ชีวิตราวกับละครหลังข่าวของ “คุณตุ้ย” ดีไซเนอร์ชื่อดังกับเหตุการณ์ที่เตือนใจให้ทุกคนควรมี “สติ”

เรื่องที่ท่านกำลังจะอ่านต่อไปนี้ เข้มข้นไม่แพ้หนังแอ๊คชั่น เศร้าสะเทือนใจไม่ผิดกับละครหลังข่าว เตือนสติได้เป็นอย่างดี เพราะมาจากเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นกับ “คุณตุ้ย” ดีไซเนอร์และเจ้าของห้องเสื้อ Present ที่วันนี้เขาอยากแบ่งปันกับผู้อ่านแพรว

“ประมาณปี 2552 เราเริ่มสังเกตตัวเองว่าทุกครั้งที่เดินเข้าร้าน จะไอและจาม พร้อมกับมีผื่นขึ้นตามตัวเร็วมาก ไปเช็กเลือดจึงรู้ว่า เป็นภูมิแพ้ 60 ชนิด หนึ่งในนั้นคือ แพ้สารเคมีในผ้าอย่างรุนแรง ซึ่งสะสมอยู่เป็นเวลานาน พอ ๆ กับระยะเวลาของธุรกิจที่ทำอยู่ ทุกครั้งที่ภูมิคุ้มกันต่ำลง อาการจะกำเริบและหนักขึ้นเรื่อย ๆ เวลาที่แพ้จะคันมาก และมีผื่นขึ้นทั้งตัวรวมถึงใบหน้า ยอมรับว่าเสียความมั่นใจ ที่กวนใจสุดก็คือ ไม่รู้ว่าจะแพ้เมื่อไหร่ หมอแนะนำว่าให้หลีกเลี่ยงพฤติกรรม ที่จะทำให้ร่างกายถูกกระตุ้น ทั้งห้ามเรื่องอาหารที่แพ้ ห้ามยุงกัด ห้ามสูบบุหรี่ รวมถึงงดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์

“เราจึงตัดปัญหาด้วยการเลิกออกไปสังสรรค์โดยเลือกทำงานอยู่กับบ้าน ที่บ้านมี 4 ชั้น ใช้ชีวิตอยู่แต่ในห้องนอนบนชั้น 4 อ้อสิ่งที่เราแพ้ ทั้ง 60 ชนิดนั้นเป็นส่วนประกอบของอาหารทั้งสิ้น จึงกินได้เฉพาะข้าวกับผักใบเขียว เนื้อหมูนิดหน่อย ตามที่หมอแนะนำ ชีวิตวนเวียนอยู่แค่ ตื่นมากินข้าว กินยาแล้วนอน อึดอัดมาก ถูกห้ามหลายสิ่งหลายอย่าง สบู่ แชมพู ต้องเปลี่ยนเป็นผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก เปลี่ยนผ้าห่มกับ ผ้าปูที่นอนทุกวัน น้ำยาปรับผ้านุ่มก็ใช้ไม่ได้ ต้องใส่ถุงมือนอน เพราะ กลัวหลับแล้วเผลอเกาหน้าหรือลำตัว ซึ่งจะทำให้เกิดแผลและหายยากมาก นั่นยังไม่ทรมานใจเท่ากับต้องแยกจากสุนัขที่เคยนอนด้วยกัน ประมาณ 5 – 6 ตัว ถือว่าที่สุดในชีวิตแล้ว และด้วยความที่รักพวกเขามาก เราก็จะพยายามไม่สูบในบ้าน แม้ติดบุหรี่ขนาดไหนก็ตาม จะออกไปสูบที่ด้านนอกตรงระเบียงห้องนอน เพราะเกรงใจหมา ๆ

“ความที่อยู่บ้านนานมาก ไม่ได้ออกไปไหน ผมที่เคยต้องทำสี ก็ทำไม่ได้ เพราะแพ้สารเคมี น้ำยาเปลี่ยนสีผมก็ต้องไปหาแบบไม่มีสารเคมี วันหนึ่งได้ทำสีผม ขณะเดียวกันอยากสูบบุหรี่ด้วย กลัวยุงกัดก็กลัว เลยให้แม่บ้านไปซื้อเจลทากันยุงมา เราก็นุ่งผ้าเช็ดตัวนั่งขัดสมาธิบนพื้น บนศีรษะสวมหมวกอาบน้ำที่หมักสีผมอยู่ ความที่ไม่เคยทาเจล กนยุง หยิบปุ๊บก็บีบเจลใส่มือ ทาตัว ทาขา ประหนึ่งทามอยส์เจอร์ทีเดียว กระทั่งหน้าก็ไม่เว้น โดยไม่ได้อ่านวิธีใช้ข้างกล่อง จากนั้นใช้ปลายนิ้วคีบบุหรี่โดยที่นิ้วยังเลอะเจลอยู่ พอจุดไฟแช็กเท่านั้นละ เปลวไฟวิ่งใส่มือผ่านหน้า แล้วก็วิ่งไปตามแขนและมือ และยังหยดลงไปที่ขา จากนั้นเปลวไฟก็วาบไปทั่วตัว เราใช้ผ้าเช็ดตัวตบ ๆ และรีบดึงผ้าห่ม ในห้องมาตบเข้าที่หน้า พอลุกขึ้นยืนรู้สึกขาร้อนผ่าว เห็นไฟวิ่งผ่านขาจึง ใช้ผ้าตบที่ขาก่อนห่อตัวแล้วรีบวิ่งเข้าห้องน้ำ ส่องกระจกเห็นคิ้วไหม้ กับผมไหม้บางส่วน หน้าแดงน่ากลัว จึงพยายามล้างยาย้อมผมออกด้วย ความยากลำบาก เพราะต้องระวังไม่ให้โดนหน้า แล้วปล่อยให้น้ำผ่านตัว

“จากนั้นขับรถไปโรงพยาบาล ระหว่างที่รอหมอ พยายาม ส่องกระจกดูหน้าตัวเอง เห็นแค่สีผิวที่เริ่มแดงและร้อนผ่าว ๆ ถาม พยาบาลว่า จะเกิดอะไรขึ้นกับหน้าเราบ้างเพราะอย่างน้อยจะได้ทำใจ ยอมรับเสียตั้งแต่เนิ่น ๆ พยาบาลบอกว่า อาจบวมหรือพอง คืนนั้นหลับด้วยฤทธิ์ยานอนหลับ รุ่งเช้าพยาบาลเดินเข้ามาพร้อมแก้วน้ำใส่หลอด พอจะลุกขึ้นนั่ง ขาตึง ขยับตัวยากมาก ทันทีที่พยาบาลหยิบแก้วน้ำส่งให้ พอเห็นเงาหน้าตัวเองที่สะท้อนออกมาจากแก้วน้ำแล้วแทบไม่เชื่อสายตา เพราะบริเวณริมฝีปากบนบวมขึ้นไปชิดปลายจมูก ส่วนริมฝีปากล่าง บวมใหญ่จนถึงปลายคาง เจ็บมาก การบังคับริมฝีปากที่บวมให้ออกแรง ดูดน้ำเป็นสิ่งที่ทรมานมาก น้ำตาไหล พยายามพูด แต่ก็ไม่มีเสียง กินข้าวไม่ได้ เพราะพออ้าปาก มุมปากก็ฉีก หากใช้หลอดก็ไม่มีแรง ดูดอีก น้ำหนักลดฮวบ นั่นยังไม่เท่ากับสิ่งที่เรากลัวที่สุดกำลังจะเป็นจริง ใจเสีย เขียนบอกพยาบาลว่าให้ช่วยหากระดาษปิดกระจกในห้องให้หมด พร้อมกับสั่งเลขาฯว่า ห้ามบอกใครทั้งสิ้น ไม่อยากเจอใคร นอนร้องไห้ ทำไมต้องเป็นแบบนี้ พออยากเข้าห้องน้ำ ความที่เป็นคนขี้อาย อายพยาบาล คิดว่าตัวเองน่าจะเดินไหว จึงไม่กดเรียกพยาบาล แต่ก้มมอง ที่ขาตัวเอง โอ้โฮ บริเวณขาพับบวมทั้งด้านในและด้านนอก แค่ขยับก็ ปวดแสบปวดร้อน ราวกับแผลจะปริแตกออกจากกัน แต่เราพยายาม พยุงตัวเองให้ยืนโดยแนบหลังกับส้นเท้าชิดกำแพงที่สุดแล้วค่อย ๆ ถัดตัว ไปทีละก้าวจนถึงห้องน้ำ พยาบาลเห็นร้องห้ามแทบไม่ทัน กลัวแผลฉีก ระหว่างที่รักษาตัวที่โรงพยาบาลนั้น ใช้แก้วน้ำแทนกระจกคอยสังเกตหน้าตัวเอง ถึงวันที่ 4 ยิ่งชัดว่าบวม รวมถึงแผลที่ถูกไฟลวกตามแขนขา เริ่มบวมเป็นถุงน้ำ จิตตก พอเริ่มพูดได้บ้างก็ถามหมอทุกวันว่า ขั้นตอนการรักษาเป็นอย่างไรต่อไป

untitled-1

“ที่รับสภาพตัวเองไม่ได้มาก ๆ คือ ทุกครั้งที่พยาบาลมารับไปรักษา แผลไฟไหม้ ซึ่งแยกอยู่คนละตึก ต้องนั่งรถเข็นออกจากห้องเข้าลิฟต์ ไปตามทาง กลัวจะมีคนที่รู้จักมาเห็นเราในสภาพหน้าบวมแดงนั่งอยู่บนรถเข็น เริ่มงอแง จนหมอยอมขนเครื่องมือมารักษาถึงห้อง ประมาณ 15 วัน กระทั่งหน้าและปากยุบพอกินอาหารอ่อน ๆ ได้ ขณะที่แผลที่ขา เริ่มตกสะเก็ด ตึงจนงอขาไม่ได้ เดินไม่ได้ ขาลีบจนเห็นได้ชัด ต้องเข้าสู่ขั้นตอนการทำกายภาพ คุณหมอจึงให้กลับมารักษาตัวต่อที่บ้าน

“จากนั้นเริ่มเข้าสู่กระบวนการปรับสภาพผิวหน้าที่ไหม้ด้วยการ ทำเลเซอร์ จากที่เคยพองแดงกลายเป็นสีดำ ขรุขระ ทรมานใจมาก ไม่มีใครบอกได้ว่าผิวหน้าจะกลับมาเหมือนเดิมหรือเปล่า แม้กระทั่งหมอ เรานอนร้องไห้ทุกวัน เพราะเราไม่เคยมีตัวอย่างให้เห็น จึงคิดไปเรื่อย ได้แต่ปลอบตัวเองว่า อย่ากดดันตัวเอง ที่สุดแล้วคนที่ทุกข์ใจคือเราวันแล้ววันเล่าที่ขับรถไปทำเลเซอร์ กลับบ้านส่องกระจกดูหน้าตัวเองทุกวัน บางวันแดง บางวันดำ สลับกันอยู่อย่างนี้ ประกอบกับเป็นภูมิแพ้ ทำให้ร่างกายได้สารอาหารไม่ครบหมู่ ก็ยิ่งทำให้ร่างกายฟื้นฟูช้า

“ปกติเราไม่ใช้เครื่องสำอางอะไรนอกจากพวกผลิตภัณฑ์บำรุงผิว กับทาแป้งเด็ก กลายเป็นว่าต้องซื้อรองพื้นมาแปะปิดบริเวณที่หน้าดำเพื่อ ให้สีผิวเสมอกันให้มากที่สุด ความมั่นใจเหลือศูนย์ ไม่ออกพบปะผู้คน ผ่านไป 6 เดือนหมดค่ารักษาไป 3 ล้านบาท แต่แผลก็ยังไม่หายสนิท จนคุณเยลหลี เพื่อนสนิทเคยรักษากับแพทย์แผนจีนที่ร้านเกรียงฟ้าโอสถ เขาแนะนำให้ลองรักษาด้วยวิธีกินยาจีน แนะนำให้ไปพบหมอ หลังจาก ลองกินยาจีนได้ประมาณ 3 เดือน สังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลง บนใบหน้า ผิวหน้า และผิวตัวค่อย ๆ ดีขึ้น แม้จะขมมากและต้องสู้กับราคายาที่ค่อนข้างสูงเฉลี่ยวันละ 1,000 บาท แต่ก็ทำให้มีกำลังใจที่จะดื่ม ทุกวันติดต่อกันประมาณปีครึ่ง เชื่อหรือไม่ว่า นอกจากแผลเป็นหายแล้ว ภูมิแพ้ยังหายอีกด้วย เราสามารถกลับเข้ามาทำงานที่ร้านพร้อม ๆ กับเริ่มกลับมากินอาหารได้ปกติ

“จากบทเรียนครั้งนั้นทำให้ก่อนหยิบจับอะไรมาใช้ จะต้องอ่านวิธีใช้ และคำเตือนข้างกล่องสินค้าอย่างละเอียดว่ามีส่วนผสมอะไรบ้าง จึงได้พบว่ามีแอลกอฮอล์เป็นส่วนผสมหลักของเจลทากันยุง ที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุโดยไม่คาดคิด 3 ปีผ่านไป วันหนึ่งที่ร้านจัดงานเลี้ยงพนักงาน ตอนนั้นประมาณ 5 – 6 โมงเย็น เราอยากเข้าห้องน้ำซึ่งอยู่ด้านนอกร้าน สมองก็สั่งว่าไหน ๆ จะเดินออกไปห้องน้ำแล้ว หยิบของฝาก ให้น้องชายที่รถเลยก็แล้วกัน ขณะที่ใจคิด มือซ้ายผลักประตูร้านซึ่งเป็น กระจกแล้วก้าวออกไป ขณะที่มือขวาตบกระเป๋ากางเกง จึงรู้ว่าไม่ได้เอา กุญแจรถมา เท้าไวกว่าความคิด เราหันหลังกลับเพื่อเข้าไปหยิบกุญแจรถ โดยลืมว่าประตูปิดกลับมาแล้ว ทันใดนั้นเสียงดังราวกับระเบิด ตัวเรา ปะทะกระจกอย่างแรงในระยะประชิด โดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น ตามมาด้วยเสียงกระจกร่วงกราว ท่ามกลางเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจของคนที่อยู่ในร้าน เหตุการณ์ต่อจากนั้นต้องเรียกว่าวินาทีต่อวินาที เข่าเราทรุดลงบนพื้นที่เต็มไปด้วยเศษกระจก โดยที่ข้อเท้ายังคาอยู่ตรงกรอบประตู

capture-20170203-181350

“ท่ามกลางเศษกระจกที่แตกซ้อนกันอยู่ ด้วยแรงดึงดูดโลกทำให้ ตัวเราล้มลงไปอีก เข่ากระแทกลงไปที่กองเศษกระจกอีกครั้ง ก่อนที่หน้าจะทิ่มตามลงไป ด้วยสัญชาตญาณเรากำมือแน่น เสี้ยววินาทีนั้นต้อง เลือกเลยว่าจะให้ตัวเองอยู่หรือตาย สั่งตัวเองว่าพยายามให้มือโดนกระจกอย่างเบาที่สุด ไม่อย่างนั้นถูกกระจกที่แตกแหลมบาดขาดแน่ แล้วให้ดันมือส่งตัวเองขึ้นอย่างเร็วที่สุด ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่ากำลังภายในมีจริง แรงจากข้อเท้าส่งตัวเราให้หงายหลังกลับ ทันใดนั้นภาพที่ปรากฏตรงหน้า เป็นภาพที่ชีวิตนี้คงไม่มีวันลืม กระจกที่แตกแหลมเป็นฟันฉลามจ่ออยู่ ด้านบนเหนือศีรษะ ไหนจะกระจกด้านข้างที่แตกทิ่มคาอยู่ข้างตัวอีก วินาทีนั้นรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง เราอยู่ในสภาพคุกเข่าและงอแขน ทั้งสองข้างไว้ กำมือแน่น ปากก็ตะโกนว่า อย่าเข้ามาใกล้เด็ดขาด มีแต่เศษกระจก แล้วขอน้ำแข็งด่วน น้องที่อยู่ใกล้ที่สุดยื่นผ้าขนหนูพาดมือ แล้วเทน้ำแข็งลงบนผ้า เรางอแขนประคองผ้าห่อน้ำแข็งไว้ บอกลูกน้อง ให้พาไปส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด ขณะที่พูดมีเลือดกระเซ็นออกมา เปรอะผ้าขนหนูไปหมด เลือดมาจากตรงไหนบ้างก็ไม่รู้ เริ่มห่วงหน้า ตัวเองว่า เพิ่งผ่านมาแค่ 3 ปีจะเกิดอะไรอีก ณ ตอนนั้นยังไม่กล้าดูแขน ตัวเอง นั่งนิ่ง ๆ ไปตลอดทาง ใช้เวลาประมาณ 15 นาทีถึงโรงพยาบาลเรารีบเดินไปที่ห้องฉุกเฉิน เลือดหยดลงพื้นไปตลอดทางรายงานตัวกับ คุณหมอว่าผมเป็นคนป่วย เดินทะลุกระจกมาครับ บอกด้วยว่าเช็กประสาทมือด่วนผมเป็นนักออกแบบ คุณหมอค่อย ๆ เปิดผ้าขนหนูออก ภาพข้อมือด้านในกับบริเวณนิ้วโป้งทั้งสองข้างถูกกระจกบาดจนเป็นแผลฉกรรจ์ คุณหมอบอกแผลลึกนะ ต้องเย็บไล่ตั้งแต่ชั้นผิวหนังด้านใน ออกมาเลย แต่ไม่ต้องตกใจ ไม่โดนเส้นประสาท ส่วนหน้าไม่มีบาดแผล เลือดที่ออกจากปากเกิดจากฟันกระแทกกับเหงือก ได้ยินอย่างนั้นเราไม่กลัวอะไรแล้ว แม้ต้องทนเจ็บกับการฉีดยาชาเข็มต่อเข็มตลอดการเย็บ ทั้ง 96 เข็มก็ตาม ภายในเวลาเกือบ 3 ชั่วโมง เราพยายามผ่อนคลาย ทั้งตัวเองและคุณหมอ ชวนคุณหมอคุยบอกว่าผมเป็นช่างเสื้อ ที่ร้าน เย็บเสื้อสวยมาก เพราะฉะนั้นคุณหมอก็อย่าเย็บให้แพ้ร้านผมนะครับ

“เราต้องนอนรักษาตัวไม่มีกำหนดว่าจะต้องอยู่กี่วัน รุ่งขึ้นรู้สึก ปวดแผลมาก ต้องพึ่งมอร์ฟีนระงับปวดติดต่อกันเป็นอาทิตย์ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลย แม้กระทั่งเดิน เพราะที่ขามีแผลจากกระจกบาดด้วย คราวนี้อายพยาบาลไม่ได้แล้ว เรานอนโรงพยาบาล 2 เดือนแล้วกลับมา พักฟื้นที่บ้าน ชีวิตเปลี่ยนหมด เข้าใจคนที่ไม่มือเลยว่าจะใช้ชีวิตยาก ลำบากขนาดไหน เศร้า จากที่ดูแลตัวเองมาตลอดต้องกลายเป็นภาระของคนอื่น ตั้งแต่แปรงฟัน เข้าห้องน้ำ อาบน้ำ แต่งตัว กินข้าว โดยที่พยายามทำตัวไม่ให้เป็นภาระมาก พยายามเลือกอาหารอ่อน ๆ และกิน ให้น้อยลง จนน้ำหนักลดฮวบอีกครั้ง

“หลังจากแผลหายสนิท ยังต้องทำกายภาพบำบัด โดยการฝึก บีบลูกบอล เราอาจลืมนึกว่า แม้ประสาทมือใช้ได้ แต่การจะฝึกให้นิ้วโป้ง ที่ถูกกระจกบาดลึกมีแรงและหายจากอาการเสียวนั้นยากมาก แค่รวบนิ้วมาบีบลูกบอลให้ได้ก็ว่ายากแล้ว แล้วเราเป็นทั้งเจ้าของร้านและนักออกแบบด้วย หากนิ้วไม่สามารถสเก็ตช์ภาพได้จะดำเนินกิจการอย่างไร จึงพยายามเร่งตัวเอง ฝึกบีบลูกบอลทุกวัน กว่าจะสามารถกำดินสอได้ ใช้เวลาเป็นปี ยิ่งกว่านั้นทั้งที่สเก็ตช์แบบเสื้อมายี่สิบปี ต้องกลับมาเริ่มต้น ฝึกสเก็ตช์ภาพใหม่ ไม่ท้อนะ เพราะลูกค้าเข้าใจและเป็นกำลังใจ สามารถทำงานได้โดยใช้การพูดแล้วให้ลูกน้องถ่ายทอดเป็นภาพ หรือไม่ก็หาแบบเสื้อจากแมกกาซีนให้เลือก หมอบอกว่า สิ่งที่จะติดอยู่กับเราชั่วชีวิต คือ ประสาทบริเวณนิ้วโป้งทั้งสองข้างที่จะไวต่อความรู้สึกมาก แค่ถูกเบา ๆ ก็เจ็บแล้ว ทุกวันนี้เราเรียนรู้และปรับตัว จากที่เคยชอบใช้กระเป๋าโอเวอร์ ไซส์ใส่ของได้เยอะ ล้วงหยิบของซ้ายทีขวาที กลายต้องเป็นกระเป๋าที่ใช้ง่าย เพราะหากล้วงแล้วกระแทกถูกบริเวณนิ้วโป้งทั้งสองข้าง แม้จะแค่พวงกุญแจ แต่เจ็บแปลบเหมือนถูกของแหลมทิ่มลงไปถึงกระดูกทีเดียว

“จากวันนั้นจนถึงทุกวันนี้เรารู้แล้วว่าสิ่งที่เราต้องมีอยู่ตลอดเวลา คือสติเราไม่จำเป็นต้องทำอะไรพร้อมกันก็ได้ ขนาดประตูร้านเปิด – ปิด ทุกวันวันละหลายครั้งติดต่อกันเป็นสิบปีก็ยังพลาด ตอนนี้เปลี่ยนมาใช้ กระจกนิรภัย เมื่อเปิดออกแล้วต้องแน่ใจว่าปิดด้วยมือตัวเองทุกครั้ง ขณะที่หากไปที่อื่นจะดูให้ดีว่าประตูกระจกเลื่อนเปิดสุดหรือยัง จะไม่พรวดอีกแล้ว ไม่คุ้ม ยังถือว่าโชคดีที่สามารถครองสติและกลับมาช่วยตัวเองได้ทันสามารถรอดชีวิตมาบอกตัวเอง เพื่อน ๆ และเล่าให้ผู้อ่าน แพรว ได้ว่า

“จะทำอะไรก็ตามขอให้มีสติ อย่าประมาท ชีวิตเราอาจไม่โชคดีแบบนี้ได้บ่อยครั้ง แม้จะมีเพียง 1 วินาที หากเรามีสติ เราก็จะสามารถ ช่วยชีวิตตัวเองเอาไว้ได้”

ที่มา : คอลัมน์ครั้งหนึ่ง ในนิตยสารแพรวฉบับที่ 897

Praew Recommend

keyboard_arrow_up