราดังที่ไหน แต่ถ้าในแวดวงการถ่ายภาพโฆษณา และเวดดิ้ง เขาคือ 1 ในคนไทยไม่กี่คนที่มีโอกาสได้ไปทำงานกับช่างภาพระดับโลก จากการเก็บเงินด้วยตัวเอง 1 ล้านบาทอยู่ 1 ปีเพื่อออกไปตามความฝันที่ประเทศอังกฤษตั้งแต่อายุ 24 จนกระทั่งได้เป็นช่างภาพที่มีผลงานการถ่ายงานโฆษณาของแบรนด์ชื่อดัง รวมทั้งงานแต่งงานของเซเลบริตี้ที่อังกฤษอีกด้วย


ตอนอยู่อังกฤษ มีผลงานการถ่ายภาพที่ไหนบ้าง

โอ๊ต : ตอนอยู่ที่นั่นก็มีงานถ่ายงานโฆษณาของUrban Retreat ซึ่งเป็นพาร์ทนึงของห้าง Harrods เป็นโปรเจ็คท์ที่ผมภูมิใจมาก เพราะเป็นงานใหญ่ สไตลิลสต์ที่มาทำก็เป็นสไตลิสต์ที่ทำVogue ตอนเข้าไปคุยกับครีเอทีฟไดเร็คเตอร์งานนี้ เขาคัดช่างภาพหลายคน สุดท้ายเป็นผมที่ได้ทำ จริงๆเขาก็ยังดูไม่แน่ใจเหมือนกันครับว่าผมจะทำได้ดีไหม อายุก็แค่ 26 และเป็นคนเอเชียด้วย เลยลองให้ไปถ่ายPortrait สำหรับลงสัมภาษณ์โปรโมทก่อน ปรากฏว่าเขาชอบมาก เลยให้ผมคิดโปรเจ็คท์นี้ทั้งก้อน ตั้งแต่คอนเซ็ปต์จนถึงการหานางแบบมาถ่าย ทีนี้เลยทำงานง่ายเลย เพราะได้ทำในสิ่งที่ผมคิด กำหนดเองทุกอย่าง หลังจากที่ทำงานนี้จบพอเดินเข้าไปในห้าง แล้วเห็นดิจิตอลบิลบอร์ดเป็นงานตัวเองติดอยู่ ผมนี่ยิ้มเลย ดีใจมากครับที่มีโอกาสได้ทำ ครีเอทีฟไดเร็คเตอร์ที่ทำงานนี้ก็บอกผมว่านี่แหละ ถ้าเราตั้งใจทำมันก็ดีกับตัวเราเอง ผลงานมันบอกอยู่แล้วว่าคุณตั้งใจกับมันแค่ไหน ตอนนั้นก็เลยได้ถ่ายงานให้เค้าต่อ รวมทั้งหมดก็ 2 ซีซั่นเลยครับ

ได้ข่าวว่านอกจาก Harrods ยังได้ไปถ่ายแฟชั่นของแบรนด์ในเครือ Topshop และแมกกาซีนด้วย

โอ๊ต : ครับผม..ชื่อแบรนด์ Portia ครับ และก็มีถ่ายแฟชั่นกับปกให้กับแมกกาซีนที่นั่นด้วย แต่งานเวดดิ้งที่ผมเริ่มต้นทำก็ยังมีอยู่เหมือนเดิมที่ได้ไปถ่ายทั้งใน อังกฤษและที่ฝรั่งเศสด้วย

ได้ทำงานใหญ่ขนาดนี้ และเป็นที่รู้จักในวงการถ่ายภาพเวดดิ้งที่อังฤษมากขึ้น ทำไมถึงเลือกที่จะกลับมาอยู่เมืองไทย

โอ๊ต : จริงๆ ตอนแรกผมตั้งใจมาต่อวีซ่าเฉยๆ แต่พอมาถึงเมืองไทยก็มีงานให้ถ่ายล่วงหน้า 10 งาน บวกกับลึกๆ ก็คิดว่ากลับมาอยู่ที่บ้านก็ดี เพราะแม่ผมท่านอยู่คนเดียว เลยคิดว่าเอาวะ… กลับบ้านมาอยู่กับแม่ดีกว่า ก็ยังได้ทำงานที่ชอบด้วย ตอนนี้ก็เลยเปิดบริษัทรับงานเอง ทำทุกอย่างเลยครับ (หัวเราะ) งานส่วนใหญ่ที่เห็นๆอยู่ก็เป็นงานโฆษณา และเวดดิ้งเหมือนที่อังกฤษ

ทำงานถ่ายภาพที่เมืองไทยแตกต่างกับที่อังกฤษมากไหม

โอ๊ต : ตอนอยู่อังกฤษผมทำงานมีเอเจนซี่คอยชนลูกค้าให้แค่รับบรีฟมาแล้วไปทำ แต่มาเมืองไทยผมรับงานเอง ลักษณะการทำงานตอนนี้เลยมีหลายบทบาทมากขึ้น โค้ดราคาเอง อะไรเอง คุยกับลูกค้า ประชุมเองทุกอย่าง ชีวิตตอนนี้ทำงาน 7 วันเต็มเลย (ยิ้ม)…

ทำงานหนักขนาดนี้ แต่ก็ยังหาเวลาส่งภาพถ่ายของตัวเองไปประกวด จนได้รางวัลระดับโลกมาอีก

โอ๊ต : (หัวเราะ)… คือผมเป็นคนชอบคิดตลอดเวลา และรู้สึกว่าเวลามันมีค่ามาก เลยอยากใช้มันให้คุ้ม อะไรที่เป็นสิ่งที่เราชอบเลยต้องทำให้มันสุดจริงๆ ก่อนหน้านี้ผมเคยเข้าไปคัดเป็นช่างภาพในองค์กร ISPWP ((International Society of professional wedding photographers) ซึ่งเป็นองค์กรที่มีช่างภาพเป็นสมาชิกอยู่ทั่วโลก

ถ้าใครเป็นเมมเบอร์ที่นี่ได้เขาจะการันตีว่าเราเป็นช่างภาพที่มีฝีมือ มีคุณภาพ ซึ่งผมก็ได้เป็นสมาชิกแล้ว บวกกับองค์กรนี้เขาจะมีการให้ช่างภาพทั่วโลกที่เป็นสมาชิกส่งงานเข้าประกวด กันเพื่อจัดอันดับโลกด้วย ผมส่งภาพไปทั้งหมด 4 ควอเตอร์เลย และก็ได้รางวัลหมด แต่มีที่ได้รางวัลชนะเลิศก็คือในควอเตอร์ที่เป็นหัวข้อ First Dance พอจบสิ้นปีเขาก็จะคัดต่ออีกให้เหลือแค่ 80 คนที่เป็นช่างภาพที่ดีที่สุดในปีนี้ ผมก็ติดด้วย

จากนั้นข่าวนี้มัน ถูรีพับบลิชใหม่จากสำนักข่าวอื่นๆ ในอังกฤษ อย่างDaily Mail UK เขาก็คัดจาก 80 เหลือ 20 คนที่เป็นช่างภาพที่ดีที่สุดในปีนี้ ซึ่งก็มีผมติดอยู่ด้วยเหมือนกัน

ทำไมถึงเลือกภาพนี้ส่งเข้าประกวด

โอ๊ต : จริงๆ ภาพถ่ายคู่บ่าวสาวเต้นรำมีหลายภาพครับ แต่ที่เลือกภาพนี้ประกวดก็เพราะ องค์ประกอบโดยรวมมันได้ ทั้งBody Language อารมณ์ สีหน้าของทั้งคู่ อินเตอร์แอคชั่นของแขก และแสง มันลงตัวที่สุด แต่กว่าจะได้แต่ละภาพมาไม่ใช่ง่ายเลยครับ อย่างงานแต่งงานของคู่นี้ เจ้าบ่าวชื่อพีทเป็นนักดนตรีแจ๊สและเป็นเซเลบริตี้ด้วย ส่วนเจ้าสาวชื่อฟลอร่าจำได้ว่างานเขาโหดมาก อะไรที่คิดว่าในงานแต่งงานไม่มี แต่ของคู่นี้มีทุกอย่าง

วันนี้คุณอายุแค่ 29 แต่ใครๆ ก็บอกว่าคุณคือช่างภาพระดับโลกแล้ว รู้สึกยังไงบ้าง

โอ๊ต : ผมจำได้ว่าสมัยที่ผมอยู่อังกฤษ พยายามตั้งใจหาโอกาสที่จะได้มีประสบการณ์กับคนเก่งๆ ตอนนั้นก็มีคิดครับว่าอยากเป็นช่างภาพระดับโลก แต่ก็ไม่คาดหวังมาก ว่าจะได้เป็นหรือไม่ได้เป็น พอวันที่ผมได้ถ่ายงานที่Harrods หรือแฟชั่นแบรนด์ต่างๆ ที่อังกฤษ ทุกคนก็บอกว่าผมเป็นแล้ว เพราะผลงานมันการันตี แต่ผมเองไม่อยากนิยามว่าตัวเองเป็น ไม่อยากไปยึดติดกับมันมาก กลับมามองตัวเองดีกว่าว่าเราทำงานดีพอรึยัง

“ถ้า ผมทำงานมาห่วย ผมไม่เป็นดีกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนี้ที่คิดไว้คือ ผมต้องทำงานให้ได้มาตรฐานที่ดีกว่าเดิมด้วยซ้ำ ไม่ใช่เท่าเดิม ผมจะไม่มีทางให้ลูกน้องไปถ่ายงานคนเดียว แล้วตัวเองก็นั่งเฉยๆ ถ้าทำอย่างนั้นผมไม่เป็นดีกว่าช่างภาพระดับโลก”

พอมาอยู่ในจุดที่สูงขึ้น มันเลยเป็นการกดดันตัวเองหรือเปล่า

โอ๊ต : ไม่หรอกครับ ผมว่ามันดีด้วยซ้ำที่เรากดดันตัวเองบ้าง จะได้เตือนสติตัวเองว่าเราต้องทำงานให้หนักมากขึ้นกว่าเดิม และต้องทำให้ดีกว่าเดิมด้วย

คิดว่าอะไรที่ทำให้ชีวิตการเป็นช่างภาพประสบความสำเร็จได้ขนาดนี้

โอ๊ต : ผมว่าเพราะความตั้งใจ และความมุ่งมั่นนี่แหละที่ทำให้มีทุกวันนี้ บวกกับโชคดีด้วยที่ได้เจ้านายดีตอนอยู่อังกฤษ อยู่ที่นั่นยิ่งช่วงแรกๆ ที่ไปไม่ได้สบายเลยครับ อุปสรรคเยอะมาก แต่ก็ต้องอดทนไม่ยอมแพ้ ที่สำคัญต้องพัฒนาตัวเองตลอดเวลา เพราะการเป็นช่างภาพมันไม่ใช่แค่สะพายกล้องเท่ๆ แล้วกดชัตเตอร์ไปเรื่อยเปื่อย ตัวผมเองจะอ่านหนังสือเกี่ยวกับภาพ เพื่อวิเคราะห์รูป ดูเซ้นส์ของภาพให้มากเข้าไว้ ส่วนการทำงานเวลาไปถ่ายเวดดิ้ง ก็ต้องวางแผนการทำงานดีๆ ต้องช่างสังเกตตลอดเวลา และดูอารมณ์ของทุกงานในงานให้ครอบคลุมมากที่สุดด้วย



ในอนาคตข้างหน้ามีแพลนที่จะทำอะไรต่ออีกบ้าง

โอ๊ต : ผมตั้งใจว่าอายุ 45 จะไปเป็นอาจารย์ประจำสอนนักศึกษา จริงๆ ตอนนี้ผมก็มีเป็นอาจารย์พิเศษอยู่หลายมหาวิทยาลัยด้วย ผมไม่เสียดายนะ ถ้าจะมองว่าตอนนี้เราเดินมาอยู่ในจุดที่ทุกคนยอมรับแล้ว แต่วันนึงเราเหมือนจะทิ้งมันไป เพราะผมเชื่อว่ามันไม่ใช่การทิ้งที่เสียเปล่าเลย แต่จะช่วยต่อยอดด้วยซ้ำ อะไรที่ผมแชร์แล้วเป็นประโยชน์ได้ผมก็จะทำให้เด็กรุ่นใหม่ฟัง เพราะเขาไม่ได้ไปสัมผัสว่าผมเจออะไรมาบ้าง เมื่อถึงเวลาคงเปลี่ยนจากช่างภาพไปเป็นคนที่ถ่ายทอดประสบการณ์สอนเด็กรุ่น ใหม่ๆ แน่นอน ส่วนอีกเรื่องที่คิดจะทำก็คือ ผมอยากสร้าง Art Community เพื่อเป็นพื้นที่สำหรับแสดงงานศิลปะ จะได้สร้างประโยชน์ให้กับวงการศิลปะบ้านเราได้ไปนานๆ ด้วย

ตลอด เวลาของการนั่งสนทนากับผู้ชายคนนี้ เชื่อว่าหลายคนที่ได้อ่านจนจบคงได้สาระดีๆ เกี่ยวกับการใช้ชีวิตอยู่ไม่น้อย และคงได้คำตอบแล้วว่า การเป็นคนไทยไม่ใช่อุปสรรคหรือความแตกต่างในการยอมรับจากทั่วโลก เพียงแค่มีความพยายาม และอดทนที่จะทำอย่างจริงจัง ไม่ว่าคุณอยากจะเป็นที่สุดในอาชีพไหนให้ใครๆ ยอมรับ คุณก็เป็นได้ ถ้าคุณตั้งใจที่จะเป็น

เรื่อง : SRIPLOI

ภาพ : วาระ สุทธิวรรณ

ภาพผลงาน : OAT-CHAIYASITH

บทความนี้ถือเป็นทรัพย์สินของเว็บไซต์แพรว ห้ามผู้ใดนำไปคัดลอก ดัดแปลง หรือทำซ้ำ อนุญาตให้แชร์บทความนี้ได้จากลิ้งค์นี้เท่านั้น

Praew Recommend

keyboard_arrow_up