ทายาทรุ่นที่3 น้ำปลาแท้ตราปลาหมึก ‘เอ ธิติญา’ กับบทบาททางด้าน Image Consulting

เอ ธิติญา ทายาท น้ำปลาแท้ตราปลาหมึก สาวเก่งกับหน้าที่ที่สมดุล

คุณเอ ธิติญา นิธิปิติกาญจน์ ทายาท น้ำปลาแท้ตราปลาหมึก แบรนด์ส่งออกอันดับ1ของประเทศ ที่ส่งออกไปกว่า 70 ประเทศทั่วโลก นอกจากต้องเข้ามาบริหารธุรกิจของครอบครัวแล้ว เธอยังไม่ลืมที่จะเลือกเดินตามเส้นทางของตัวเอง ในด้าน Image Consulting ซึ่งเธอมีมุมมองในการบาลานซ์ชีวิตในทุกด้านอย่างสมดุลไม่ว่าจะในการเป็นเจ้านาย เจ้าของธุรกิจ ลูกสาวคนโตของครอบครัว ภรรยา และคุณแม่ ซึ่งเธอว่าเธออาจไม่ได้เป็นทุกอย่างอย่างดีที่สุด หรือสมบูรณ์แบบที่สุด แต่ดีพอในจุดที่ตัวเองพอใจ และมีความสุขกับมัน    

เมื่อเข้ามาสานต่อกิจการ คุณเอมีหลักบริหารงานอย่างไรบ้างคะ

“เอมีความเชื่อว่าการที่เราจะสามารถมอบผลิตภัณฑ์ที่ดีให้กับผู้บริโภคได้มันต้องดีมาจากต้นทางเหมือนสายน้ำที่มีต้นน้ำกับปลายน้ำ ถ้าเรามัวแต่ไปทุ่มเทกับการทำให้ปลายน้ำสะอาด แต่ต้นน้ำสกปรก มันก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่สายน้ำนั้นจะดีไปได้ แต่ถ้าเราดูแลให้ดีตั้งแต่ต้นทาง มันก็จะดีไปทั้งสาย คำว่าลูกค้า ไม่ใช่แค่ลูกค้าภายนอก แต่รวมไปถึงลูกค้าภายใน เช่น พนักงาน หรือ คนข้างนอกที่เราดีลด้วยทั้งหมด ถ้าเราให้คุณค่าและความจริงใจกับเขา เมื่อเขามีอะไรดีๆ เขาก็จะนึกถึงเรามันเหมือนเป็นการส่งต่อความสุขไปจนถึงปลายทาง และเอาเข้าจริงๆ พวกเขาเหล่านี้ก็กลับมาเป็นผู้บริโภคของเราเช่นกัน”

แล้วต้องปรับเปลี่ยนอะไรบ้างไหมคะ

“เอรับผิดชอบในส่วนของงานขายและการตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศค่ะ ช่วงที่มาทำงานแรกๆ ก็คงจะคล้ายๆ กับคนที่ทำงานกงสีหลายๆ คนคือมาใหม่ๆ ก็ไฟแรงอยากจะเปลี่ยนโน่นเปลี่ยนนี่ แต่มันก็ไม่ง่าย เพราะบริษัทเปิดมา 70 กว่าปี พนักงานแต่ละคนอยู่กันมายาวนาน เห็นเอมาตั้งแต่เด็กๆ วันหนึ่งที่เราต้องมาเป็นเจ้านายก็ต้องมีการปรับตัวพอสมควร แม้ว่าเราจะคิดว่าเราเอาประสบการณ์จากที่เคยเป็นลูกจ้างที่อื่นมา แต่ทุกคนเค้ามีประสบการณ์ในธุรกิจนี้มายาวนานกว่าเรามาก รวมไปถึงการปรับจูนกันในด้านความคิดระหว่าง 2 เจเนอเรชั่นคนรุ่นเก่าจะบอกว่าถ้าไม่คันก็อย่าไปเกา จะเปลี่ยนทำไมในเมื่อดีอยู่แล้ว พอเสนออะไรไปแล้วโดนตีกลับ หลายครั้งเข้าเราก็ไฟมอดไปเหมือนกัน (หัวเราะ)”

เลยเป็นจุดที่ทำให้สาวเก่งอย่างคุณเออยากหาสิ่งที่มาเติมไฟให้กับชีวิต

“ด้วยความที่เรียนทางด้าน Food Technology มา ซึ่งไม่ใช่ตัวเองเลย เราเดินตามเส้นทางที่คุณแม่ขีดให้มาตลอด  ในขณะเดียวกันเราก็มีเป้าหมายชีวิตตั้งแต่เด็กๆว่าอยากจะตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ เลี้ยงดูพวกท่านด้วยตัวเอง มาช่วยงานของครอบครัวก็ถือว่าได้ช่วยท่านนะคะ แต่การได้เงินเดือนจากพ่อ แล้วจะเอาคืนให้พ่ออีกก็ไม่ใช่ละ (หัวเราะ) เลยอยากจะทำอะไรของตัวเองบ้าง เมื่อทุกอย่างเริ่มลงตัว แต่งงานมีครอบครัว มีลูก จนอายุเข้าเลข 4 จึงเริ่มตามหาตัวเองจริงๆ ว่าตัวเองชอบอะไร”
จุดเริ่มต้นของการเป็น Magic Mirror Image Consulting เป็นยังไงบ้างคะ

“เพื่อค้นหาว่าตัวเองชอบอะไร ก็ไปเรียนมาเยอะมากค่ะ จนมีวันหนึ่งถามแฟนขึ้นมาว่า คิดว่าเอเก่งอะไร แฟนตอบกลับมาขำๆ ว่า “เอเหรอ เก่งช้อปปิ้ง”เลยเอาสิ่งที่แฟนพูดเล่นเนี่ยแหล่ะ ไปลองหาข้อมูลดูว่า มีงานอะไรเกี่ยวกับการช้อปปิ้งที่เราสามารถทำได้ จนไปเจอคำว่า Shopper Consultant ซึ่งมันเป็น sub ย่อยของงานทางด้าน Image Consulting เจอว่ามีคอร์สสอนที่ลอนดอน เลยตัดสินใจบินไปเรียน ก็ชอบทันทีค่ะ ก็ได้ Honours Diploma ด้าน Style Coaching กลับมาก็เปิดเพจ “Magic Mirror – กระจกวิเศษ” ให้ Tips ต่างๆ เกี่ยวกับการแต่งตัวสำหรับผู้หญิง เพราะมีความเชื่อว่าผู้หญิงทุกคนเป็นคนสวย แค่รู้หลักนิดหน่อย ทุกคนก็สามารถสวยขึ้นได้มากมาย เหมือนเราเป็นกระจกวิเศษที่ช่วยสะท้อนความสวยงามของผู้หญิงออกมา

“แล้วก็ไปหาความรู้เพิ่มเติมจากอีกหลายสถาบัน ทั้งทางด้าน Image, Non-Verbal Image Communication, Advanced Colour และ Corporate Image แล้วก็เปิดคลาสสอนเป็น Workshop เล็กๆ ทำเป็นงานอดิเรกที่เรารัก ช่วยเติมไฟชีวิตที่มอดขึ้นได้เหมือนกันค่ะ แถมยังตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ได้อย่างใจหวังด้วย (ยิ้ม)”

ในเมืองไทย Image Consultant เป็นที่รู้จักมากน้อยขนาดไหนคะ

“จริงๆ มีคนทำด้านนี้เยอะนะคะ ทางด้าน Image Consulting ที่เมืองไทยมีมาซักพักใหญ่ มีหลายคนก็ชวนให้ไปร่วมกันทำ ไปเข้าสมาคมเพื่อสร้าง Connection แต่เอก็คิดว่าเราทำเป็นงานอดิเรกไม่ได้แข่งขันกับใคร ทำของตัวเองให้ดีที่สุดพอละ เดี๋ยวจะบาลานซ์ชีวิตตัวเองในด้านอื่นๆ ยากขึ้นไปอีก คนที่มาเรียนกับเอ จะชอบบอกว่าเอมีความเป็นครูสูง แต่เอไม่ให้เค้าเรียกว่าครูเอนะคะ เรียกพี่เอพอ (หัวเราะ) คือเราจะสอนเค้าจนกว่าจะได้ค่ะ ไม่ใช่สอนเสร็จแล้วจบ ดูแลใกล้ชิด ทุกคนต้องส่งการบ้าน เพราะเอไม่เชื่อว่าคนเราจะสามารถเปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังมือได้ทันที ต้องค่อยๆ ตกผลึกความคิด ลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง โดยมีเราคอยแนะนำอยู่ตลอด พอเค้าเข้าใจปุ๊บ ทีนี้สวยขึ้นได้เองแน่นอน เอไม่ใช่ Stylist ที่มาจับเค้าเปลี่ยน แต่เอเป็นผู้สอน เป็นที่ปรึกษา ที่คอยแนะนำ เพื่อให้เค้าสามารถเปลี่ยนได้ด้วยตัวเค้าเอง”

เห็นมีคลาสเกี่ยวกับเรื่องสีด้วย คืออะไรคะ

“เรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนเหมือนกันนะคะ คนเราแต่ละคนมีสีผมสีตาสีผิวที่แตกต่างกัน เพราะฉะนั้นก็จะเหมาะกับแต่ละสีแตกต่างกัน เคยสังเกตไหมคะบางครั้งตอนเราแต่งตัวทำไมเสื้อสีนี้เราใส่แล้วดูสดใสมีแต่คนทัก แต่บางสีเราใส่แล้วดูหม่นหมองเหมือนคนป่วย มันก็คือสิ่งนี้แหล่ะค่ะถ้าเราใส่สีที่ไม่เหมาะกับโทนสีของตัวเองมันจะให้ผล 2 อย่างคือ 1) เมื่อสะท้อนเข้าหน้าแล้วหน้าจะดูหมองคล้ำเห็นรอยเหี่ยวย่นชัดเจนดูมีอายุขึ้นและ 2) มันจะดูดสีผิวเราทำให้หน้าดูซีดป่วย

“เคยได้ยินที่เค้าแบ่งโทนสีคนเป็นฤดูไหมคะ จริงๆแล้วคน 2 คนที่มีฤดูเดียวกันไม่ได้หมายความว่าเค้าจะเหมาะกับแต่ละสีได้เหมือนกันต้องทำการวิเคราะห์เชิงลึก drape กันทีละสีเลยถึงจะรู้ได้ จริงๆคลาสสีเอก็จะสอนทฤษฎีที่เกี่ยวกับสีทั้งหมดการ Mix & Match สีและก็วิเคราะห์เชิงลึกเพื่อหาสีที่ใช่ของแต่ละคนค่ะ”

ปัญหาของผู้หญิงส่วนใหญ่ที่เข้ามาปรึกษาคือเรื่องอะไรคะ

“ปัญหาโลกแตกของผู้หญิงคือ “ไม่มีอะไรจะใส่ทั้งที่เสื้อผ้าเต็มตู้” ค่ะ (หัวเราะ) เชื่อไหมคะตามสถิติเค้าบอกว่าผู้หญิงเราใส่เสื้อผ้าเพียง 20% ที่มีอยู่ในตู้ได้ยินตัวเลขนี้ครั้งแรกตกใจเหมือนกันนะคะ แต่พอมามองตัวเองตอนก่อนที่เราจะเรียนศาสตร์ด้านนี้มาเราก็เป็นแบบนั้นจริงๆ (หัวเราะ) คือเงินเราจมไปกับตรงนี้เยอะมากโดยที่เราไม่รู้ตัว จริงๆเสื้อผ้า 80% ในตู้นี้คือเรารู้อยู่ลึกๆว่ามันไม่ใช่แต่ไม่รู้เหตุผลที่แท้จริงพอมาเรียนก็จะช่วยลดความผิดพลาดได้เยอะค่ะ

“อีกส่วนนึงที่เจอบ่อยๆคือ ผู้หญิงส่วนใหญ่จะมองตัวเองลบกว่าความเป็นจริงค่ะ เช่นสะโพกใหญ่บ้างไม่มีเอวบ้างอ้วนบ้าง แต่เมื่อมาวิเคราะห์รูปร่างจริงๆ แล้วไม่ใช่อย่างที่คิด เมื่อปรับความคิดที่ถูกต้องสอนให้รู้จักกลบส่วนด้อยเสริมส่วนดีก็จะทำให้แต่งตัวดีขึ้นได้ค่ะ การแต่งตัวคือการสร้างภาพ illusion ที่สามารถทำได้หมดอยากให้ดูอ้วนขึ้นผอมลงสูงขึ้นได้หมดทุกอย่างค่ะ นอกนั้นที่เจอก็เป็นเรื่องของการ mix & match ไม่เป็นค่ะ”

สุดท้ายนี้มีเรื่องอะไรที่อยากจะฝากไหมคะ

“ขอฝากเกล็ดความรู้เล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับเรื่องน้ำปลาแล้วกันนะคะในฐานะที่จบมาทางด้าน Food Technology (ยิ้ม)ในมุมมองเอ เอมองว่าจริงๆน้ำปลาเป็นอาหารเพื่อสุขภาพได้นะคะ ไม่ใช่แค่สิ่งที่มาให้ความเค็ม งงไหมคะ (หัวเราะ) เพราะน้ำปลาเป็นเครื่องปรุงที่ผลิตจากปลาทะเล มีโปรตีนจากปลาทะเล มีไอโอดีนวิตามินเกลือแร่หลากหลายชนิด ตอนนี้เทรนด์สุขภาพกำลังมาแรง ยิ่งพอรัฐบาลมีการรณรงค์ให้ลดเค็มทีนี้น้ำปลากลายเป็นตัวผู้ร้ายขึ้นมาทันที ทั้งที่จริงๆแล้วเมื่อเทียบกับเกลือในปริมาณที่เท่ากัน เกลือมีโซเดียมสูงกว่าน้ำปลาถึง 5 เท่า ทางรัฐบาลก็มาขอความร่วมมือให้เราช่วยทำน้ำปลาลดโซเดียม แต่ทางเราก็คิดหนักมากค่ะ เพราะจริงๆ แล้วเกลือมันคือ Natural Preservative หรือตัวถนอมอาหารตามธรรมชาติที่ช่วยให้น้ำปลาไม่เสีย ถ้าเมื่อไหร่ที่มีการลดปริมาณเกลือลงก็ต้องมีการเติมโพแทสเซียมกับสารกันบูดเข้าไปแทน ซึ่งจริงๆแล้วโพแทสเซียมกับสารกันบูดอันตรายต่อสุขภาพกว่าโซเดียม

“สิ่งที่อยากจะฝากก็คือการเลือกซื้อน้ำปลาควรเลือกที่เป็นน้ำปลาแท้ที่ผ่านการหมักด้วยวิธีธรรมชาติจริงๆมีสีและกลิ่นของปลาทะเลตามธรรมชาติ และสีต้องเข้มขึ้นหลังเปิดใช้ เพราะนั้นหมายถึงโปรตีนในน้ำปลาทำปฎิกิริยากับออกซิเจนในอากาศอาหารแปรรูปที่ผ่านกรรมวิธีต่างๆ และใส่สารเคมีเยอะๆ มันไม่มีผลดีต่อสุขภาพในระยะยาว กลัวเค็มก็เหยาะแต่น้อย แต่เลือกใช้น้ำปลาที่มีคุณภาพนะคะ อยากฝากความรู้เล็กๆน้อยๆตรงนี้ไว้ค่ะ”

เรื่อง : apin

ภาพ : เนาวพจ

 

Praew Recommend

keyboard_arrow_up